อยากจะบอกทุกคนในบอร์ดราชดำเนินนี้ว่าแท้จริงแล้วผมคือ "อาชีวะช่วยชาติ" ครับ (by มาริโอ้)

แต่ผมไม่ใช้อาชีวะช่วยชาติที่ไปไล่นักศึกษากลุ่มดาวดินที่เรียกร้องหาประชาธิปไตยครับ  แต่เป็นอาชีวะที่มาชวนเพื่อนๆประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน ลดการนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และยังช่วยเพื่อนร่วมชาติประหยัดเงินในกระเป๋าของท่านในสภาวะเศรษฐกิจห่วยๆแบบนี้ด้วย เนื่องจากผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยจบ ปวส. สายช่างมาเหมือนกัน และเป็นลูกพระวิษณุกรรมของแท้ยันจบปริญญาตรีด้วย



การใช้พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบ้านเราตอนนี้หนักไปทางระบบทำความเย็นครับโดยเฉพาะหน้าร้อนจะกินพลังงานมากๆ และระบบทำความเย็นที่ใกล้ตัวเราๆท่านๆมากที่สุด ณ เวลานี้ คือระบบปรับอากาศ พูดง่ายๆก็คือแอร์นี่เอง เจ้าแอร์นี่แหละคือตัวกินพลังงานหลักของประเทศและเงินในกระเป๋าของท่าน  ฉลากเบอร์ 5 ที่ติดมากับแอร์ที่ท่านซื้อมันคำนวนเงินมาให้ท่านเสร็จสรรพ โดยคำนวนมาที่ท่านเปิดแอร์วันละ 8 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเงินค่าไฟที่เขาคำนวนโดยเฉลี่ยมาให้นั้นมันหมายความว่าแอร์ของท่านจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาดที่สุด เหมือนใหม่ที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราๆท่านๆก็คงไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้กันทุกคนนัก ซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ให้เต็มที่เท่านั้น ไม่ได้มองไปถึงว่าจะต้องมาเช็คมาดูแลอะไรนักหนา จุดตรงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเปลืองพลังงานมากไปเกินความจำเป็น ส่งผลถึงค่าการใช้พลังงานของชาติที่มากขึ้น  และค่าไฟที่มากขึ้นของตัวท่านเองด้วย

ผมเองคงไม่ใช่ช่างแอร์ในตำนานที่จะรู้ไปกว่าใครๆนัก เพราะอาชีพหลักก็ไม่ใช่ช่างแอร์โดยตรง แต่ล้างแอร์เป็น คำนวนค่าไฟต่อหน่วยเป็น และเล็งเห็นถึงประโยชน์ตรงนี้ที่จะเกิดแก่เพื่อนสมาชิกทุกท่าน จึงได้นำมาบอกเล่าสู่กันฟังเผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย

ผมไปลองสุ่มตัวอย่างแอร์มา 1 ตัวครับ เป็นแอร์ยี่ห้อหนึ่งขนาด 12,xxx btu สังเกตมันดูว่า มันเย็นไม่เต็มประสิทธิภาพ และมันไม่นิ่ง มีอาการสั่นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากฝุ่นและคราบเหนียวๆต่างๆเข้าไปเกาะบริเวณ คอยล์เย็น พัดลมแอร์ และคอยล์ร้อนบริเวณตู้วางคอมเพสเชอร์ อีกทั้งตะแกรงดักฝุ่นหรือฟิลเตอร์ที่ตัวเครื่องก็มีฝุ่นจับอีกด้วย ทดลองเปิดที่อุณหภูมิ 25 C ความแรงพัดลมที่ Auto ปรากฏว่าเปิดอยู่นานมากเป็นชั่วโมงคอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการตัดการทำงาน วัดค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเท่ากับ 4.875 แอมแปร์  และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.1032 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ตามภาพ



เรามาลองคิดคำนวนค่าไฟแบบคร่าวๆดูครับสมมุติว่าเราเปิดเจ้าแอร์เครื่องนี้เป็นเวลา 8 ชั่วโมง/วัน สูตรการคำนวนง่ายๆครับ
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน  =  กำลังไฟฟ้า(กิโลวัตต์)  x จำนวน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน
จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = 1.1032 * 1 * 8 = 8.826 หน่วย/วัน จะจ่ายค่าไฟกี่บาทก็แล้วแต่พื้นที่ๆท่านอยู่ว่าเขาเก็บค่าไฟหน่วยละเท่าไหร่ครับ


คราวนี้เราลองมาทดลองล้างแอร์เจ้าเครื่องนี้กันดูครับ
เบื้องต้นก่อนจะถึงวิธีล้างแอร์ มาบอกในสิ่งที่หลายๆคนมองข้ามก่อน นั่นก็คือฟิลเตอร์ดักฝุ่นครับ เจ้าฟิลเตอร์ตัวนี้ถ้าไม่ล้างมันๆก็จะทำให้อากาศร้อนภายในห้องดูดผ่านครีบระบายความร้อนออกไปไม่ได้เหมือนกัน แง้มหน้ากากหน้ามันขึ้น แล้วดึงมันออกมาฉีดล้างให้สะอาดทุกๆอาทิตย์ครับ



คราวนี้มาเข้าวิธีล้างแอร์ช่วยชาติจริงๆแล้ว

1. เริ่มต้นจากสับเบรคเกอร์ลง เตรียมถอดหน้ากากออกก่อน มันจะมีที่ปิดหัวน็อตอยู่ที่ส่วนล่างของช่องลมแอร์ ให้เราใช้ไขควงเล็กๆงัดออก และใช้ไขควงแฉกขันน็อตออกทั้งสองข้างตามภาพ และใช้มือโยกหน้ากากแอร์ออกมา (แอร์บางรุ่นก็ไม่มีเจ้าน็อตยึดหน้ากากนี้เช่นแอร์ SAMSUNG บางรุ่น ใช้มือโยกหน้ากากออกได้เลย)




สังเกตสิ่งสกปรกที่อุดตันครีบระบายความร้อนหรือคอยล์เย็น และสังเกตุพักลมแอร์ที่อยู่ใต้ช่องแอร์ดูครับ มันจะมีคราบเหนียวๆ และฝุ่นจับอยู่เป็นจำนวนมาก ที่แหละคือสิ่งที่ทำให้แอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพและทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ที่เป็นตัวการในการกินไฟของคุณไม่ยอมตัดการทำงาน ทำให้แอร์ไม่เย็น เปลืองไฟ เปลืองเงินค่าไฟครับ



2. ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำทำความสะอาดคราบไคลที่ติดอยู่กับครีบระบายความร้อนและพัดลมแอร์ให้สะอาดที่สุด และใช้น้ำจากสายยางหรือจากอะไรก็ได้ที่คุณมี ฉีดล้างฝุ่นและคราบเหนียวๆออกให้ได้มากที่สุด ตามภาพผมใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงในการล้างครับ ปรับน้ำให้มันแบนๆที่สุด แล้วฉีดไปตามครีบและพัดลมแอร์ (ในส่วนของพัดลมแอร์ตอนฉีดเราต้องเอามือล็อคไม่ให้ใบพัดหมุนด้วย ไม่เช่นนั้นกระแสไฟฟ้าจากการหมุนของใบพัดมันจะย้อนกับไปที่แผงคอนโทรลแอร์)



นี่คือสภาพสิ่งสกปรกที่ปนมากับน้ำที่เราล้าง


หลังจากล้างเสร็จก็สะอาดแล้วครับ


3. ไปที่คอยล์ร้อนที่อยู่ตรงตู้คอมเพรสเซอร์บ้างครับ ฉีดน้ำล้างเหมือนกันครับ ให้ครีบระบายความร้อนจากตู้คอมเพรสเซอร์ระบายความร้อนได้ง่ายที่สุด


4. เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จครับ ประกอบหน้ากากกลับคืนครับผม


คราวนี้เรามาทดสอบเปิดแอร์กันใหม่ที่อุณหภูมิเดิม ความแรงพัดลมแอร์เท่าเดิมได้ค่าดังนี้ครับผม > ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 4.380 แอมแปร์  และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 1.0265 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง



ที่ค่าลดลงเนื่องจากมันระบายความร้อนได้ดีขึ้นครับ ลองนึกภาพเราเอามือบีบจมูกแล้วหายใจเราจะใช้แรงในการหายใจมากขึ้น แล้วเวลาเราเอามืออกเราก็จะใช้แรงไม่มากเพราะไม่มีอะไรมาบีบจมูกเราไว้

แต่ไฮไลท์ของการประหยัดพลังงานมันอยู่ตรงนี้ครับ  หลังจากเปิดไปได้ประมาณ 15 นาที คอมเพรสเซอร์ก็ตัดการทำงานครับ ทำให้ค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านลดลงเหลือเท่ากับ 0.310 แอมแปร์  และค่ากำลังไฟฟ้ากินไฟ 0.0648 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง



ทดสอบเปิดดูเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าใน 1 ชั่วโมงการทำงานมีช่วงที่คอมเพรสเซอร์ทำงานประมาณ 35 นาที และช่วงที่คอมเพรสเซอร์หยุดทำงานประมาณ 25 นาที หลังจากที่ก่อนจะล้างแอร์คอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่ตลอดเวลามันไม่ยอมตัดเลย

มาคำนวนหน่วยที่ใช้ไฟคร่าวๆกันใน 1 วันกันใหม่ครับ คิดที่เปิดวันละ 8 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คราวนี้เราต้องคิดที่ทั้งคอมเพรสเซอร์ทำงานและหยุดการทำงานมารวมกัน

จำนวนหน่วยที่ใช้ใน 1 วัน = (1.0265 * 1 * (35/60) *8) + (0.0648 * 1 * (25/60) *8) = 5.006 หน่วย/วัน


จำนวนหน่วยที่ลดลงในการใช้ไฟฟ้าก่อนล้างและหลังล้างที่เราจะประหยัดได้สำหรับแอร์ 1 เครื่องขนาด 12,xxx BTU เท่ากับ  8.826 - 5.006 = 3.82 หน่วยต่อวัน หรือประมาณ 114 หน่วยต่อเดือน(คิดจาก 30 วัน) หรือประมาณ 1394.3 หน่วยต่อปี นี่คือค่าที่ประเทศชาติรวมถึงตัวคุณเองได้ประหยัดการใช้พลังงานเป็นจำนวนหน่วย คิดเป็นจำนวนเงินที่คุณประหยัดได้เท่าไหร่ ต่อวัน ต่อเดือน หรือต่อปี คุณก็ลองเอาอัตราค่าไฟต่อหน่วยของคุณคูนเข้าไปดูครับ  สมมุติว่าบ้านคุณเสียค่าไฟหน่วยละ 4 บาท คุณก็จะประหยัดเงินตรงนี้ไปแล้วประมาณ 456 บาท/เดือน หรือ 5,577 บาท ต่อปีต่อเครื่อง ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยครับ

หากล้างไม่เป็นก็ไปจ้างช่างมาล้างทีละ 3-400 บาท ก็คุ้มค่ากับค่าไฟที่ลดลงครับ

อาชีวะเราช่วยชาติได้หลายทางครับ หากพวกคุณนำความรู้ที่คุณมีอยู่ไปทำประโยชน์ให้กับสังคม นี่แหละคือการช่วยชาติที่ยั่งยืนที่สุดครับผม ความชื่นชอบในทางการเมืองของแต่ละคน แต่ละขั้วมันไม่มีเหมือนกันหมดหรอก  ขี้เกียจขยายความต่อ เดี๋ยวโดนยึดล็อคอิน  เอาเป็นว่าผมออกมาช่วยชาติเหมือนกันครับและไม่กระทบกับจิตใจใครด้วย  และคิดว่าการออกมาช่วยชาติในครั้งนี้ของผมจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆสมาชิกที่แวะเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย

ก่อนจาก เอาเกาะป้องกันตนเองมาหุ้มเหมือนเคย  กฏ กติกา  มารยาท
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ขออนุญาตยกยอดคำถามตาม คห.2 ของคุณเอ็กซ์มาตอบตรงเม้นต์หลักตรงนี้ครับ

- เบื้องต้นสังเกตจากความเย็นก่อน ว่ามันเย็นเท่าที่ควรจะเป็นหรือไม่
- สังเกตว่าคอมเพรสเซอร์แอร์มีการตัดการทำงานบ้างหรือไม่ หากมันไม่ตัดเลยนั่นหมายถึงเครื่องปรับอากาศของเรายังทำอุณหภูมิไม่ได้ตามที่รีโมทของเราตั้งไว้
- ปริมาณลมที่เป่ามาหาคน หากเป่ามาไม่แรงเหมือนที่เคยเป็นนั่นหมายถึงพัดลมแอร์มีฝุ่นหรือคราบสกปรกไปเกาะเป็นจำนวนมาก เจ้าพัดลมแอร์นี้จะมีลักษณะเป็นเหมือนกรงกระรอกคือเป็นกลมๆยาวๆ ไม่เหมือนใบขอพัดลมตามบ้านที่เราใช้ หากฝุ่นไปจับเยอะมันจะกลายเป็นแค่แท่งกลมๆเฉยๆ ทำให้ไม่สามารถพัดเอาลมมาหาคนได้
- แอร์เริ่มดังหรือมีการสั่น เนื่องจากอากาศร้อนที่อยู่ในห้องดูดผ่านครีบระบายความร้อนออกได้ยาก ลองนึกภาพเวลาเราเป็นหวัดมีน้ำมูกดู และใบพัดลมแอร์มีฝุ่นหรือคราบจับมาก ทำให้น้ำหนักในการหมุนไม่ได้เซนเตอร์ มีการเหวี่ยงเทน้ำหนักไปตามจุดที่มีคราบเหนียวๆเกาะมาก ทำให้แอร์สั่น
- เริ่มมีน้ำหยดจากช่องแอร์ เนื่องจากแอร์ทำงานหนักและระบายความร้อนออกได้ช้า ทำให้มีน้ำไปเกาะอยู่ตามท่อน้ำยาแอร์ทำให้หยดลงมาได้  แต่ส่วนใหญ่อาการน้ำหยดมักจะเกิดจากท่อเดรนน้ำออกจากตัวแอร์ตันมากกว่า

ล้างบ่อยไม่บ่อย ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก หากเราอยู่ในที่ๆมีฝุ่นละอองมากหรือมีสัตว์เลี้ยงก็อาจจะล้างบ่อยหน่อย การเปิดบ่อย-ไม่บ่อยก็เป็นอีก 1 ปัจจัยหลักเช่นกัน ในการดูดอากาศร้อนออกจากห้องของเรามันจะต้องดูดผ่านครีบระบายความร้อนตรงแผงคอยล์เย็นของแอร์ที่ผมฉีดน้ำล้างมันนั่นแหละ

ถ้าอยู่ในบ้านเราปกติก็ปีละครั้งก็พอ แต่ถ้าเป็นในรูปแบบแอร์ที่ติดตั้งบริเวณที่มีฝุ่นละอองมากๆก็ประมาณปีละ 1-2 ครั้ง ดูตามอาการข้างต้นที่บอกเป็นหลัก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่