เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - หุ้นจีนตกฮวบลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้งในวันพุธ (8 ก.ค.) โดยที่ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ปิดติดลบ 5.90% ส่วนดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซินเจิ้นก็ตกลง 2.50% การเซซวดของตลาดแดนมังกรนี้ เมื่อบวกเข้ากับปัจจัยเรื่องวิกฤตหนี้สินกรีซ ยังส่งผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งอื่น ๆ ในเอเชียพากันร่วงเป็นแถว โดยเฉพาะฮ่องกง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยใกล้ชิดกับตลาดจีน ดัชนีหั่งเส็งไหลรูดถึง 5.90% ส่วนโตเกียวก็ดิ่ง 3.14%
การทรุดลงของหุ้นจีนบังเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในวันพุธ รัฐบาลแดนมังกรได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติม เป็นการสานต่อความพยายามจำนวนมากก่อนหน้านี้ ที่จะสนับสนุนพยุงตลาดซึ่งกำลังอ่อนระโหยโรยแรง หลังจากที่การวิ่งตะบึงแบบกระทิงเปลี่ยวอย่างเมามัน ได้เกิดการเลี้ยวกลับ 180 องศาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ทำไมก่อนเดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นจีนจึงพุ่งแรง?
ตลาดหุ้นจีนเริ่มทะยานแรงตั้งแต่ปลายปี 2014 ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจแดนมังกรอยู่ในช่วงเติบโตขยายตัวด้วยอัตราต่ำที่สุดในรอบ 24 ปี
การไต่สูงเช่นนี้เริ่มต้นขึ้น หลังจากธนาคารกลางของจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2014 ถือเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลากว่า 2 ปี และหลังจากมีข่าวเปิดตัวโครงการที่จะเชื่อมการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้กับตลาดหุ้นฮ่องกง
ตลาดหุ้นจีนยังคงพุ่งต่อเนื่องในปี 2015 โดยที่ดัชนีสำคัญของตลาดเซี่ยงไฮ้ขยับทะลุระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 5,000 ตอนต้นเดือนมิถุนายน สืบเนื่องจากแรงผลักดันในเรื่องการซื้อขายแบบใช้มาร์จิน ซึ่งพวกนักลงทุนต้องมีเงินฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ เพียงแค่สัดส่วนน้อย ๆ ของมูลค่าการซื้อขายของพวกเขา การซื้อขายแบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้สูงขึ้น ทว่าก็สามารถทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับโอกาสที่จะขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน
ตอนที่ทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในวันที่ 12 มิถุนายนนั้น ดัชนีสำคัญของตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นไปถึงกว่า 150% ทีเดียวในรอบระยะเวลา 12 เดือน
ทำไมตั้งแต่เดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นจีนจึงหล่นลงมา?
ในวันเดียวกันกับที่ตลาดพุ่งไปแตะจุดสูงสุด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (China Securities Regulatory Commission ใช้อักษรย่อว่า CSRC) ประกาศว่าจะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น กับการซื้อขายโดยใช้มาร์จินของนักลงทุนรายย่อย ในวันถัดมา หน่วยงานคุมกฎแห่งนี้ยังสั่งห้ามการซื้อขายด้วยเงินทุนที่กู้ยืมนอกระบบการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน
เมื่อตลาดเปิดการซื้อขายอีกครั้ง พวกนักลงทุนก็เริ่มเทขายทำกำไร ด้วยความกังวลว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงเกินไปแล้ว และความเสี่ยงในตลาดกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กระบวนการปล่อยของในพอร์ตเช่นนี้ ในไม่ช้าก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ส่งผลทำให้ดัชนีสำคัญของเซี่ยงไฮ้หล่นลงมากกว่า 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ขึ้นไปสูงสุด อารมณ์ของตลาดยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อพวกนักลงทุนที่ซื้อขายโดยใช้มาร์จิน ถูกบังคับให้ขายหุ้นในพอร์ตของตนเพื่อเอาเงินสดมาชำระชดเชยราคาหุ้นที่ตกต่ำลงไป
มีการทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อสนับสนุนพยุงตลาด?
ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ดำดิ่งลงมา 7.4% ในวันที่ 26 มิถุนายน แล้ววันรุ่งขึ้นธนาคารกลางของจีนก็ทั้งประกาศลดดอกเบี้ย และลดอัตราส่วนเงินสำรองที่พวกแบงก์ต้องนำมาฝากไว้กับแบงก์ชาติ
จากนั้น CSRC ยังประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน ตลอดจนลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้น
หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลประกาศมาตรการที่อนุญาตให้พวกกองทุนบำนาญประกันสังคม เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นได้
หน่วยงานคุมกฎของตลาดหุ้น ยังตัดลดจำนวนการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนครั้งแรก (initial public offerings หรือ IPOs) ต่อมาก็ขยับไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการยกเลิกการทำไอพีโอทั้งหมดซึ่งมีกำหนดจะทำกันในอนาคตอันใกล้นี้
ในวันพุธ (8 ก.ค.) รัฐบาลแถลงว่า จะอนุญาตให้พวกบริษัทประกันภัยของจีนสามารถนำเอาสินทรัพย์ของตนไม่เกิน 10% มาลงทุนในหุ้น “บลูชิป” ตัวใดตัวหนึ่ง ปรับขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ยินยอมให้ไม่เกิน 5%
ขณะเดียวกัน บริษัท ไชน่า ซีเคียวริตีส์ไฟแนนซ์ (China Securities Finance Co.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ และมีภาครัฐหนุนหลัง ก็แถลงว่าจะ “เพิ่ม” การซื้อหุ้นของพวกบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม โดยได้รับความสนับสนุนด้านสภาพคล่องจากธนาคารกลางของประเทศ
จนกระทั่งถึงวันพุธ (8) CSRC ได้สั่งระงับการซื้อขายหุ้นในบริษัทจดทะเบียนรวมแล้วมากกว่า 1,300 แห่งตามคำขอของบริษัทเหล่านั้นเอง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาหุ้นตกลงไปกว่านี้
ถัดจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น?
จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครทราบเลย และตลาดยังอยู่ในอาการวูบวาบปั่นป่วนอย่างแรง ด้านหนึ่ง พวกนักลงทุนที่ถูกบังคับให้ขายหุ้นในพอร์ต อาจจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นดำดิ่งกันต่อไปอีก หรือในอีกด้านหนึ่ง อาจเกิดมีพวกนักล่าของถูก มองเห็นโอกาสและก้าวเข้ามาช้อนซื้อ
“จากการที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งมีต่อตลาดอยู่ในอาการแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะบอกได้ว่า เมื่อไรตลาดจึงจะเริ่มต้นมีเสถียรภาพและกระเตื้องขึ้นหลังจากการตกฮวบในช่วงหลัง ๆ นี้” จาง ฉี นักวิเคราะห์ของไห่ถง ซีเคียวริตีส์ ให้ความเห็นกับเอเอฟพี
ผลต่อเนื่องที่อาจเป็นไปได้มีอะไรบ้าง?
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า การดำดิ่งของตลาดหุ้นคราวนี้อาจถึงกับสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจจีน ซึ่งใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ของโลก ตลอดจนอาจเป็นชนวนทำให้เกิดความไม่สงบทางสังคมขึ้นมา ถึงแม้จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งควบคุมผู้ที่ความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล อย่างเข้มงวดกวดขันก็ตามที
มีหลายฝ่ายประมาณการว่า กิจกรรมการซื้อขายหุ้นเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนในรอบไตรมาสแรกปีนี้ มากกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ทีเดียว ดังนั้น เมื่อภาคการเงินเกิดการชะลอตัวอย่างแรงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้เช่นกัน
“การไหลรูดของตลาดหุ้นจีน ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risks)” เอเอ็นแซดแบงกิ้งกรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ของตน ถึงแม้จะกล่าวต่อไปด้วยว่า การทรุดตัวของหุ้นแดนมังกรคราวนี้ ยังไม่ถึงกับขยายตัวกลายเป็นวิกฤตไปแล้ว
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000077421
“ตลาดหุ้นจีน” ตกฮวบลงอย่างแรงระลอกนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - หุ้นจีนตกฮวบลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้งในวันพุธ (8 ก.ค.) โดยที่ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ปิดติดลบ 5.90% ส่วนดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซินเจิ้นก็ตกลง 2.50% การเซซวดของตลาดแดนมังกรนี้ เมื่อบวกเข้ากับปัจจัยเรื่องวิกฤตหนี้สินกรีซ ยังส่งผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งอื่น ๆ ในเอเชียพากันร่วงเป็นแถว โดยเฉพาะฮ่องกง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยใกล้ชิดกับตลาดจีน ดัชนีหั่งเส็งไหลรูดถึง 5.90% ส่วนโตเกียวก็ดิ่ง 3.14%
การทรุดลงของหุ้นจีนบังเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในวันพุธ รัฐบาลแดนมังกรได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติม เป็นการสานต่อความพยายามจำนวนมากก่อนหน้านี้ ที่จะสนับสนุนพยุงตลาดซึ่งกำลังอ่อนระโหยโรยแรง หลังจากที่การวิ่งตะบึงแบบกระทิงเปลี่ยวอย่างเมามัน ได้เกิดการเลี้ยวกลับ 180 องศาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ทำไมก่อนเดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นจีนจึงพุ่งแรง?
ตลาดหุ้นจีนเริ่มทะยานแรงตั้งแต่ปลายปี 2014 ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจแดนมังกรอยู่ในช่วงเติบโตขยายตัวด้วยอัตราต่ำที่สุดในรอบ 24 ปี
การไต่สูงเช่นนี้เริ่มต้นขึ้น หลังจากธนาคารกลางของจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2014 ถือเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลากว่า 2 ปี และหลังจากมีข่าวเปิดตัวโครงการที่จะเชื่อมการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้กับตลาดหุ้นฮ่องกง
ตลาดหุ้นจีนยังคงพุ่งต่อเนื่องในปี 2015 โดยที่ดัชนีสำคัญของตลาดเซี่ยงไฮ้ขยับทะลุระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 5,000 ตอนต้นเดือนมิถุนายน สืบเนื่องจากแรงผลักดันในเรื่องการซื้อขายแบบใช้มาร์จิน ซึ่งพวกนักลงทุนต้องมีเงินฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ เพียงแค่สัดส่วนน้อย ๆ ของมูลค่าการซื้อขายของพวกเขา การซื้อขายแบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้สูงขึ้น ทว่าก็สามารถทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับโอกาสที่จะขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน
ตอนที่ทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในวันที่ 12 มิถุนายนนั้น ดัชนีสำคัญของตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นไปถึงกว่า 150% ทีเดียวในรอบระยะเวลา 12 เดือน
ทำไมตั้งแต่เดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นจีนจึงหล่นลงมา?
ในวันเดียวกันกับที่ตลาดพุ่งไปแตะจุดสูงสุด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (China Securities Regulatory Commission ใช้อักษรย่อว่า CSRC) ประกาศว่าจะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น กับการซื้อขายโดยใช้มาร์จินของนักลงทุนรายย่อย ในวันถัดมา หน่วยงานคุมกฎแห่งนี้ยังสั่งห้ามการซื้อขายด้วยเงินทุนที่กู้ยืมนอกระบบการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน
เมื่อตลาดเปิดการซื้อขายอีกครั้ง พวกนักลงทุนก็เริ่มเทขายทำกำไร ด้วยความกังวลว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงเกินไปแล้ว และความเสี่ยงในตลาดกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กระบวนการปล่อยของในพอร์ตเช่นนี้ ในไม่ช้าก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ส่งผลทำให้ดัชนีสำคัญของเซี่ยงไฮ้หล่นลงมากกว่า 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ขึ้นไปสูงสุด อารมณ์ของตลาดยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อพวกนักลงทุนที่ซื้อขายโดยใช้มาร์จิน ถูกบังคับให้ขายหุ้นในพอร์ตของตนเพื่อเอาเงินสดมาชำระชดเชยราคาหุ้นที่ตกต่ำลงไป
มีการทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อสนับสนุนพยุงตลาด?
ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ดำดิ่งลงมา 7.4% ในวันที่ 26 มิถุนายน แล้ววันรุ่งขึ้นธนาคารกลางของจีนก็ทั้งประกาศลดดอกเบี้ย และลดอัตราส่วนเงินสำรองที่พวกแบงก์ต้องนำมาฝากไว้กับแบงก์ชาติ
จากนั้น CSRC ยังประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน ตลอดจนลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้น
หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลประกาศมาตรการที่อนุญาตให้พวกกองทุนบำนาญประกันสังคม เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นได้
หน่วยงานคุมกฎของตลาดหุ้น ยังตัดลดจำนวนการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนครั้งแรก (initial public offerings หรือ IPOs) ต่อมาก็ขยับไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการยกเลิกการทำไอพีโอทั้งหมดซึ่งมีกำหนดจะทำกันในอนาคตอันใกล้นี้
ในวันพุธ (8 ก.ค.) รัฐบาลแถลงว่า จะอนุญาตให้พวกบริษัทประกันภัยของจีนสามารถนำเอาสินทรัพย์ของตนไม่เกิน 10% มาลงทุนในหุ้น “บลูชิป” ตัวใดตัวหนึ่ง ปรับขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ยินยอมให้ไม่เกิน 5%
ขณะเดียวกัน บริษัท ไชน่า ซีเคียวริตีส์ไฟแนนซ์ (China Securities Finance Co.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ และมีภาครัฐหนุนหลัง ก็แถลงว่าจะ “เพิ่ม” การซื้อหุ้นของพวกบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม โดยได้รับความสนับสนุนด้านสภาพคล่องจากธนาคารกลางของประเทศ
จนกระทั่งถึงวันพุธ (8) CSRC ได้สั่งระงับการซื้อขายหุ้นในบริษัทจดทะเบียนรวมแล้วมากกว่า 1,300 แห่งตามคำขอของบริษัทเหล่านั้นเอง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาหุ้นตกลงไปกว่านี้
ถัดจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น?
จริง ๆ แล้วคงไม่มีใครทราบเลย และตลาดยังอยู่ในอาการวูบวาบปั่นป่วนอย่างแรง ด้านหนึ่ง พวกนักลงทุนที่ถูกบังคับให้ขายหุ้นในพอร์ต อาจจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นดำดิ่งกันต่อไปอีก หรือในอีกด้านหนึ่ง อาจเกิดมีพวกนักล่าของถูก มองเห็นโอกาสและก้าวเข้ามาช้อนซื้อ
“จากการที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งมีต่อตลาดอยู่ในอาการแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะบอกได้ว่า เมื่อไรตลาดจึงจะเริ่มต้นมีเสถียรภาพและกระเตื้องขึ้นหลังจากการตกฮวบในช่วงหลัง ๆ นี้” จาง ฉี นักวิเคราะห์ของไห่ถง ซีเคียวริตีส์ ให้ความเห็นกับเอเอฟพี
ผลต่อเนื่องที่อาจเป็นไปได้มีอะไรบ้าง?
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า การดำดิ่งของตลาดหุ้นคราวนี้อาจถึงกับสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจจีน ซึ่งใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ของโลก ตลอดจนอาจเป็นชนวนทำให้เกิดความไม่สงบทางสังคมขึ้นมา ถึงแม้จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ซึ่งควบคุมผู้ที่ความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล อย่างเข้มงวดกวดขันก็ตามที
มีหลายฝ่ายประมาณการว่า กิจกรรมการซื้อขายหุ้นเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนในรอบไตรมาสแรกปีนี้ มากกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ทีเดียว ดังนั้น เมื่อภาคการเงินเกิดการชะลอตัวอย่างแรงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้เช่นกัน
“การไหลรูดของตลาดหุ้นจีน ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risks)” เอเอ็นแซดแบงกิ้งกรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ของตน ถึงแม้จะกล่าวต่อไปด้วยว่า การทรุดตัวของหุ้นแดนมังกรคราวนี้ ยังไม่ถึงกับขยายตัวกลายเป็นวิกฤตไปแล้ว
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000077421