***สวัสดีค่า กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราตั้งนะคะ ถ้ามีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลาด บอกมาได้เลยนะคะ***
เกริ่นนำก่อนเนอะ.....เราเพิ่งเรียนจบม.6ค่ะ แล้วก็เป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ แต่ด้วยความที่ชอบประวัติศาสตร์มากๆ โดยเฉพาะในช่วงร.5
นี่หลงเลยค่ะ อ่านหนังสือมาเยอะมาก แล้วก็จินตนาการตามว่า คนในสมัยก่อนจะใช้ชีวิตยังไง เป็นอยู่ยังไง เลยอยากจะมาเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์มาก พอดีช่วงนี้ว่าง ก็เลยชวนเพื่อนมามาสานฝันให้เป็นจริงได้หนึ่งคน เราเลยเริ่มหาข้อมูลที่เที่ยว แล้วก็ออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานครเลยค่า
ก่อนอื่นนะคะ เราอยากให้ทุกคนดูภาพนี้ก่อน คำว่า เกาะรัตนโกสินทร์ เนี่ย หลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาแล้ว แต่ว่าคงบอกชัดๆไม่ได้ว่าคืออะไร เหมือนเราก่อนหน้านี้เลยค่ะ ฮ่าๆๆ แต่ความหมายเนี่ย ที่อื่นคงมีบอกมาแล้ว เราเลยไม่เอามาใส่ในนี้นะคะ และนี่ก็คือภาพสถานที่สำคัญบนเกาะ
จุดเริ่มต้นของเรานะคะ เริ่มที่วัดพระศรีรัตนศาดาราม หรือ วัดพระแก้วค่ะ
ตอนแรกที่เราหาวิธีการไป เราดูจากกระทู้นี้ค่ะ ข้อมูลละเอียดมากกกก แต่พอไปจริงๆ เรานั่งBTSไปลงสถานีพญาไทค่ะ
แล้วก็นั่งแท็กซี่ต่อไปวัดพระแก้ว รถไม่ค่อยติดมาก เพราะเป็นวันธรรมดา ราคา 80 บาทค่ะ
เราเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีนะคะ นักท่องเที่ยวเยอะมากกก โดยเฉพาะคนจีน แต่เค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ ดูจะชอบประเทศไทยมาก มีใส่สร้อยคอที่เป็นดอกกล้วยไม้กับดอกมะลิด้วย ได้อารมณ์นักท่องเที่ยวมาก ฮ่าๆๆ
พอผ่านประตูเข้าไปแล้วก็จะเจอกำแพงวัดอยู่ด้านซ้ายมือ จุดนี้จะถ่ายภาพให้ไม่เห็นคนยากมาก ต้องฝ่าคนเข้าไป แล้วยื่นกล้องให้ไปด้านหน้าให้ได้มากที่สุด
ส่วนอันนี้เป็นตึกที่อยู่ฝั่งขวามือ แต่เราก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าคือตึกอะไร สวยดีเลยถ่ายมา
แล้วเราก็เดินเข้าไปข้างในตามผู้คนเขาไป จนเจอประตูเข้า คนไทยเข้าฟรี คนต่างชาติเสียค่าเข้า แถวยาวมากกก แต่ฝั่งคนไทยไม่มีคนเลยค่ะ มีเราสองคน เดินเข้าได้สบายมาก
ภายในวัดสวยมากกก เราเคยไปทัศนศึกษากับโรงเรียนมาครั้งนึงตอนป.6 แต่ครั้งนี้ที่ไป วัดพระแก้วก็ยังคงวิจิตรตระการตาอยู่เหมือนเดิม หมู่พระอุโบสถ และอาคารต่างๆ แวววาวสะท้อนแสงแดด จนเลือกมองไม่ถูกเลย แล้วเราก็เข้าไปนมัสการพระแก้วมรกต แต่ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายภาพค่ะ ตอนนี้พระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อนค่ะ
เราชอบตรงที่ช่างสมัยก่อน สามารถตัดกระเบื้องให้โค้งมนมาทำเป็นดอกไม้ที่ดูสวยงามได้ขนาดนี้
จะว่าไทยก็ไทย จะว่าจีนก็จีน
พระที่นั่งบรมพิมาน เป็นเขตห้ามเข้าค่ะ อันนี้สอดเลนส์กล้องตรงซี่ประตูเข้าไปถ่าย มีทหารยามรักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าอยู่ด้วย ระหว่างที่กำลังถ่ายมีพนักงานที่ทำงานพระราชวังเปิดประตูเข้าไป ตอนแรกเราก็งงว่าเข้าไปได้ไง แต่เขาหันมายิ้มให้เรา สวยมากเลย พอดูชุดใส่ชุดไทย ก็เลยรู้ว่า อ๋อ ที่แท้ทำงานในวังนี่เอง ฮ่าๆๆ หันหลังกลับมาจะเจอรถที่ขายน้ำกระเจี๊ยบ น้ำเปล่า และนมสดในโครงการสวนจิตรลดา เรากับเพื่อนซื้อน้ำกระเจี๊ยบกับนมสดคนละขวด ขวดละ 30 บาท นมรสวนิลารสชาติเหมือนไอติมนม
อยู่ในวัดพระแก้ว ทั้งเดินชม และถ่ายรูปกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง สู้แดดแรงมากค่ะ สุดท้ายก็มาถึงพระที่ยั่งจักกรีมหาปราสาท หรือ ฝรั่งสวมชฎา นั่นเอง บริเวณปราสาทตรงกลาง มีพระบรมสาทิศลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วยค่ะ
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไก้มีกการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับชั่วคราว แต่เนื่องจากในพระบรมมหาราชวัง มีหมู่พระตำหนัก และเรือนของข้าราชบริพารปลูกกันอยู่หนาแน่น ปิดทางลม อากาศจึงร้อนจัด และถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ประชวรกันอยู่เสมอ ต่อมาจึงสร้างเป็นที่ประทับถาวรตลอดรัชกาล
จากนั้นเราก็ออกจากพระบรมมหาราชวัง เพื่อไปต่อ เจ้าหน้าที่ที่พระบรมมหาราชวังน่ารักกันทุกคนเลยค่ะ ตั้งแต่เจ้าพนักงานที่เดินดูแลความเรียบร้อย ใส่ชุดสีกรมท่าอ่ะค่ะ ช่วยเราถ่ายรูปคู่กับเพื่อนให้ด้วย จนแม้แต่กระทั่งคุณลุงที่ดูแลรักษาความสะอาด บอกทางเราด้วย แล้วยังแนะนำให้เดินฝั่งท่าล่างเพื่อหลบแดดอีกด้วย ฮ่าๆ
เราจะไปต่อกันที่วันพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ค่ะ โดยข้ามถนนไปฝั่งมหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วเดือนเรียบราชนาวีสโมสรฝั่งริมแม่น้ำไปค่ะ แดดร่มอย่างที่คุณลุงบอกจริงๆ เราก็เดินไปคุยไป ลมเย็นๆ เพื่อนเราอยากซื้อพัดสาน ขนาดกลาง 50 บาท ขนาดเล็ก 30 บาท แต่ต่อได้เหลือ 20 บาท ราคานักท่องเที่ยวมากเลยนะคะเนี่ย แล้วเราก็เดินไปจนกระทั่งถึงวัดโพธิ์ เข้าไปยังไม่ทันเท่าไหร่ สะดุดตากับตุ๊กตาหินของจีนค่ะ แวะถ่ายรูปกันอีกยกใหญ่ เห็นเค้าบอกว่า ในวัดโพธิ์เนี่ย มีตุ๊กตาหินจีนเป็นพันตัวเลยนะคะ แต่เดินนับไม่ครบหรอกค่ะ แฮะๆ
ตุ๊กตาหินจีนเนี่ย ได้มาจากการที่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เรามีการค้าขายกับจีน แล้วเวลาแล่นสำเภาเนี่ย เรือต้องหนักพอที่จะฝ่าลมมาจากจีนได้ เพราะฉะนั้นเค้าเลยใส่หินถ่วงเรือ เพื่อให้หนักขึ้น แต่พอหลังๆ คนจีนก็เริ่มแกะสลักเป็นลวดลายส่งมา แต่ว่าในสมัยนั้นก็ไม่มีใครเอาไปตั้งไว้หน้าบ้านหรอกค่ะ เลยได้มาตั้งอยู่วัด เชื่อกันว่าตุ๊กตาหินเหล่านี้เหมือนเทพเฝ้าประตูที่คอยป้องกันสิ่งชั่วร้าย สังเกตดูแต่ละตัว ไม่มีตัวไหนเหมือนกันเลยนะคะ ต่อให้ยื่นคู่กันก็ไม่เหมือนกัน คิ้ว หรือหนวดต่างกันบ้าง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ มีลูกตา แต่ไม่มีม่านตาค่ะ มีแต่ลูกตากลมแป๋วเลย เดินถัดเข้ามาก็จะมีเจดีย์สี่รัชกาล(ร.1-ร.4) สูงจนต้องแหงนมอง คนเกาหลีที่เดินอยู่ข้างเรายังร้องว้าววววเลยค่ะ แต่เราไม่ได้พกเลนส์ซูมไป เลยถ่ายมาได้แค่นี้
แต่ที่เราประทับใจคือ แจกันดอกไม้บนประตูค่ะ ทำจากกระเบื้องหมดเลย แต่ทำออกมาได้เรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดามากๆค่ะ นับถือฝีมือช่างในสมัยก่อนมากๆ ที่ไม่มีเครื่องมือทันสมัยเท่ากับปัจจุบัน แต่ผลงานแต่ละชิ้นละเอียดอ่อนมากๆ สวยไม่สวย พิศกันดูเองค่ะ แต่เราคิดว่า ไม่ว่าจะใช้ตามอง หรือใจมอง ผลลัพธ์ก็คงออกมาเหมือนกัน เพราะมันมีค่าต่อจิตใจมากมายจริงๆ
[/img]
รูปนี้ใช้กล้องโทรศัพท์นะคะ อาจไม่ชัด
แล้วเราก็เข้ามาในอุโบสถที่มีพระนอน ตอนแรกว่าจะไม่เข้าแล้วค่ะ แต่มองผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาเห็นแค่ช่วงพระศอ ถึงกับต้องเข้ามาสักการะเลยค่ะ แอบฟังพระอาจารย์ที่บรรยายให้เด็กๆที่มาทัศนศึกษาฟังว่า พระนอนที่วัดโพธิ์ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 อันดับที่ 1 อยู่ที่จ.อ่างทอง และอันดับที่ 2 อยู่ที่ จ.สระบุรี
จากนั้นเราก็ออกมาดูยักษ์วัดโพธิ์ค่ะ นึกว่าจะใหญ่มหึมามาก แต่ว่าจริงๆแล้วอยู่ในตู้ค่ะ แต่มีถึง 4 ตน
เราก็เดินกันต่อเพื่อไปที่มิเซียมสยามค่ะ ไม่ไกลมาก อยู่ฝั่งตรงข้ามวังจักรพงษ์ค่ะ ซึ่งตอนนี้ทำเป็นโรงแรม และร้านอาหารไปแล้ว
มิวเซียมสยาม ถ้าเป็นคนไทยที่เป็นนักศึกษา เสียค่าเข้าคนละ 50 บาทค่ะ คนไทย 100 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท ค่ะ แต่ว่าเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมามากเท่าไหร่ ภายในก็จะมีนิทรรศการ 17 ห้อง ตั้งแต่คนไทยมาจากไหน และคนไทยเป็นมาอย่างไรจนถึงสมัยปัจจุบันค่ะ อาคารคล้ายๆในบ้านเดือนประดับเรื่องหนึ่งในทรวงค่ะ มีห้องนักรบที่ไม่กล้าเดินคนเดียวเลยค่ะ หุ่นเหมือนจริงมาก หลังจากนั้นเราก็จะไปกันต่อที่บรมบรรพต หรือวัดสระเกศ ซึ่งพนักงานบอกให้เราไปรอรถเมลผิดฝั่งค่ะ เลบขึ้นรถเมล์สาย 47 ไม่ทัน เราจึงนั่งแท็กซี่ไปเอง เนื่องจากช่วงนั้นค่อนข้างเย็นแล้ว รถจึงติด เราเลยลงกันแถวหน้าวัดเทพธิดารามค่ะ แล้วก็เดินอ้อมป้อมพระกาฬไป เลี้ยวลงซอยก่อนถึงพิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 7 อ่ะค่ะ แล้วก็เดินตรงไป ผ่านสถานีดับเพลิง จากนั้นก็ถึงวัด เดินครั้งนี้ค่อนข้างไกลค่ะ เพราะต้องขึ้นเขาด้วย คนไทยเข้าฟรีอีกตามระเบียบค่ะ เราหยุดถ่ายรูปกันตั้งแต่ตรงป้ายทางขึ้นบันได เพราะมีไอน้ำเย็นสบาย วัดนี้ร่มรื่นมากที่สุดในวันนี้ค่ะ
จากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นบันไดค่ะ ขั้นถี่ ไม่สูงมาก แต่ก็เหนื่อยใช่เล่นค่ะ
ระหว่างทางก็มีระฆังให้ตีเอาสิริมงคลเข้าตัว พอขึ้นไปถึงข้างบนอากาศดีมากค่ะ ลมเย็น ได้สูดออกซิเจนบนที่สูงกว่าคนอื่น แต่ว่าอุโบสถนี้ไม่ต้องถอดรองเท้านะคะ ขนาดมีเสียงประกาศทั้งภาษาไทย และอังกฤษว่าไม่ต้องถอดรองเท้า ระวังรองเท้าหาย แต่ก็มีรองเท้าวางเรียงรายเต็มขั้นบันไดเลยค่ะ แต่เพื่อนเราบอกว่า ขนาดเค้ายังอยากถอดเลย เพราะเกรงใจวัด ก็คนไทยโดยพื้นฐานจะเคารพพระพุทธศานาอยู่แล้วนี่นา พอตรงทางลงอีกฝั่งก็เจอรูปปั้นนกแร้งกำลังจิกกินศพค่ะ โดยในสมัยรัชกาลที่สอง มีโรคอหิวตกโรค หรือโรคห่าระบาด มีคนตายมากมาย เพราะยังไม่รู้จักการป้องกัน ศพมีเป็นจำนวนมากที่เผาไม่ทัน บ้างก็โยนทิ้งแม่น้ำบ้าง แล้วจะป้องกันได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อคนสมัยก่อนมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำมาก แต่เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคห่าเนี่ย มันอยู่ในอุจจาระของเรา เมื่อเราอุจจาระลงแม่น้ำ บ้านข้างๆก็ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้ก็ต้องติดกันเป็นธรรมดา โดยอาการส่วนใหญ่ก็คือ ท้องร่วง และเสียน้ำ อาการท้องร่วงที่ว่า จะไม่มีเนื้ออุจจาระ แต่จะมีแต่น้ำ เอ่อ...นอกเรื่องไปเยอะมาก ฮ่าๆ คือพอมีศพมาที่วัดเยอะๆเนี่ย ที่วัดก็เผาไม่ทัน นกแร้งก็ลงมาจิกกินศพจนเห็นกระดูก แม้จะมีเจ้าหน้าที่ไล่ก็ยังคงลงมาจิกกินอยู่ดี
ตอนเดินผ่านนี่น่ากลัวมากเลยค่ะ เพราะทั้งนกทั้งคนขนาดเท่าของจริงมาก เหมือนไม่ได้อยู่กับเพื่อนแค่สองคนเลย
[CR] เที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ในหนึ่งวัน ฉบับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
เกริ่นนำก่อนเนอะ.....เราเพิ่งเรียนจบม.6ค่ะ แล้วก็เป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ แต่ด้วยความที่ชอบประวัติศาสตร์มากๆ โดยเฉพาะในช่วงร.5 นี่หลงเลยค่ะ อ่านหนังสือมาเยอะมาก แล้วก็จินตนาการตามว่า คนในสมัยก่อนจะใช้ชีวิตยังไง เป็นอยู่ยังไง เลยอยากจะมาเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์มาก พอดีช่วงนี้ว่าง ก็เลยชวนเพื่อนมามาสานฝันให้เป็นจริงได้หนึ่งคน เราเลยเริ่มหาข้อมูลที่เที่ยว แล้วก็ออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานครเลยค่า
ก่อนอื่นนะคะ เราอยากให้ทุกคนดูภาพนี้ก่อน คำว่า เกาะรัตนโกสินทร์ เนี่ย หลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาแล้ว แต่ว่าคงบอกชัดๆไม่ได้ว่าคืออะไร เหมือนเราก่อนหน้านี้เลยค่ะ ฮ่าๆๆ แต่ความหมายเนี่ย ที่อื่นคงมีบอกมาแล้ว เราเลยไม่เอามาใส่ในนี้นะคะ และนี่ก็คือภาพสถานที่สำคัญบนเกาะ
จุดเริ่มต้นของเรานะคะ เริ่มที่วัดพระศรีรัตนศาดาราม หรือ วัดพระแก้วค่ะ
ตอนแรกที่เราหาวิธีการไป เราดูจากกระทู้นี้ค่ะ ข้อมูลละเอียดมากกกก แต่พอไปจริงๆ เรานั่งBTSไปลงสถานีพญาไทค่ะ
แล้วก็นั่งแท็กซี่ต่อไปวัดพระแก้ว รถไม่ค่อยติดมาก เพราะเป็นวันธรรมดา ราคา 80 บาทค่ะ
แล้วเราก็เดินเข้าไปข้างในตามผู้คนเขาไป จนเจอประตูเข้า คนไทยเข้าฟรี คนต่างชาติเสียค่าเข้า แถวยาวมากกก แต่ฝั่งคนไทยไม่มีคนเลยค่ะ มีเราสองคน เดินเข้าได้สบายมาก
ภายในวัดสวยมากกก เราเคยไปทัศนศึกษากับโรงเรียนมาครั้งนึงตอนป.6 แต่ครั้งนี้ที่ไป วัดพระแก้วก็ยังคงวิจิตรตระการตาอยู่เหมือนเดิม หมู่พระอุโบสถ และอาคารต่างๆ แวววาวสะท้อนแสงแดด จนเลือกมองไม่ถูกเลย แล้วเราก็เข้าไปนมัสการพระแก้วมรกต แต่ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายภาพค่ะ ตอนนี้พระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อนค่ะ
เราชอบตรงที่ช่างสมัยก่อน สามารถตัดกระเบื้องให้โค้งมนมาทำเป็นดอกไม้ที่ดูสวยงามได้ขนาดนี้
จะว่าไทยก็ไทย จะว่าจีนก็จีน
พระที่นั่งบรมพิมาน เป็นเขตห้ามเข้าค่ะ อันนี้สอดเลนส์กล้องตรงซี่ประตูเข้าไปถ่าย มีทหารยามรักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าอยู่ด้วย ระหว่างที่กำลังถ่ายมีพนักงานที่ทำงานพระราชวังเปิดประตูเข้าไป ตอนแรกเราก็งงว่าเข้าไปได้ไง แต่เขาหันมายิ้มให้เรา สวยมากเลย พอดูชุดใส่ชุดไทย ก็เลยรู้ว่า อ๋อ ที่แท้ทำงานในวังนี่เอง ฮ่าๆๆ หันหลังกลับมาจะเจอรถที่ขายน้ำกระเจี๊ยบ น้ำเปล่า และนมสดในโครงการสวนจิตรลดา เรากับเพื่อนซื้อน้ำกระเจี๊ยบกับนมสดคนละขวด ขวดละ 30 บาท นมรสวนิลารสชาติเหมือนไอติมนม
อยู่ในวัดพระแก้ว ทั้งเดินชม และถ่ายรูปกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง สู้แดดแรงมากค่ะ สุดท้ายก็มาถึงพระที่ยั่งจักกรีมหาปราสาท หรือ ฝรั่งสวมชฎา นั่นเอง บริเวณปราสาทตรงกลาง มีพระบรมสาทิศลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วยค่ะ
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไก้มีกการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับชั่วคราว แต่เนื่องจากในพระบรมมหาราชวัง มีหมู่พระตำหนัก และเรือนของข้าราชบริพารปลูกกันอยู่หนาแน่น ปิดทางลม อากาศจึงร้อนจัด และถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ประชวรกันอยู่เสมอ ต่อมาจึงสร้างเป็นที่ประทับถาวรตลอดรัชกาล
จากนั้นเราก็ออกจากพระบรมมหาราชวัง เพื่อไปต่อ เจ้าหน้าที่ที่พระบรมมหาราชวังน่ารักกันทุกคนเลยค่ะ ตั้งแต่เจ้าพนักงานที่เดินดูแลความเรียบร้อย ใส่ชุดสีกรมท่าอ่ะค่ะ ช่วยเราถ่ายรูปคู่กับเพื่อนให้ด้วย จนแม้แต่กระทั่งคุณลุงที่ดูแลรักษาความสะอาด บอกทางเราด้วย แล้วยังแนะนำให้เดินฝั่งท่าล่างเพื่อหลบแดดอีกด้วย ฮ่าๆ เราจะไปต่อกันที่วันพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ค่ะ โดยข้ามถนนไปฝั่งมหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วเดือนเรียบราชนาวีสโมสรฝั่งริมแม่น้ำไปค่ะ แดดร่มอย่างที่คุณลุงบอกจริงๆ เราก็เดินไปคุยไป ลมเย็นๆ เพื่อนเราอยากซื้อพัดสาน ขนาดกลาง 50 บาท ขนาดเล็ก 30 บาท แต่ต่อได้เหลือ 20 บาท ราคานักท่องเที่ยวมากเลยนะคะเนี่ย แล้วเราก็เดินไปจนกระทั่งถึงวัดโพธิ์ เข้าไปยังไม่ทันเท่าไหร่ สะดุดตากับตุ๊กตาหินของจีนค่ะ แวะถ่ายรูปกันอีกยกใหญ่ เห็นเค้าบอกว่า ในวัดโพธิ์เนี่ย มีตุ๊กตาหินจีนเป็นพันตัวเลยนะคะ แต่เดินนับไม่ครบหรอกค่ะ แฮะๆ
ตุ๊กตาหินจีนเนี่ย ได้มาจากการที่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เรามีการค้าขายกับจีน แล้วเวลาแล่นสำเภาเนี่ย เรือต้องหนักพอที่จะฝ่าลมมาจากจีนได้ เพราะฉะนั้นเค้าเลยใส่หินถ่วงเรือ เพื่อให้หนักขึ้น แต่พอหลังๆ คนจีนก็เริ่มแกะสลักเป็นลวดลายส่งมา แต่ว่าในสมัยนั้นก็ไม่มีใครเอาไปตั้งไว้หน้าบ้านหรอกค่ะ เลยได้มาตั้งอยู่วัด เชื่อกันว่าตุ๊กตาหินเหล่านี้เหมือนเทพเฝ้าประตูที่คอยป้องกันสิ่งชั่วร้าย สังเกตดูแต่ละตัว ไม่มีตัวไหนเหมือนกันเลยนะคะ ต่อให้ยื่นคู่กันก็ไม่เหมือนกัน คิ้ว หรือหนวดต่างกันบ้าง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ มีลูกตา แต่ไม่มีม่านตาค่ะ มีแต่ลูกตากลมแป๋วเลย เดินถัดเข้ามาก็จะมีเจดีย์สี่รัชกาล(ร.1-ร.4) สูงจนต้องแหงนมอง คนเกาหลีที่เดินอยู่ข้างเรายังร้องว้าววววเลยค่ะ แต่เราไม่ได้พกเลนส์ซูมไป เลยถ่ายมาได้แค่นี้
แต่ที่เราประทับใจคือ แจกันดอกไม้บนประตูค่ะ ทำจากกระเบื้องหมดเลย แต่ทำออกมาได้เรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดามากๆค่ะ นับถือฝีมือช่างในสมัยก่อนมากๆ ที่ไม่มีเครื่องมือทันสมัยเท่ากับปัจจุบัน แต่ผลงานแต่ละชิ้นละเอียดอ่อนมากๆ สวยไม่สวย พิศกันดูเองค่ะ แต่เราคิดว่า ไม่ว่าจะใช้ตามอง หรือใจมอง ผลลัพธ์ก็คงออกมาเหมือนกัน เพราะมันมีค่าต่อจิตใจมากมายจริงๆ
[/img]
รูปนี้ใช้กล้องโทรศัพท์นะคะ อาจไม่ชัด
แล้วเราก็เข้ามาในอุโบสถที่มีพระนอน ตอนแรกว่าจะไม่เข้าแล้วค่ะ แต่มองผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาเห็นแค่ช่วงพระศอ ถึงกับต้องเข้ามาสักการะเลยค่ะ แอบฟังพระอาจารย์ที่บรรยายให้เด็กๆที่มาทัศนศึกษาฟังว่า พระนอนที่วัดโพธิ์ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 อันดับที่ 1 อยู่ที่จ.อ่างทอง และอันดับที่ 2 อยู่ที่ จ.สระบุรี
จากนั้นเราก็ออกมาดูยักษ์วัดโพธิ์ค่ะ นึกว่าจะใหญ่มหึมามาก แต่ว่าจริงๆแล้วอยู่ในตู้ค่ะ แต่มีถึง 4 ตน
เราก็เดินกันต่อเพื่อไปที่มิเซียมสยามค่ะ ไม่ไกลมาก อยู่ฝั่งตรงข้ามวังจักรพงษ์ค่ะ ซึ่งตอนนี้ทำเป็นโรงแรม และร้านอาหารไปแล้ว
มิวเซียมสยาม ถ้าเป็นคนไทยที่เป็นนักศึกษา เสียค่าเข้าคนละ 50 บาทค่ะ คนไทย 100 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท ค่ะ แต่ว่าเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมามากเท่าไหร่ ภายในก็จะมีนิทรรศการ 17 ห้อง ตั้งแต่คนไทยมาจากไหน และคนไทยเป็นมาอย่างไรจนถึงสมัยปัจจุบันค่ะ อาคารคล้ายๆในบ้านเดือนประดับเรื่องหนึ่งในทรวงค่ะ มีห้องนักรบที่ไม่กล้าเดินคนเดียวเลยค่ะ หุ่นเหมือนจริงมาก หลังจากนั้นเราก็จะไปกันต่อที่บรมบรรพต หรือวัดสระเกศ ซึ่งพนักงานบอกให้เราไปรอรถเมลผิดฝั่งค่ะ เลบขึ้นรถเมล์สาย 47 ไม่ทัน เราจึงนั่งแท็กซี่ไปเอง เนื่องจากช่วงนั้นค่อนข้างเย็นแล้ว รถจึงติด เราเลยลงกันแถวหน้าวัดเทพธิดารามค่ะ แล้วก็เดินอ้อมป้อมพระกาฬไป เลี้ยวลงซอยก่อนถึงพิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 7 อ่ะค่ะ แล้วก็เดินตรงไป ผ่านสถานีดับเพลิง จากนั้นก็ถึงวัด เดินครั้งนี้ค่อนข้างไกลค่ะ เพราะต้องขึ้นเขาด้วย คนไทยเข้าฟรีอีกตามระเบียบค่ะ เราหยุดถ่ายรูปกันตั้งแต่ตรงป้ายทางขึ้นบันได เพราะมีไอน้ำเย็นสบาย วัดนี้ร่มรื่นมากที่สุดในวันนี้ค่ะ
จากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นบันไดค่ะ ขั้นถี่ ไม่สูงมาก แต่ก็เหนื่อยใช่เล่นค่ะ
ระหว่างทางก็มีระฆังให้ตีเอาสิริมงคลเข้าตัว พอขึ้นไปถึงข้างบนอากาศดีมากค่ะ ลมเย็น ได้สูดออกซิเจนบนที่สูงกว่าคนอื่น แต่ว่าอุโบสถนี้ไม่ต้องถอดรองเท้านะคะ ขนาดมีเสียงประกาศทั้งภาษาไทย และอังกฤษว่าไม่ต้องถอดรองเท้า ระวังรองเท้าหาย แต่ก็มีรองเท้าวางเรียงรายเต็มขั้นบันไดเลยค่ะ แต่เพื่อนเราบอกว่า ขนาดเค้ายังอยากถอดเลย เพราะเกรงใจวัด ก็คนไทยโดยพื้นฐานจะเคารพพระพุทธศานาอยู่แล้วนี่นา พอตรงทางลงอีกฝั่งก็เจอรูปปั้นนกแร้งกำลังจิกกินศพค่ะ โดยในสมัยรัชกาลที่สอง มีโรคอหิวตกโรค หรือโรคห่าระบาด มีคนตายมากมาย เพราะยังไม่รู้จักการป้องกัน ศพมีเป็นจำนวนมากที่เผาไม่ทัน บ้างก็โยนทิ้งแม่น้ำบ้าง แล้วจะป้องกันได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อคนสมัยก่อนมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำมาก แต่เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคห่าเนี่ย มันอยู่ในอุจจาระของเรา เมื่อเราอุจจาระลงแม่น้ำ บ้านข้างๆก็ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้ก็ต้องติดกันเป็นธรรมดา โดยอาการส่วนใหญ่ก็คือ ท้องร่วง และเสียน้ำ อาการท้องร่วงที่ว่า จะไม่มีเนื้ออุจจาระ แต่จะมีแต่น้ำ เอ่อ...นอกเรื่องไปเยอะมาก ฮ่าๆ คือพอมีศพมาที่วัดเยอะๆเนี่ย ที่วัดก็เผาไม่ทัน นกแร้งก็ลงมาจิกกินศพจนเห็นกระดูก แม้จะมีเจ้าหน้าที่ไล่ก็ยังคงลงมาจิกกินอยู่ดี
ตอนเดินผ่านนี่น่ากลัวมากเลยค่ะ เพราะทั้งนกทั้งคนขนาดเท่าของจริงมาก เหมือนไม่ได้อยู่กับเพื่อนแค่สองคนเลย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น