พลิกพงศาวดาร สัมพันธไมตรีสองกรุง ๑๐ ก.ค.๕๘

กระทู้สนทนา
พลิกพงศาวดาร

สัมพันธไมตรีสองกรุง

พ.สมานคุรุกรรม

ครั้นรุ่งเช้านายปานราชทูต จึ่งให้อาจารย์แต่งศิษย์ประมาณสิบหกคน ผูกเครื่องล้วนลงเลขยันต์คาถาศาสตราคมเสร็จ แล้วให้อาจารย์นุ่งขาวใส่เสื้อครุยขาว แลพอกเกี้ยวพันผ้าขาว ศิษย์สิบหกคนนั้นใส่กางเกงเสื้อหัสดูแดงทั้งสิ้น ทั้งสิบเจ็ดคนพอเข้ามาสู่หน้าพระลาน ก็กราบถวายบังคมแด่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส แล้วจึงขึ้นนั่งบนเบญจา และให้กราบทูลว่า ขอให้ทหารแม่นปืนห้าร้อยคนนั้น ยิงทหารไทยทั้งสิบเจ็ดคนซึ่งนั่งอยู่บนเบญจา

พระเจ้าฝรั่งเศสก็ทรงสั่งให้ทหารทั้งห้าร้อย ให้ระดมยิงทหารไทยพร้อมกัน ด้วยอำนาจคุณพระรัตนตรัย แลคุณเลขยันต์สรรพอาคมคาถาวิชา คุ้มครองป้องกันอันตราย พลฝรั่งทั้งหลายยิงปืนนกสับทั้งใกล้แลไกลเป็นหลายครั้ง เพลิงปากนกก็มิได้ติดดินดำแลมิได้ลั่นทั้งสิ้น

ทหารไทยทั้งสิบเจ็ดคนก็รับพระราชทานโภชนาหาร และมังฉะมังสาสุราบานเป็นปกติ มิได้มีอาการสะดุ้งหวั่นไหว พลทหารฝรั่งทั้งหลายก็เกรงกลัวย่อท้อรอหยุดอยู่ทั้งสิ้น

อาจารย์ทหารไทยจึงร้องอนุญาตไปว่าท่านจงยิงอีกเถิด ทีนี้เราจะให้เพลิงติดดินดำจะให้กระสุนออกทั้งสิ้น พลทหารพร้อมกันยิงอีกนัดหนึ่ง เพลิงก็ติดดินดำกระสุนก็ออกจากลำกล้อง ตกลงตรงปากกระบอกบ้าง ห่างออกไปบ้าง ลางกระสุนก็ตกลงที่ใกล้เบญจา แต่จะได้ถูกต้องทหารไทยผู้หนึ่งผู้ใดหามิได้

พระเจ้าฝรั่งเศสทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเชื่อเห็นความจริงของราชทูต ทรงพระโสมนัสตรัสสรรเสริญวิชาทหารไทยว่า ประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ และรับสั่งให้พระราชทานเงินทองเสื้อผ้า เป็นรางวัลแก่ทหารไทยเป็นอันมาก ให้เลี้ยงดูเสร็จแล้วกลับไปที่พำนัก

จำเดิมแต่นั้นมาก็ทรงเชื่อถือถ้อยคำราชทูต จะเพ็ดทูลประการใดก็เชื่อมิได้มีความสงสัย ทรงพระมหาการุณภาพแก่ราชทูตยิ่งนัก

อยู่มาวันหนึ่งจึงสั่งให้ถามทูตว่า

“ ทหารไทยที่มีคุณวิชาวิเศษประเสริฐดั่งนี้ ในพระนครศรีอยุธยามีเท่านี้แลหรือ หรือยังมีทหารอื่นอยู่อีกมากน้อยเท่าใด “

ราชทูตให้กราบทูลว่า

“ ทหารเหล่านี้เป็นแต่กองนอก สำหรับเกณฑ์จ่ายมากับเรือลูกค้าวานิช มีวิชาเพียงนี้เป็นแต่อย่างต่ำ อันทหารกองในสำหรับรักษาพระนครนั้น มีวิชาการต่าง ๆ วิเศษกว่านี้ มีมากกว่ามาก “

ได้ทรงฟังก็เชื่อถือ พระราชดำริก็เกรงฝีมือทหารไทยยิ่งนัก ราชทูตได้เข้าเฝ้าอยู่เป็นหลายเวลา แลพระเจ้าฝรั่งเศสนั้นเสด็จออกเหนือราชอาสน์อันสูง เพลาเช้าแลเห็นสีพระกายแดง เพลากลางวันเห็นพระกายมีสีเขียว เพลาเย็นเห็นสีพระกายขาว ราชทูตเข้าเฝ้าเป็นหลายเวลา ได้เห็นดังนั้นก็มีความสงสัยนัก

อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าฝรั่งเศสตรัสสั่งให้ถามทูตว่า

“ ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่หรือเป็นขุนนางผู้น้อย กล่าวถ้อยคำสัตย์จริงยิ่งนัก อนึ่งอย่างธรรมเนียมพระนครศรีอยุธยา ถ้าแลขุนนางผู้ใด พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงพระเมตตาโปรดปรานมากกว่าข้าราชการทั้งปวง แลพระราชทานอภัยแก่ขุนนางผู้นั้นเป็นประการใด เราก็จะโปรดปรานประทานอภัยแก่ท่านเหมือนฉะนั้น “

ราชทูตคิดจะใคร่เห็นพระกายซึ่งมีสีต่างกันหลายวันมาแล้ว ครั้นได้โอกาสจึงให้กราบทูลว่า

“ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นแต่ข้าราชการผู้น้อย สำหรับใช้แต่ไปมาค้าขายในนานาประเทศ ทั้งสติปัญญาก็น้อยนัก อันข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญายิ่งกว่าข้าพระพุทธเจ้านั้นมีเป็นอันมาก อนึ่งธรรมเนียมข้างกรุงพระนครศรีอยุธยา ถ้าพระองค์ทรงพระมหากรุณาขุนนางผู้ใดมากกว่าข้าราชการทั้งปวง ก็พระราชทานอภัยโปรดให้ผู้นั้นเข้าเฝ้าใกล้พระองค์ กราบถวายบังคมถึงพระบาทยุคลทุกครั้ง “

พระเจ้าฝรั่งเศสได้ทรงฟังก็ทรงเชื่อ จึงโปรดพระราชทานอภัยให้ราชทูตเข้าไปถวายบังคมถึงฝ่าพระบาททุกเวลาเฝ้า ราชทูตจึงได้เห็นพระราชอาสน์อันเรี่ยรายไปด้วยทับทิมโดยรอบในเวลาเช้า เพลากลางวันนั้นเรี่ยรายไปด้วยพลอยมรกต เพลาเย็นเรียงรายไปด้วยเพชร แสงแก้วขึ้นจับพระองค์ จึ่งมีสีต่าง ๆ อย่างละเพลาปรากฏ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเสด็จออกประพาสพระอุทยาน ทรงม้าสีขาวเป็นราชพาหนะ ประดับด้วยเครื่องม้าล้วนแล้วด้วยแก้วต่าง ๆ แลมีพลอยทับทิมดวงหนึ่ง ใหญ่เท่าผลหมากสงทั้งเปลือก ผูกห้อยคอม้าพระที่นั่ง แสงทับทิมนั้นจับพระองค์แลตัวม้านั้นแดงไปทั้งสิ้น พร้อมด้วยราชบริวารแห่แหนไปเป็นอันมาก โปรดให้ราชทูตตามเสด็จด้วย ครั้นถึงพระอุทยานจึงตรัสสั่งให้ถามทูตว่า พลอยทับทิมดวงใหญ่เท่านี้ พระนครศรีอยุธยามีมากหรือน้อย

ราชทูตให้กราบทูลว่า

“ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นแต่คนภายนอก มิใช่ชาวพระคลัง ซึ่งจะกราบทูลว่ามีมากน้อยเท่าใดนั้น เกรงจะเป็นเท็จ แต่รับพระราชทานเห็นครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้ากรุงไทยเสด็จออกไปประพาสพระอุทยาน ทรงม้าพระที่นั่งสีขาว มีพลอยทับทิมดวงหนึ่งผูกคอม้าพระที่นั่ง มีสันฐานใหญ่ประมาณเท่านี้ “

พระเจ้าฝรั่งเศสได้ทรงฟังก็เข้าพระทัยในคำราชทูต ทรงพระโสมนัสตรัสสรรเสริญว่า ราชทูตเจรจาไพเราะควรจะเอาไว้เป็นอย่างได้ จึงรับสั่งให้จดหมายเอาถ้อยคำไว้เป็นฉบับสืบไปภายหน้า แล้วเสด็จเที่ยวประพาสอุทยาน จนเพลาเย็นจึ่งเสด็จกลับพระราชวัง

วันหนึ่งราชทูตเข้าเฝ้า จึงให้กราบทูลพระกรุณาว่า

“ ลูกค้า ณ เมืองนี้เข้าไปค้าขาย ณ พระนครศรีอยุธยา กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวกรุงไทย สรรเสริญของวิเศษต่าง ๆ แลภายในพระราชนิเวศว่างามหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใคร่จะเห็นความจริง จึงดำรัสใช้ข้าพระพุทธเจ้าให้จำทูลพระราชสาส์น กับทั้งเครื่องราชบรรณาการ ออกมาจำเริญทางพระราชไมตรีด้วย “

พระเจ้าฝรั่งเศสได้ทรงฟัง ก็ทรงโสมนัสดำรัสสั่งให้ข้าหลวงพาทูตานุทูต เข้าไปเที่ยวชมท้องพระโรงข้างใน แลพระราชฐานทั่วทั้งสิ้น ตรัสสั่งว่าให้จำเอาไปทูลพระเจ้ากรุงไทยเถิด เจ้าพนักงานกรมวังก็พาพวกแขกเมืองเข้าไปชมพระราชนิเวศสถานที่ข้างในตามรับสั่ง ราชทูตก็จดหมายแต่บรรดาที่เห็นนั้นทุกประการ ถูกต้องสมคำพระยาวิชาเยนทร์ซึ่งกราบทูลนั้น แล้วกลับออกมาเฝ้าทูลสรรเสริญสมบัติในพระราชฐานว่า งามเสมอทิพพิมานในเทวโลก

พระเจ้าฝรั่งเศสก็ทรงพระโสมนัสเชื่อถือถ้อยคำราชทูต ทรงพระการุณภาพเป็นอันมาก มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พืชพันธุ์ไว้ จึ่งพระราชทานนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาคนหนึ่ง แล้วพระราชทานเครื่องแต่งตัวอย่างฝรั่ง ล้วนประดับด้วยพลอยต่าง ๆ กับสนองพระองค์ทรงองค์หนึ่ง แล้วให้เขียนรูปราชทูตแลจดหมายถ้อยคำไว้ทุกประการ แลราชทูตก็อยู่กินกับภรรยา จนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนบิดา

อยู่มาประมาณสามปี นายปานราชทูตจึงให้กราบถวายบังคมลา แล้วให้ฝากบุตรภรรยาด้วย พระเจ้าฝรั่งเศสก็พระราชทานเงินทองเสื้อผ้า แลของวิเศษต่าง ๆ แก่ทูตานุทูตเป็นอันมาก แล้วให้แต่งพระราชสาส์นตอบโดยทางพระราชไมตรี กับทั้งสิ่งของเครื่องราชบรรณาการตอบแทน มาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยานั้นก็มาก ทูตานุทูตก็กราบถวายบังคมลา อันเชิญพระราชสาส์นตอบ กับทั้งเครื่องมงคลราชบรรณาการมาลงกำปั่น โปรดให้จัดเรือแห่มาถึงปากน้ำ

ครั้นถึงวันศุภมงคลฤกษ์ใช้ใบออกท้องทะเลใหญ่ แล่นมาในมหาสมุทรหาอันตรายมิได้ ตราบเท่าถึงกรุงเทพมหานคร นายปานราชทูตแลอุปทูตตรีทูตก็ขึ้นเฝ้า ถวายพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งพระเจ้าฝรั่งเศสตอบแทนมานั้น แล้วทูลแถลงกิจการทั้งปวงให้ทราบสิ้นทุกประการ

พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปรีดาโสมนัส ตรัสสรรเสริญสติปัญญานายปาน แล้วพระราชทานรางวัลแก่ทูตานุทูตโดยสมควรแก่ความชอบ ซึ่งไปได้ราชการ ณ เมืองฝรั่งเศสมานั้น

ต่อมากรมการเมืองนครสวรรค์บอกลงมาถึงสมุหนายกว่า นายกองช้างผู้หนึ่งคล้องต้องช้างเผือกผู้ สูงประมาณสี่ศอกเศษ สรรพด้วยคชลักษณะงามบริบูรณ์ แลคล้องได้ ณ ป่าแขวงเมืองนครสวรรค์นั้น จึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดีเอาข้อราชการเศวตขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงทราบเหตุดังนั้น ก็ทรงพระปราโมทย์ยิ่งนัก จึ่งมีพระราชดำรัสให้ท้าวพระยาเสนาบดี แลพระหลวงขุนหมื่นกรมช้างทั้งหลาย ขึ้นไปรับพระยาเศวตกุญชรชาติตัวประเสริฐ ลงมายังกรุงเทพมหานคร แลให้มีการสมโภชเจ็ดวันเป็นกำหนด

พระราชทานนามว่า เจ้าพระยาบรม คเชนทรฉัททันต์ แลซึ่งนายช้างผู้คล้องนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นที่ขุนหมื่น ตามบูรพประเพณี แลพระราชทานเครื่องยศแลเสื้อผ้าเงินตราตามธรรมเนียม

ครั้งนั้นพระบาทบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระมหาบุญญาธิการ แลมีเศวตคชสารพลายพังทั้งคู่เป็นบรมราชาพาหนะพระที่นั่ง พระราชกฤษฎาเดชานุภาพ แผ่ไพศาลไปในนานาประเทศธานีใหญ่น้อยทั้งปวง บรรดาอริราชปรปักษ์ก็เข็ดขาม คร้ามพระเดชพระคุณเป็นอันมากนัก.

###########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่