ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราจะเห็นได้ว่า "นักศึกษา" กับ "การเคลื่อนไหวทางการเมือง" นั้นเป็นของคู่กันมานาน เพราะนักศึกษาถือเป็นช่วงวัยแห่งความกระหายหาสิ่งใหม่ รวมทั้งสามารถรับรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวทางสังคมผ่านวรรณกรรม เรื่องสั้น กาพย์กลอน ซึ่งได้บ่มเพาะและกระตุ้นมโนสำนึกของเหล่านักศึกษาได้เป็นอย่างดี
เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาเราจะพบแนวคิดในการวิพากษ์วิจารณ์นักศึกษาด้วยกันเองให้กลับมาสนใจปัญหาของสังคมมากกว่าการใช้ชีวิตในยุคสายลมเเสงแดดหลายคนจะนึกถึงบทกวีของสองนักเขียนชื่อดัง"สุจิตต์ วงษ์เทศ" และ "ขรรค์ชัย บุนปาน" ซึ่งถือเป็นปัญญาชนยุคแรกๆที่มีงานเขียนบทประพันธ์ในการวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของนักศึกษา และพยายามสะท้อนให้เห็นว่า คุณค่าของการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษาคือการเรียนรู้เพื่อผู้อื่น และนำความรู้ที่ได้กลับไปรับใช้สังคมและผู้ที่ด้อยกว่า
และในท่ามกลางสถานการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ก็พาให้นึกถึงบทกวีของ ทั้ง"สองกุมารสยาม" อีกครั้ง
โดยทั้งสองบทกวีที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาและยกมานำเสนอครั้งนี้ ถูกเขียนและตีพิมพ์ ตั้งเเต่ปี 2512 หรือนับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลามากกว่า 4 ทศวรรษ หรือเขียนขึ้นตั้งแต่ประเทศไทยยังปกครองด้วยนายกรัฐมนตรีที่มีคำนำหน้าว่า "จอมพล"
ถึงวันนี้ คำถามที่ว่า สถานการณ์นักศึกษากับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เคลื่อนมาถึงจุดไหนแล้ว? ก็คงตอบได้ไม่ง่ายนัก แต่บทกวีสองบทนี้ น่าจะบอกเราได้ว่า ความฝันและความหวังของคนยุคนั้นเป็นอย่างไร และ ยุคนี้เป็นอย่างไร
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
สุจิตต์ วงษ์เทศ
๏ กูเป็นนิสิตนักศึกษา
วาสนาสูงส่งสโมสร
ค่ำนี้จะย่ำไปงานบอลล์
เสพเสน่ห์เกสรสุมาลี
๏ กูเป็นนิสิตนักศึกษา
พริ้งสง่างามผงาดเพียงราชสีห์
มันสมองของสยามธานี
ค่ำนี้กูจะนาบให้หนำใจ
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เจ้าขี้ข้ารู้จักกูไหม
หัวเข็มขัดกลัดกระดุมปุ่มเนคไท
หลีกไปหลีกไปอย่ากีดทาง
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยอันกว้างขวาง
ศึกษาสรรพรสมิเว้นวาง
เมืองกว้างช้างหลายสบายดี
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เดินเหินดูสง่ามีราศี
ย่ำค่ำกูจะย่ำทั้งราตรี
กรุงศรีอยุธยามาราธอน
๏เฮ้ยกูเป็นนิสิตนักศึกษา
มีสติปัญญาเยี่ยมสิงขร
ให้พระอินทร์เอาพระขรรค์มาบั่นรอน
อเมริกามาสอนกูเชี่ยวชาญ
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
หรูหราแหลมหลักอัครฐาน
พรุ่งนี้ก็จะต้องไปร่วมงาน
สังสรรค์ในระดับปริญญา
๏ได้โปรดฟังกูสักนิด
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เงียบโว้ย-ฟังกู-ปรัชญา
กูอยู่มหาวิทยาลัย
๏กูอยู่มหาวิทยาลัย
รู้ไหมเห็นไหมดีไหม
อีกไม่นานเราต่างจะตายไป
กอบโกยใส่ตัวเองเสียก่อนเอย๚ะ๛
จากหนังสือ"กูเป็นนิสิตนักศึกษา"รวมบทกวีนิพนธ์ของสุจิตต์วงษ์เทศ-ขรรค์ชัย พิมพ์ครั้งแรกปี 2512 โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
แค่ลมปราณ
ขรรค์ชัย บุนปาน
๏ จงเป็นเทียนส่องไทยไปทั่วทิศ
เนรมิตความเป็นธรรมอันล้ำค่า
หัวใจจงเปี่ยมด้วยเมตตา
ให้การศึกษาประชาชน
ใช้เศษใบจามจุรีที่ลอยคว้าง
เสพสุขอ้างว้างอยู่กลางหน
เอาตัวรอดปลอดแต่เฉพาะตน
คิดถึงคนอื่นอื่นอีกดื่นไป
ศึกษาขั้นอุดมศึกษานั้นหายาก
เป็นกาฝากใครใครก็เป็นได้
แต่จะยืดตัวตนเป็นต้นไม้
มีร่มใบด้วยความรู้อันอุดม
คนค่อนชาติมีโอกาสไม่เท่าเรา
แค่ความเขลาตรงพิเคราะห์ให้เหมาะสม
ส่วนรวมจะลุกหรือจะล้ม
คนศึกษาอุดมเป็นตัวการ
คิดถึงคนอื่นอื่นให้มากมาก
ความลำบากยากแค้นคือแก่นสาร
แปรให้เป็นความระรื่นก็ชื่นบาน
ลมปราณแห่งชีวิตสั้นนิดเดียว๚ะ๛
ตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฉบับปิยมหาราชานุสรณ์23 ตุลาคม 2521
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435901050
ย้อนอ่านกลอน "สองกุมารสยาม" สุจิตต์-ขรรค์ชัย เขียนถึงนักศึกษา ยุคสายลม-แสงแดด
เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาเราจะพบแนวคิดในการวิพากษ์วิจารณ์นักศึกษาด้วยกันเองให้กลับมาสนใจปัญหาของสังคมมากกว่าการใช้ชีวิตในยุคสายลมเเสงแดดหลายคนจะนึกถึงบทกวีของสองนักเขียนชื่อดัง"สุจิตต์ วงษ์เทศ" และ "ขรรค์ชัย บุนปาน" ซึ่งถือเป็นปัญญาชนยุคแรกๆที่มีงานเขียนบทประพันธ์ในการวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของนักศึกษา และพยายามสะท้อนให้เห็นว่า คุณค่าของการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษาคือการเรียนรู้เพื่อผู้อื่น และนำความรู้ที่ได้กลับไปรับใช้สังคมและผู้ที่ด้อยกว่า
และในท่ามกลางสถานการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ก็พาให้นึกถึงบทกวีของ ทั้ง"สองกุมารสยาม" อีกครั้ง
โดยทั้งสองบทกวีที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาและยกมานำเสนอครั้งนี้ ถูกเขียนและตีพิมพ์ ตั้งเเต่ปี 2512 หรือนับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลามากกว่า 4 ทศวรรษ หรือเขียนขึ้นตั้งแต่ประเทศไทยยังปกครองด้วยนายกรัฐมนตรีที่มีคำนำหน้าว่า "จอมพล"
ถึงวันนี้ คำถามที่ว่า สถานการณ์นักศึกษากับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เคลื่อนมาถึงจุดไหนแล้ว? ก็คงตอบได้ไม่ง่ายนัก แต่บทกวีสองบทนี้ น่าจะบอกเราได้ว่า ความฝันและความหวังของคนยุคนั้นเป็นอย่างไร และ ยุคนี้เป็นอย่างไร
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
สุจิตต์ วงษ์เทศ
๏ กูเป็นนิสิตนักศึกษา
วาสนาสูงส่งสโมสร
ค่ำนี้จะย่ำไปงานบอลล์
เสพเสน่ห์เกสรสุมาลี
๏ กูเป็นนิสิตนักศึกษา
พริ้งสง่างามผงาดเพียงราชสีห์
มันสมองของสยามธานี
ค่ำนี้กูจะนาบให้หนำใจ
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เจ้าขี้ข้ารู้จักกูไหม
หัวเข็มขัดกลัดกระดุมปุ่มเนคไท
หลีกไปหลีกไปอย่ากีดทาง
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยอันกว้างขวาง
ศึกษาสรรพรสมิเว้นวาง
เมืองกว้างช้างหลายสบายดี
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เดินเหินดูสง่ามีราศี
ย่ำค่ำกูจะย่ำทั้งราตรี
กรุงศรีอยุธยามาราธอน
๏เฮ้ยกูเป็นนิสิตนักศึกษา
มีสติปัญญาเยี่ยมสิงขร
ให้พระอินทร์เอาพระขรรค์มาบั่นรอน
อเมริกามาสอนกูเชี่ยวชาญ
๏กูเป็นนิสิตนักศึกษา
หรูหราแหลมหลักอัครฐาน
พรุ่งนี้ก็จะต้องไปร่วมงาน
สังสรรค์ในระดับปริญญา
๏ได้โปรดฟังกูสักนิด
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เงียบโว้ย-ฟังกู-ปรัชญา
กูอยู่มหาวิทยาลัย
๏กูอยู่มหาวิทยาลัย
รู้ไหมเห็นไหมดีไหม
อีกไม่นานเราต่างจะตายไป
กอบโกยใส่ตัวเองเสียก่อนเอย๚ะ๛
จากหนังสือ"กูเป็นนิสิตนักศึกษา"รวมบทกวีนิพนธ์ของสุจิตต์วงษ์เทศ-ขรรค์ชัย พิมพ์ครั้งแรกปี 2512 โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
แค่ลมปราณ
ขรรค์ชัย บุนปาน
๏ จงเป็นเทียนส่องไทยไปทั่วทิศ
เนรมิตความเป็นธรรมอันล้ำค่า
หัวใจจงเปี่ยมด้วยเมตตา
ให้การศึกษาประชาชน
ใช้เศษใบจามจุรีที่ลอยคว้าง
เสพสุขอ้างว้างอยู่กลางหน
เอาตัวรอดปลอดแต่เฉพาะตน
คิดถึงคนอื่นอื่นอีกดื่นไป
ศึกษาขั้นอุดมศึกษานั้นหายาก
เป็นกาฝากใครใครก็เป็นได้
แต่จะยืดตัวตนเป็นต้นไม้
มีร่มใบด้วยความรู้อันอุดม
คนค่อนชาติมีโอกาสไม่เท่าเรา
แค่ความเขลาตรงพิเคราะห์ให้เหมาะสม
ส่วนรวมจะลุกหรือจะล้ม
คนศึกษาอุดมเป็นตัวการ
คิดถึงคนอื่นอื่นให้มากมาก
ความลำบากยากแค้นคือแก่นสาร
แปรให้เป็นความระรื่นก็ชื่นบาน
ลมปราณแห่งชีวิตสั้นนิดเดียว๚ะ๛
ตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฉบับปิยมหาราชานุสรณ์23 ตุลาคม 2521
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435901050