จากนักเรียนไทย สู่ หนึ่งในผู้จัดการบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย (ตอนที่ 1)

**อ่านเรื่องราวอื่นๆ: http://bit.ly/1JRAByL
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค: http://bitly.com/1HK82FZ

ตอนที่ 1: นักเรียนนอก

ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตเลยว่า...วันหนึ่งเราจะได้มาใช้ชีวิตและทำงานในออสเตรเลีย เริ่มกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อปี 2011 ขอแม่มาเรียนโทที่ออสเตรเลีย แม่ก็บอกว่ามันแพงมากเลยตั้งเกือบล้านบาทแหนะ แล้วเรียนแค่ปีเดียวเนี่ยนะ? เราก็เลยบอกแม่ว่ามันเป็นการเปิดโลกกว้าง ว่าประเทศตะวันตกเค้าใช้ชีวิตกันยังไงเค้าถึงเจริ๊ญเจริญกัน แล้วอีกอย่างบ้านเราก็ยังไม่มีใครดีกรีอินเตอร์แบบตะวันตกเลย ตอนนั้นพูดไปแม่ก็ยังไม่เชื่อมากเท่าไหร่และก็ไม่ได้อยากให้มา ก็เลยบอกแม่ว่า เอางี๊เดี๋ยวหนูจะจ่ายค่าเรียนครึ่งหลังเอง แต่ขอยืมเงินแม่ตอนเทอมแรกก่อนละกัน แม่ก็เลยโอเค



แต่เรื่องของเรื่อง! นอกจากอยากจะมาเรียนหาความรู้ใหม่ๆแล้วเนี่ย จริงๆแล้วเราตกหลุมรักกับแฟนชาวฮ่องกง-ออสซี่ที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาลัยปีหนึ่ง เราสองคนติดต่อกันทาง Skype กันโดยตลอดทั้งสามปี จนกระทั่งเราไม่อยากที่จะรักแบบ Long distant relationship อีกต่อไป ก็เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวเราจะมาเรียนโทต่อที่ซิดนีย์เพื่อที่เราจะได้มาอยู่ด้วยกัน มันฟังดูเหมือนว่าเรื่องราวชีวิตกำลังจะดำเนินไปอย่างมีความสุขและเรียบง่าน แต่หารู้ไม่ว่านั่นพึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการลิ้มรสชาติในชีวิตที่แท้จริงเลย



ตอนนั้นบอกได้คำเดียว Long distance relationship sucks มากกก! และแล้วก็มาถึงแล้ววววที่ซิดนีย์ โดยในอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเปิดเรียนแล้ว ช่วงแรกๆอยู่ในช่วงมีความสุขสุดๆเพราะเราตื่นเต้นและรู้สึกตื่นตตื่นใจกับประเทศนี้มาก ท้องฟ้าก็สวย เมืองก็สะอาด แถมประเทศเค้าก็มีกฎเกณฑ์ดีซึ่งทำให้เรารู้สึกมาอยู่แล้วก็อุ่นใจ จำได้ว่าช่วงแรกตื่นเต้นมากชวนแฟนไปเข้าร่วมวัน Orientation ที่มหาลัย ทั้งไปเข้าร่วม mini gathering ของคอร์สที่เราจะเข้าเรียน ไปชิมร้านอาหารนู้นนี้ คือมีอะไรก็จะไป discovery กับแฟนไปเป็นเพื่อนทุกกกกอย่าง









แต่เอาละ!! เปิดเทอมแล้ว ตั้งวันนี้เป็นต้นไปไปวันนี้เราต้องไปไหนมาไหนทุกอย่างละเพราะแฟนต้องไปทำงาน กลับมาบ้านตอนเย็นค่อยเจอกัน จำได้แม่นมากเลยว่าช่วงแรกๆที่ต้องไปไหนมาไหน ทำอะไรเองก็กลัวไปหมด กลัวแบบโรคจิตมากๆ มา! ดูตัวอย่าง:
- กลัวการขึ้นรถไฟไปมหาลัยเองเพราะกลัวหลง
- กลัวที่จะซื้อตั๋วรถเพราะกลัวพูดผิด
- ไม่กล้าซื้ออาหารกลางวันที่มหาลัยเพราะกลัวสั่งถูกสั่งผิด แล้วเค้าจะหาว่าเราบ้านนอก!
- ไม่กล้าทักคนข้างบ้านเพราะกลัวว่าเค้าจะไม่รู้จักเราเนื่องจากเราไม่เคยคุยกัน
- หลีกเลี่ยงการคุยกับเพื่อนฝรั่งเพราะกลัวคุยแล้วไม่เข้าทางกัน แล้วกลัวเค้าจะหาว่าเราประหลาด
- ไม่กล้าตอบคำถาม หรือยกมือถามในห้องเรียนเพราะกลัวว่าคำถามที่เราถามหรือคำตอบที่เราตอบจะฟังดูโง่ๆ
(อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น แต่ขอบอกว่ามีอีกเยอะมาก! กลัวอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้นี่ขอให้บอก เราเข้าข่ายหมด)









ตอนช่วงแรกๆนั้นเป็นช่วงรู้สึกแอบ down มากเหมือนกัน และรู้สึกว่าการมาเรียนเมืองนอกมันเริ่มไม่ค่อยสนุกแล้ว รู้สึกว่าเราไม่สามารถใช้ชิวิต อย่างที่เป็นตัวเองเหมือนตอนอยู่เมืองไทย เหมือนเราต้องมาใช้ชีวิตเหมือนชนชาติรองของที่นี่ ตอนนี้นี่แหละที่เริ่มคิดในทางลบละ เช่น ของก็แพงที่นี่ อาหารก็ไม่อร่อยเหมือนบ้านเรา คิดถึงบ้าน อากาศก็หนาว อาจารย์ในคลาสก็ชอบแต่คนที่ตอบคำถาม ไม่นึกถึงคนขี้อายบ้างเลย ฝรั่งก็คบกันกับฝรั่ง เอเซียก็คบกันแต่เอเซีย ไม่มีเพื่อนคูล์ๆเป็นฝรั่งบ้างเลย และที่สำคัญเงินที่เตรียมมาก็เริ่มหมดแล้ว ไหนยังต้องหางานทำอีกเพื่อที่จะช่วยแม่จ่ายค่าเทอมของเทอมหน้าตามสัญญาเริ่มคิดละ....นี่เราคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยมาที่นี่


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากชีวิตตอนนั้น:
1) Life is not a bed of roses. ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

2) การที่เรารู้สึกdownในต่างแดน มันเป็นเรื่องปกติที่เป็นไปตาม Cultural Adjustment Curve ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับการปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมใหม่ๆ
- Honeymoon Stage (เป็นช่วงที่เรากำลังตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ทุกอย่าง อะไรๆก็ดูดีไปหมด)
- Crisis Stage or Culture Shock (เป็นช่วงที่เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรๆก็หงุดหงิดไปหมด ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ มองสิ่งต่างๆในแง่ลบ และรู้สึกคิดถึงบ้าน)
- Recovery Stage (เป็นช่วงที่เราเริ่มรู้สึกหรือหาวิธีการปรับตัวได้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เริ่มได้เพื่อนใหม่ๆ)
- Adjustment Stage (เป็นช่วงที่เราปรับตัวและรับวัฒนธรรมใหม่ๆได้แล้ว และรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมใหม่ๆนั้นเป็นบ้านหลังใหม่ของเรา ตอนนี้แหละเริ่มไม่อยากกลับบ้านแล้ว)

การแก้ปัญหา:
Get Busy ทำอะไรก็ได้ให้ชีวิตมันยุ่งเข้าไว้ ไม่ว่าจะไปเข้าชมรม ไปออกกำลังกาย ไปทำความรู้จักกับเพื่อนต่างชาติ ไปเดินเล่น ทำความรู้จักกับสถานที่สวยๆใหม่ๆ ไปหาของกินอร่อยๆ ไปเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ ไปเล่นกีฬา ไปหางานพิเศษทำ เพราะเมื่อเรายุ่งกับอะไรต่างๆแล้ว เวลาที่เราจะมัวมานั่งเศร้า หรือนั่งเพ้อเจ้อจะมีน้อยมาก แล้วมันจะทำให้เรา GET ON WITH IT
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่