หากกล่าวถึงกองทัพประเทศหนึ่งที่มักจะห้อยตามตามสหรัฐไปทั่วทุกหนแห่งไม่ว่าสหรัฐจะไปที่ไหนจะต้องมีกองทัพของชาตินี้ตามไปด้วย ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เรียกได้ กองทัพ 2 ชาตินี้คือเพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อย่างแท้จริงใช่ครับผมกำลังกล่าวถึงกองทัพของดินแดนที่พระไม่เคยตกดินอย่าง"สหราชอาณาจักร" หรือที่เราเรียกสั้นๆว่าอังกฤษ กองทัพชาตินี้นั้นถือว่าได้สร้างผลงานและวีรกรรมจารึกสมรภูมิไว้มากมายและยังถือเป็น 1 ในกองทัพที่มีประสิทธิภาพในการพร้อมรบและความทันสมัยสูงที่สุดในโลกด้วย แน่นอนหากกล่าวถึงกองทัพชาตินี้แล้วเราก็คงต้องนึกถึงปืนไรเฟิลประจำกายที่พวกเขาใช้กันจนถึงปัจบันเราจะมาพูดถึงปืนตัวนี้กันครับ
ความต้องการ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้มีโครงการพัฒนากระสุนชนิดใหม่เพื่อมาทดแทนเจ้ากระสุน 7.7×56mmR หรือ .303 british ที่เริ่มล้าสมัยที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงช่วงต้นๆของสงครามเกาหลีโดยกระสุนตัวนี้ใช้มานานกว่า 50 ปี โดยคุณสมบัติกระสุนชนิดใหม่ที่อังกฤษต้องการคือมันต้องจุได้เยอะกว่า ขนได้เยอะกว่าและอนุภาพมันต้องพอๆกับของเก่าหรือเหนือกว่า ความต้องการนี้ได้พัฒนาให้ก่อเกิดและพัฒนากระสุนชนิดอย่าง 7×43mm หรือ .280 british แน่นอนกระสุนชนิดใหม่มันก็ต้องมาพร้อมกับปืนแบบใหม่ทำให้อังกฤษจำเป็นต้องพัฒนาปืนชนิดใหม่เพื่อรองรับกับเจ้ากระสุนชนิดนี้
รูป .306 (ซ้าย) .280 british (กลาง) .308 nato (ขวา)
การพัฒนา
โดยทางกองทัพอังกฤษได้ออกแบบปืนต้นแบบมาถึง 4 กระบอกได้แก่
-em1 และ em2 ออกแบบโดย Stanley Thorpe
-em3 ออกแบบโดย Major Eric Hall
-em4 ออกแบบโดย Dennis Burney โดยตัวปืน em4 นั้นไม่เคยถูกผลิตออกมาจริงๆมีเพียงแค่ในพิมพ์เขียวเท่านั้น
ทางกองทัพอังกฤษได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเลือกปืนต้นแบบกระบอกใดกระบอกหนึ่ง มาออกแบบและพัฒนาโดยกองทัพอังกฤษได้เลือกเจ้าต้นแบบอย่าง em1 และ em2 ที่ออกแบบโดย stanley thrope มาพัฒนาและต่อยอดในปี 1948 โดยเจ้า em1 และ em2 นั้นมีรูปทรงที่ถือว่าแหวกแนวและล้ำสมัยอย่างมากในยุคนั้นโดยตัวปืนเป็นแบบ bullpub ที่รังเพลิงและระบบกลไกภายในปืนส่วนใหญ่จะไปอยู่ตรางพานท้ายทั้งเกือบทั้งหมด โดยเหลือเพียงด้ามจับที่จะอยู่ด้านหน้าตัวรังเพลิง โดยข้อดีของ bullpub คือปืนนั้นมีขนาดเล็กและกระทัดรัดให้ความคล่องแคล่วสูงโดยไม่เสียความแม่นยำไปมากนักเนื่องจากตัวปืนนั้นมความยาวลำกล้องพอๆกับความยาวลำกล้องไรเฟิลปกติแต่ตัวปืนมีขนาดสั้นกว่ามากทำให้ความคล่องตัวนั้นมากกว่าปืนไรเฟิลทั่วไปในยุคนั้น โดยตัวลำกล้องของ em2 นั้นมีความสั้นกว่าลำกล้องของ m14 เพียง 2.5 นิ้วเท่านั้นแต่ใีขนาดที่เล็ดกระทัดรัดกว่ามาก โดยตัวปืนนั้นบรรจุแม็กาซีนแบบ 20 นัด(ตามสมัยนิยมในตอนนั้น)และมีระยะหวังผลถึง 700 เมตร โดยตัว em1 นั้นก็แทบไม่ต่างจาก em 2 มากนัก แต่กลไกภายในและรูปแบบการผลิตนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย em1 นั้นใช้วิธีนำเหล็กแผ่นมาปั๊มขึ้นรูป(เน้นผลิตเยอะๆ) ในขณะที่ em2 นั้นการผลิวปืนนั้นประณีตกว่าอย่างมาก และกลไกความน่าเชื่อถือและรูปทรงปืนที่เป็นมิตรกับผู้ใช้โดยรวมเจ้า em2 นั้นดีกว่า em1 อย่างมากทำให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจเลือกเจ้า em2 เข้าประจำการเป็นปืนไรเฟิลประจำกายมาตรฐานชนิดใหม่ของกองทัพในช่วงปี 1950 โดยทาง em2 นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ gas operate with long stroke โดยตัวปืนมีให้เลือก 2 โหมดการยิงได้แก่ semi และ full-auto
รูปของ em1 ที่ถูกคัดออกในรอบสุดท้าย(จขกท.คิดว่าหน้าตามันหน้าเกลียดมาก)
รูปของ em2 ปืนประจำกายแบบใหม่ของกองทัพอังกฤษในตอนนั้น
ถูกบีบบังคับ
หลังจากประจำการเจ้า em2 ได้ไม่นานก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้กองทัพอังกฤษต้องปวดหัวอีกครั้งเพราะตอนนั้นหัวเรือใหญ่ของ nato อย่างสหรัฐได้มีมติให้กองทัพทุกประเทศที่เข้าร่วม nato ทุกประเทศต้องใช้กระสุนขนาดชนิดเดียวแบบเดียวกันนั่นก็คือ 7.62x51mm ไม่ก็ 5.56x45mm เท่านั้นแน่นอนทางกองทัพอังกฤษจึงไม่ยอมเพราะหมายความว่าอังกฤษต้องรื้อกระสุนแบบเก่าทิ้งทั้งหมดต้องปรับปรุงปืนทุกกระบอกในตอนนั้น ให้รับกับขนาดของกระสุนชนิดใหม่ได้แต่สุดท้ายการประท้วงไม่เป็นผลเป็น โดยทางกองทัพสหรัฐได้กล่าวหาอังกฤษว่ากระสุนแบบ 7×43mm หรือ .280 british นั้นมีอนุภาพที่ห่วยแตกกว่ากระสุนแบบ 7.62x51mm และ 5.56x45mm ของตน ต้องแต่ใช้ของตนเท่านั้นโดยการประท้วงครั้งนี้มีเพียงประเทศอย่างแคนาดาเท่านั้นที่เห็นด้วยกับอังกฤษเพราะตัวเองก็ดันซื้อเจ้า em2 ไปแล้วเช่นกัน(ประมาณว่าถ้าเองเปลี่ยนตูก็ซวยด้วย) และทางนายกรัฐมนตรีอย่างเชอร์ชิลเองก็เห็นด้วยกับสหรัฐเช่นกันเพราะมองว่าเครือข่าย nato นั้นสำคัญกว่าปืนและกระสุนแบบใหม่ของกองทัพกว่ามากซึ่งสวนทางกับความคิดเห็นของกองทัพอังกฤษในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง สุดทายทางกองทัพก็ต้องนำเจ้า em2 มาปรับปรุงใหม่อีกครั้งเพื่อรับกับกระสุนขนาดใหม่อย่าง 7.62x51 โดยตั้งชื่อว่า em2s แต่ผลสุดท้ายออกมาไม่เวิร์กเอาซะเลย ทำให้บีบให้กองทัพต้องไปซื้อปืนอย่าง fn fal ที่ใช้กระสุนแบบ 7.62x51 เช่นเดียวกันโดยทางอังกฤษได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ fn fal มาผลิตเองในประเทศในชื่อ l1a1 ทดแทนปืนแบบ em2 ทั้งหมด
รูปของ l1a1
การพัฒนาใหม่อีกครั้ง
หลังจากใช้เจ้า l1a1 ในสงครามเวียดนามอังกฤษก็ทึ่งกับประสิทธิภาพของกระสุนแบบ 7.61x51mm อย่างมากเพระามันมีอำนาจการสังหารที่รุนแรงและอำนาจการหยุดยั้งที่สูงกว่ากระสุนแบบ 7x43mm ของตนอย่างมากจนถึงในช่วงทศวรรศที่ 1970 อังกฤษได้ทดลองนำกระสุนของสหรัฐอย่าง 5.56x45mm มาพัฒนาอีกครั้งโดยสุดท้ายได้กระสุนขนาด 4.8x49mm และได้นำไปทดลองกับปืนอย่างเจ้า em2 ซึ่งอังกฤษได้ตั้งชื่อเจ้าปืน em2 ที่ถูกดัดแปลงให้ใช้กับกระสุนชนิดนี้ว่า l64/65
รูปของ l64/65
จนถึงในช่วงทศวรรศ 1980 การมาของกระสุนชนิดใหม่อย่าง 5.56x45mm m855 ซึ่งทางอังกฤษทึ่งกับอนุภาพของกระสุนชนิดนี้อย่างมากโดยทางอังกฤษจึงได้ตัดสินใจนำเจ้า l64/65 มาพัฒนาใหม่อีกครั้งเพื่อรับกับกระสุนชนิดใหม่นี้ ต้นแบบได้ถูกพัฒนาอีกครั้งโดยชื่อว่า "project phase a" โดยทางมีต้นแบบออกมา 2 ตัวได้แก่ xl86 และ xl85 ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็น l86a1 และ l85a1 ตามลำดับโดยตัว l86 นั้นถูกออกแบบเพื่อให้เป็นปืนกลเบาสำหรับทหารราบ ส่วนทาง l85 นั้นถูกออกแบบเพื่อเป็นปืนไรเฟิลประจำกายมาตรฐานของทหารราบ แต่โดยรวมรูปรูปร่างภายนอกของทั้ง 2 รุ่นนั้นแทบไม่ต่างกันนักใช้กระสุนชนิดเดียวกันเพียงแต่เจ้า l86 จะติดตั้งขาทรายมาในตัวและมีลำกล้องที่ยาวและแข็งแรงกว่า l85
โดยตัวปืนทั้ง 2 รุ่นได้เข้าประจำการในปี 1985 ในชื่ออย่างเป็นทางการว่า Small Arms for the 1980s หรือในชื่อภาษาไทยว่า"ปืนไรเฟิลขนาดเล็กสำหรับทศวรรศที่ 1980" โดยมีชื่อเรียกสั้นๆว่า sa80 แต่ทางจขกท.เองจะขอเรียกว่า l85 และ l86 ละกันโดยตัวปืนทั้งคู่นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ gas operate โดยเปลี่ยนไปใช้ลูกสูบสั้นแทนลูกสูบยาวแบบเก่าโดยตัวท่อแก๊สกับลูกสูบนั้นอยู่ตรงข้างบนลำกล้อง โดยตัวปืนมีระบบปรับแก๊ส 3 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่ 1 ปรับไว้สำหรับสภาวะแวดล้อมปกติ ตำแหน่งที่ 2 ปรับไว้ในกรณีที่สภาพแวดล้อมตอนนั้นเลวร้ายอย่างมากเช่นลุยโคลน ลุยน้ำ เป็นต้น ตำแหน่งที่ 3 ปรับไว้ในกรณที่จะยิงเครื่องยิงลูกระเบิดตรงปากลำกล้อง โดยตัวปืนมี 2 โหมดคือ semi และ full-auto
รูปของ l85a1
รูปของ l86a1
ปัญหา
แต่ถึงแม้จะออกแบบมาดีเพียงใดก็ตามตัวปืนทั้ง l85 และ l86 นั้นก็มีปัญหาอย่างมากมายโดยหลังจากประจำการได้ไม่นานก็โดนทางทหาราบอังกฤษสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกันว่า"ห่วย"
โดยปัญหาของ l85 นั้นคือ
1.กระโจมมือที่ทำพลาสติกคุณภาพห่วยแตกพังง่าย
2.ตัวปืนนั้นพังง่ายแถมขัดลำง่ายอย่างง่ายดายเพียงแค่ทำตัวปืนตกกระแทกพื้นแรงๆปืนก็จะเกิดอาการขัดลำยิงไม่ออก
3.ตัวปุ่มล็อคแม็กกาซีนที่ออกแบบมาห่วยแตกอย่างที่สุดเพราะเพียงแค่คุณเดินถือปืนปกติก็จะมีอาการแม็กกาซีนหลุดออกจากตัวปืนโดยไม่ทราบสาเหตุ
4.ตัวสปริงตรงแม็กกาซีนนั้นทำออกมาได้ห่วยแตกโดยเมื่อใช้ไปนานๆ ตัวสปริงตรงแม็กกาซีนจะไม่สามารถดันกระสุนตรงก้นแม็กกาซีนได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ทหารราบอังกฤษต้องบรรจุกระสุนใส่แม็กกาซีนเพียง 26-28 นัดเท่านั้นจากทั้งหมดเพราะถ้าจุนัดที่ 29-30 ตัวสปริงในแม็กกาซีนจะมีอาการดันกระสุนไม่ขึ้น
5.ตัวกระโจมมือที่ทำจากพลาสติกนั้นมีปัญหาเมื่อยิงไปนานๆตัวกระโจมมือจะมีอาการแตกร้าวเนื่องจากเจอความร้อนภายในของแก๊สในลำกล้องทำให้พลาสติกขยายตัวจนแตกออกจากกัน ทำให้ลำบากทหารราบอังกฤษต้องเอาเทปมาปิดแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน
6.น้ำหนักตัวปืนที่มากเกินไป
7.ตัวปืนนั้นไม่ถูกกับน้ำและทรายอย่างมาก
โดยปัญหาของ l86 นั้นคือ
1.ปัญหาเดียวกับ l85 แทบทุกประการ
2.ตัวปืนมีอาการลำกล้องร้อนจัดและลำกล้องร้าวเมื่อยิงออกไปเพียง 120-150 นัด
3.ตัวปืนนั้นขัดลำง่าย ถอดประกอบออกมาล้างทำความสะอาดก็ยุ่งยากซึ่งไม่ทันกับสถานการร์ฉุกเฉินในสนามรบ
แน่นอนจากปัญหาดังกล่าวนี้ทหารราบอังกฤษต่างส่ายหน้ากับประสิทธิภาพของเจ้า l85 และ l86 อย่างมาก เพราะปัญหาเกิดขึ้นในปืน l85 และ l86 มากกว่า 50% ของปืนทั้งหมด จนทหารอังกฤษส่วนใหญ่ต่างเรียกร้องต้องการ m16 และ m4 เอาไปใช้แทนเจ้า l85 และ l86 อย่างมากมายและเนื่องจากทหารอังกฤษส่วนใหญ่ต่างพอใจกับประสิทธิภาพของเจ้า m16 และ m4 มากกว่า l85 และ l86 อย่างมากจนกองทัพอังกฤษต้องพิจาณาปลดประจำการเจ้า l85 และ l86 ทั้งหมดแล้วไปใช้ m4 และ m16 แทนแต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่บานปลาย ทางกองทัพอังกฤษเลยจึงจ้างบริษัท hecker & koch มาปรับปรุงเจ้า l85 และ l86 ซึ่งใช้งบที่น้อยกว่าซื้อ m4 และ m16 มาประจำการแทนทั้งหมด
การปรับปรุงแก้ไข
ในปี 2000 ปืน l85 และ l86 กว่า 200000 กระบอกได้ถูก hk นำไปพัฒนาใหม่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนกระโจมมือที่ทำจากพลาสติกแบบใหม่ที่มีคุณภาพที่ดีกว่าเดิมมาก เปลี่ยนไปใช้ลูกเลื่อนแบบใหม่ เปลี่ยนเท็คนิคภายในรังเพลิงแบบใหม่ และเปลี่ยนไปใช้เข็มแทงชนวนแบบใหม่แทนของเก่าที่คุณภาพห่วยแตกกว่ามากซึ่งทำให้ตัวกลไกปืนมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และปรับปรุงอีกหลายๆอย่างและได้ตั้งชื่อว่า l85a2 และ l86a2 โดยตัวปืนนั้นได้ถอดหูหิ้วแบบเดิมออกและใส่รางติดอุปกรณ์เสริม โดยติดตัวปืนกล้องเล็งแบบ Susat กำลังขยาย 4x มาจากโรงงาน
รูปเมื่อเรามองผ่านกล้องเล็งแบบ susat กำลังขยาย 4x
และกองทัพอังกฤษได้ออกมาโม้ว่า l86a2 และ l85a2 มัน"คือปืนที่มีประสิทธิภาพกลไกที่มีความน่าเชื่อถือสุดในโลก" แต่ผลออกมาคือ l85a2 ที่ออกมาจากการปรับปรุงสดๆกว่า 25200 กระบอกเจออาการปืนขัดลำกล้องตั้งแต่ออกจากโรงงาน เช่นเดียวกับ l86a2 ที่เจออาการขัดลำกล้องกว่า 12800 กระบอก โดยรวม l85a2 35200 เจออาการขัดลำกล้องตั้งแต่ยังไม่ใช้งาน แถมตัวปืนจะมีอาการอัตรายิงลดลงเมื่อเจอสภาพอากาศร้อนสุดขั้วหรือหนาวสุดขั้ว แต่ถึงอย่างงั้นตัวลูกเลื่อนของปืนก็ได้รับการยอมรับว่าเป้ลลูกเลื่อนที่มีคุณภาพดีอละประสิทธิภาพสูงโดยตัวลำกล้องปืนมีอายุการใช้งานอย่างต่ำ 10000 นัด และยังมีทหารอังกฤษบางส่วนยังบ่นคงเรื่องน้ำหนักของบตัวปืนที่หนักเกินไปเกือบ 4kg
รูป l85a2
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/SA80
http://www.forgottenweapons.com/rifles/em1/
https://en.wikipedia.org/wiki/EM-2_rifle
http://world.guns.ru/assault/brit/sa0--l5-e.html
L85 ปืนไรเฟิลของเมืองผู้ดี
ความต้องการ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้มีโครงการพัฒนากระสุนชนิดใหม่เพื่อมาทดแทนเจ้ากระสุน 7.7×56mmR หรือ .303 british ที่เริ่มล้าสมัยที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงช่วงต้นๆของสงครามเกาหลีโดยกระสุนตัวนี้ใช้มานานกว่า 50 ปี โดยคุณสมบัติกระสุนชนิดใหม่ที่อังกฤษต้องการคือมันต้องจุได้เยอะกว่า ขนได้เยอะกว่าและอนุภาพมันต้องพอๆกับของเก่าหรือเหนือกว่า ความต้องการนี้ได้พัฒนาให้ก่อเกิดและพัฒนากระสุนชนิดอย่าง 7×43mm หรือ .280 british แน่นอนกระสุนชนิดใหม่มันก็ต้องมาพร้อมกับปืนแบบใหม่ทำให้อังกฤษจำเป็นต้องพัฒนาปืนชนิดใหม่เพื่อรองรับกับเจ้ากระสุนชนิดนี้
รูป .306 (ซ้าย) .280 british (กลาง) .308 nato (ขวา)
การพัฒนา
โดยทางกองทัพอังกฤษได้ออกแบบปืนต้นแบบมาถึง 4 กระบอกได้แก่
-em1 และ em2 ออกแบบโดย Stanley Thorpe
-em3 ออกแบบโดย Major Eric Hall
-em4 ออกแบบโดย Dennis Burney โดยตัวปืน em4 นั้นไม่เคยถูกผลิตออกมาจริงๆมีเพียงแค่ในพิมพ์เขียวเท่านั้น
ทางกองทัพอังกฤษได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเลือกปืนต้นแบบกระบอกใดกระบอกหนึ่ง มาออกแบบและพัฒนาโดยกองทัพอังกฤษได้เลือกเจ้าต้นแบบอย่าง em1 และ em2 ที่ออกแบบโดย stanley thrope มาพัฒนาและต่อยอดในปี 1948 โดยเจ้า em1 และ em2 นั้นมีรูปทรงที่ถือว่าแหวกแนวและล้ำสมัยอย่างมากในยุคนั้นโดยตัวปืนเป็นแบบ bullpub ที่รังเพลิงและระบบกลไกภายในปืนส่วนใหญ่จะไปอยู่ตรางพานท้ายทั้งเกือบทั้งหมด โดยเหลือเพียงด้ามจับที่จะอยู่ด้านหน้าตัวรังเพลิง โดยข้อดีของ bullpub คือปืนนั้นมีขนาดเล็กและกระทัดรัดให้ความคล่องแคล่วสูงโดยไม่เสียความแม่นยำไปมากนักเนื่องจากตัวปืนนั้นมความยาวลำกล้องพอๆกับความยาวลำกล้องไรเฟิลปกติแต่ตัวปืนมีขนาดสั้นกว่ามากทำให้ความคล่องตัวนั้นมากกว่าปืนไรเฟิลทั่วไปในยุคนั้น โดยตัวลำกล้องของ em2 นั้นมีความสั้นกว่าลำกล้องของ m14 เพียง 2.5 นิ้วเท่านั้นแต่ใีขนาดที่เล็ดกระทัดรัดกว่ามาก โดยตัวปืนนั้นบรรจุแม็กาซีนแบบ 20 นัด(ตามสมัยนิยมในตอนนั้น)และมีระยะหวังผลถึง 700 เมตร โดยตัว em1 นั้นก็แทบไม่ต่างจาก em 2 มากนัก แต่กลไกภายในและรูปแบบการผลิตนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย em1 นั้นใช้วิธีนำเหล็กแผ่นมาปั๊มขึ้นรูป(เน้นผลิตเยอะๆ) ในขณะที่ em2 นั้นการผลิวปืนนั้นประณีตกว่าอย่างมาก และกลไกความน่าเชื่อถือและรูปทรงปืนที่เป็นมิตรกับผู้ใช้โดยรวมเจ้า em2 นั้นดีกว่า em1 อย่างมากทำให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจเลือกเจ้า em2 เข้าประจำการเป็นปืนไรเฟิลประจำกายมาตรฐานชนิดใหม่ของกองทัพในช่วงปี 1950 โดยทาง em2 นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ gas operate with long stroke โดยตัวปืนมีให้เลือก 2 โหมดการยิงได้แก่ semi และ full-auto
รูปของ em1 ที่ถูกคัดออกในรอบสุดท้าย(จขกท.คิดว่าหน้าตามันหน้าเกลียดมาก)
รูปของ em2 ปืนประจำกายแบบใหม่ของกองทัพอังกฤษในตอนนั้น
ถูกบีบบังคับ
หลังจากประจำการเจ้า em2 ได้ไม่นานก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้กองทัพอังกฤษต้องปวดหัวอีกครั้งเพราะตอนนั้นหัวเรือใหญ่ของ nato อย่างสหรัฐได้มีมติให้กองทัพทุกประเทศที่เข้าร่วม nato ทุกประเทศต้องใช้กระสุนขนาดชนิดเดียวแบบเดียวกันนั่นก็คือ 7.62x51mm ไม่ก็ 5.56x45mm เท่านั้นแน่นอนทางกองทัพอังกฤษจึงไม่ยอมเพราะหมายความว่าอังกฤษต้องรื้อกระสุนแบบเก่าทิ้งทั้งหมดต้องปรับปรุงปืนทุกกระบอกในตอนนั้น ให้รับกับขนาดของกระสุนชนิดใหม่ได้แต่สุดท้ายการประท้วงไม่เป็นผลเป็น โดยทางกองทัพสหรัฐได้กล่าวหาอังกฤษว่ากระสุนแบบ 7×43mm หรือ .280 british นั้นมีอนุภาพที่ห่วยแตกกว่ากระสุนแบบ 7.62x51mm และ 5.56x45mm ของตน ต้องแต่ใช้ของตนเท่านั้นโดยการประท้วงครั้งนี้มีเพียงประเทศอย่างแคนาดาเท่านั้นที่เห็นด้วยกับอังกฤษเพราะตัวเองก็ดันซื้อเจ้า em2 ไปแล้วเช่นกัน(ประมาณว่าถ้าเองเปลี่ยนตูก็ซวยด้วย) และทางนายกรัฐมนตรีอย่างเชอร์ชิลเองก็เห็นด้วยกับสหรัฐเช่นกันเพราะมองว่าเครือข่าย nato นั้นสำคัญกว่าปืนและกระสุนแบบใหม่ของกองทัพกว่ามากซึ่งสวนทางกับความคิดเห็นของกองทัพอังกฤษในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง สุดทายทางกองทัพก็ต้องนำเจ้า em2 มาปรับปรุงใหม่อีกครั้งเพื่อรับกับกระสุนขนาดใหม่อย่าง 7.62x51 โดยตั้งชื่อว่า em2s แต่ผลสุดท้ายออกมาไม่เวิร์กเอาซะเลย ทำให้บีบให้กองทัพต้องไปซื้อปืนอย่าง fn fal ที่ใช้กระสุนแบบ 7.62x51 เช่นเดียวกันโดยทางอังกฤษได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ fn fal มาผลิตเองในประเทศในชื่อ l1a1 ทดแทนปืนแบบ em2 ทั้งหมด
รูปของ l1a1
การพัฒนาใหม่อีกครั้ง
หลังจากใช้เจ้า l1a1 ในสงครามเวียดนามอังกฤษก็ทึ่งกับประสิทธิภาพของกระสุนแบบ 7.61x51mm อย่างมากเพระามันมีอำนาจการสังหารที่รุนแรงและอำนาจการหยุดยั้งที่สูงกว่ากระสุนแบบ 7x43mm ของตนอย่างมากจนถึงในช่วงทศวรรศที่ 1970 อังกฤษได้ทดลองนำกระสุนของสหรัฐอย่าง 5.56x45mm มาพัฒนาอีกครั้งโดยสุดท้ายได้กระสุนขนาด 4.8x49mm และได้นำไปทดลองกับปืนอย่างเจ้า em2 ซึ่งอังกฤษได้ตั้งชื่อเจ้าปืน em2 ที่ถูกดัดแปลงให้ใช้กับกระสุนชนิดนี้ว่า l64/65
รูปของ l64/65
จนถึงในช่วงทศวรรศ 1980 การมาของกระสุนชนิดใหม่อย่าง 5.56x45mm m855 ซึ่งทางอังกฤษทึ่งกับอนุภาพของกระสุนชนิดนี้อย่างมากโดยทางอังกฤษจึงได้ตัดสินใจนำเจ้า l64/65 มาพัฒนาใหม่อีกครั้งเพื่อรับกับกระสุนชนิดใหม่นี้ ต้นแบบได้ถูกพัฒนาอีกครั้งโดยชื่อว่า "project phase a" โดยทางมีต้นแบบออกมา 2 ตัวได้แก่ xl86 และ xl85 ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็น l86a1 และ l85a1 ตามลำดับโดยตัว l86 นั้นถูกออกแบบเพื่อให้เป็นปืนกลเบาสำหรับทหารราบ ส่วนทาง l85 นั้นถูกออกแบบเพื่อเป็นปืนไรเฟิลประจำกายมาตรฐานของทหารราบ แต่โดยรวมรูปรูปร่างภายนอกของทั้ง 2 รุ่นนั้นแทบไม่ต่างกันนักใช้กระสุนชนิดเดียวกันเพียงแต่เจ้า l86 จะติดตั้งขาทรายมาในตัวและมีลำกล้องที่ยาวและแข็งแรงกว่า l85
โดยตัวปืนทั้ง 2 รุ่นได้เข้าประจำการในปี 1985 ในชื่ออย่างเป็นทางการว่า Small Arms for the 1980s หรือในชื่อภาษาไทยว่า"ปืนไรเฟิลขนาดเล็กสำหรับทศวรรศที่ 1980" โดยมีชื่อเรียกสั้นๆว่า sa80 แต่ทางจขกท.เองจะขอเรียกว่า l85 และ l86 ละกันโดยตัวปืนทั้งคู่นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ gas operate โดยเปลี่ยนไปใช้ลูกสูบสั้นแทนลูกสูบยาวแบบเก่าโดยตัวท่อแก๊สกับลูกสูบนั้นอยู่ตรงข้างบนลำกล้อง โดยตัวปืนมีระบบปรับแก๊ส 3 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่ 1 ปรับไว้สำหรับสภาวะแวดล้อมปกติ ตำแหน่งที่ 2 ปรับไว้ในกรณีที่สภาพแวดล้อมตอนนั้นเลวร้ายอย่างมากเช่นลุยโคลน ลุยน้ำ เป็นต้น ตำแหน่งที่ 3 ปรับไว้ในกรณที่จะยิงเครื่องยิงลูกระเบิดตรงปากลำกล้อง โดยตัวปืนมี 2 โหมดคือ semi และ full-auto
รูปของ l85a1
รูปของ l86a1
ปัญหา
แต่ถึงแม้จะออกแบบมาดีเพียงใดก็ตามตัวปืนทั้ง l85 และ l86 นั้นก็มีปัญหาอย่างมากมายโดยหลังจากประจำการได้ไม่นานก็โดนทางทหาราบอังกฤษสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกันว่า"ห่วย"
โดยปัญหาของ l85 นั้นคือ
1.กระโจมมือที่ทำพลาสติกคุณภาพห่วยแตกพังง่าย
2.ตัวปืนนั้นพังง่ายแถมขัดลำง่ายอย่างง่ายดายเพียงแค่ทำตัวปืนตกกระแทกพื้นแรงๆปืนก็จะเกิดอาการขัดลำยิงไม่ออก
3.ตัวปุ่มล็อคแม็กกาซีนที่ออกแบบมาห่วยแตกอย่างที่สุดเพราะเพียงแค่คุณเดินถือปืนปกติก็จะมีอาการแม็กกาซีนหลุดออกจากตัวปืนโดยไม่ทราบสาเหตุ
4.ตัวสปริงตรงแม็กกาซีนนั้นทำออกมาได้ห่วยแตกโดยเมื่อใช้ไปนานๆ ตัวสปริงตรงแม็กกาซีนจะไม่สามารถดันกระสุนตรงก้นแม็กกาซีนได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ทหารราบอังกฤษต้องบรรจุกระสุนใส่แม็กกาซีนเพียง 26-28 นัดเท่านั้นจากทั้งหมดเพราะถ้าจุนัดที่ 29-30 ตัวสปริงในแม็กกาซีนจะมีอาการดันกระสุนไม่ขึ้น
5.ตัวกระโจมมือที่ทำจากพลาสติกนั้นมีปัญหาเมื่อยิงไปนานๆตัวกระโจมมือจะมีอาการแตกร้าวเนื่องจากเจอความร้อนภายในของแก๊สในลำกล้องทำให้พลาสติกขยายตัวจนแตกออกจากกัน ทำให้ลำบากทหารราบอังกฤษต้องเอาเทปมาปิดแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน
6.น้ำหนักตัวปืนที่มากเกินไป
7.ตัวปืนนั้นไม่ถูกกับน้ำและทรายอย่างมาก
โดยปัญหาของ l86 นั้นคือ
1.ปัญหาเดียวกับ l85 แทบทุกประการ
2.ตัวปืนมีอาการลำกล้องร้อนจัดและลำกล้องร้าวเมื่อยิงออกไปเพียง 120-150 นัด
3.ตัวปืนนั้นขัดลำง่าย ถอดประกอบออกมาล้างทำความสะอาดก็ยุ่งยากซึ่งไม่ทันกับสถานการร์ฉุกเฉินในสนามรบ
แน่นอนจากปัญหาดังกล่าวนี้ทหารราบอังกฤษต่างส่ายหน้ากับประสิทธิภาพของเจ้า l85 และ l86 อย่างมาก เพราะปัญหาเกิดขึ้นในปืน l85 และ l86 มากกว่า 50% ของปืนทั้งหมด จนทหารอังกฤษส่วนใหญ่ต่างเรียกร้องต้องการ m16 และ m4 เอาไปใช้แทนเจ้า l85 และ l86 อย่างมากมายและเนื่องจากทหารอังกฤษส่วนใหญ่ต่างพอใจกับประสิทธิภาพของเจ้า m16 และ m4 มากกว่า l85 และ l86 อย่างมากจนกองทัพอังกฤษต้องพิจาณาปลดประจำการเจ้า l85 และ l86 ทั้งหมดแล้วไปใช้ m4 และ m16 แทนแต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่บานปลาย ทางกองทัพอังกฤษเลยจึงจ้างบริษัท hecker & koch มาปรับปรุงเจ้า l85 และ l86 ซึ่งใช้งบที่น้อยกว่าซื้อ m4 และ m16 มาประจำการแทนทั้งหมด
การปรับปรุงแก้ไข
ในปี 2000 ปืน l85 และ l86 กว่า 200000 กระบอกได้ถูก hk นำไปพัฒนาใหม่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนกระโจมมือที่ทำจากพลาสติกแบบใหม่ที่มีคุณภาพที่ดีกว่าเดิมมาก เปลี่ยนไปใช้ลูกเลื่อนแบบใหม่ เปลี่ยนเท็คนิคภายในรังเพลิงแบบใหม่ และเปลี่ยนไปใช้เข็มแทงชนวนแบบใหม่แทนของเก่าที่คุณภาพห่วยแตกกว่ามากซึ่งทำให้ตัวกลไกปืนมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และปรับปรุงอีกหลายๆอย่างและได้ตั้งชื่อว่า l85a2 และ l86a2 โดยตัวปืนนั้นได้ถอดหูหิ้วแบบเดิมออกและใส่รางติดอุปกรณ์เสริม โดยติดตัวปืนกล้องเล็งแบบ Susat กำลังขยาย 4x มาจากโรงงาน
รูปเมื่อเรามองผ่านกล้องเล็งแบบ susat กำลังขยาย 4x
และกองทัพอังกฤษได้ออกมาโม้ว่า l86a2 และ l85a2 มัน"คือปืนที่มีประสิทธิภาพกลไกที่มีความน่าเชื่อถือสุดในโลก" แต่ผลออกมาคือ l85a2 ที่ออกมาจากการปรับปรุงสดๆกว่า 25200 กระบอกเจออาการปืนขัดลำกล้องตั้งแต่ออกจากโรงงาน เช่นเดียวกับ l86a2 ที่เจออาการขัดลำกล้องกว่า 12800 กระบอก โดยรวม l85a2 35200 เจออาการขัดลำกล้องตั้งแต่ยังไม่ใช้งาน แถมตัวปืนจะมีอาการอัตรายิงลดลงเมื่อเจอสภาพอากาศร้อนสุดขั้วหรือหนาวสุดขั้ว แต่ถึงอย่างงั้นตัวลูกเลื่อนของปืนก็ได้รับการยอมรับว่าเป้ลลูกเลื่อนที่มีคุณภาพดีอละประสิทธิภาพสูงโดยตัวลำกล้องปืนมีอายุการใช้งานอย่างต่ำ 10000 นัด และยังมีทหารอังกฤษบางส่วนยังบ่นคงเรื่องน้ำหนักของบตัวปืนที่หนักเกินไปเกือบ 4kg
รูป l85a2
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/SA80
http://www.forgottenweapons.com/rifles/em1/
https://en.wikipedia.org/wiki/EM-2_rifle
http://world.guns.ru/assault/brit/sa0--l5-e.html