ข่าวประเสริฐ คืออะไร?
นี้เป็นคำถามที่พวกเราคริสเตียนจะต้องตอบให้ได้...
“ข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา ๆ แต่เป็นข่าวดีที่กำลังบอกกับมนุษย์ชาติว่า “แท้จริงแล้ว มนุษย์เราเป็นคนบาป เราสมควรตาย แต่พระเจ้าทรงรักเรา จึงทรงให้พระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนเรา และในวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงประทานชีวิตใหม่ให้แก่มนุษย์เรา” (1 โครินธ์ 15:3-4)...
ครั้งหนึ่งเมื่อผมได้ไปประกาศข่าวประเสริฐกับคนคนหนึ่ง หลังจากที่เขาฟังแล้วพูดกับผมว่า ....
“ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมารับโทษบาปแทนผมด้วย ผมไม่ต้องการหรอก บาปใครบาปมัน ผมจะรับบาปของผมเอง”.. ผมจึงพูดกับเขาว่า .. “คุณอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ! สมมติว่าผมมีลูกชาย 5 ขวบ อยู่คนหนี่ง ถ้าวันหนึ่งลูกชายของผมไปทำกระจกร้านขายของแห่งหนึ่งแตก คุณลองคิดดูซิครับว่า ใครจะเป็นคนช่วยชดใช้ในสิ่งที่เขาทำครับ? .... แน่นอน!... ผู้ที่ชดใช้ให้กับลูกก็จะต้องเป็นผมซึ่งเป็นพ่อใช่ไหมครับ!.... แท้จริงแล้วผมไม่ได้ ติดหนี้ลูกเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว ลูกชายผมก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ผมรู้ว่าลูกชายไม่มีกำลังที่จะชดใช้ ดังนั้นเพราะความรักของพ่อที่มีต่อลูก ทำให้ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยใช่ไหมครับ....เอาล่ะ ถ้าหากว่าผมกำลังจะเอาเงินออกมาเพื่อชดใช้ ค่าเสียหายแทนลูก แต่ลูกชายกลับพูดกับผมว่า...
“พ่อไม่ต้องมายุ่งกับผม!...” ใครทำคนนั้นก็รับผิดชอบเอง”... คุณลองคิดดูสิครับว่าผมที่เป็นพ่อ ถ้ายินลูกพูดเช่นนั้นจะเสียใจเพียงไร?......... เช่นเดียวกันครับ ถ้าพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคุณ คุณก็พูดได้ แต่นี่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างคุณและทรงรักคุณเปรียบเสมือนพ่อรักลูก เมื่อพระองค์เห็นคุณทำบาป พระองค์จึงปรารถนาที่จะช่วยคุณ แท้จริงพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้อะไรคุณเลย แต่การที่พระองค์ทรงอยากจะช่วยคุณ เพราะพระองค์รักคุณ ถ้าคุณปฏิเสธความรักของพระองค์ แน่นอนพระองค์ต้องเสียพระทัยแน่ๆ แต่คุณก็ต้องรับโทษ ตามการกระทำของคุณ นั่นก็คือคุณต้องรับความทุกข์ทรมานในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรันดร์ ดังนั้นผมขอให้คุณรับความรักของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปดีกว่า”.....
จากตัวอย่างข้างต้นเราจะเห็นว่า ข่าวประเสริฐนั้นมีที่มาจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระองค์สร้าง ข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้นไม่ใช่คำสอนที่ให้คนเป็นคนดี แต่เป็นฤทธิ์เดชจากพระเจ้าในการนำมนุษย์จากตายนิรันดร์ มาสู่ชีวิตนิรันดร์... จากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า... จากทาสของความบาปมาเป็นไทในพระคริสต์
ซึ่งคนที่รับเอาข่าวประเสริฐจริงๆนั้น เขาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต และชีวิตของเขาจะเริ่มมีอิทธิต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบรัว ในโรงเรียน ที่ทำงาน สังคม ประเทศ หรือโลกที่เขาอยู่
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ เขาคิดว่าความรอดที่คริสเตียนได้รับนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ คือเชื่อแล้วรอด แน่นอนเพียงแต่เราเชื่อพระเจ้าเท่านั้นก็รอด แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเหมือนอย่างที่พวกเขาคิด ข้างล่างนี้ผมจะให้เหตุผลว่า ทำไมข่าวประเสริฐถึงไม่ง่ายเหมือน ดังที่บางคนคิด
1. เพราะการสร้างข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่าย
เมื่อเราดูในพระคริสตธรรมคัมภีร์เรื่องการสร้างโลกของพระเจ้า เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกนี้ง่ายมาก เพียงแค่พระองค์ทรงตรัสสั่งเท่านั้น สรรพสิ่งก็บังเกิดขึ้น แต่กว่าข่าวประเสริฐจะเกิดขึ้นได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระเจ้าจะต้องประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ จะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์ของมนุษย์ ซึ่งเราจะเห็นว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพพระเจ้าไม่เพียงแต่ต้องมารับสภาพมนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องจากความสมบูรณ์แห่งพระสง่าราศีมาเป็นคนต่ำต้อย เกิดในคอกสัตว์.... จากบรมครูมาเป็นนักเรียน.. จากผู้ที่ไม่มีขีดจำกัดมาเป็นผู้ที่มีขีดจำกัด... จากพระบุตรของพระเจ้าองค์เดียวที่มีเหล่าทูตสวรรค์คอยปรนนิบัติ มาสู่บุตรมนุษย์ที่โดดเดี่ยว และเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ทรงถูกทดลองต่างๆ นานา แต่พระองค์ทรงได้รับชัยชนะ สุดท้ายพระองค์ยังทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยความทุกข์ ทรมานทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัสด้วย นี่คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้เราทราบว่า “ข่าวประเสริฐนั้นไม่ได้สร้างง่ายๆ เลย...”
2. เพราะการรับเอาข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่าย...
เราจะเห็นว่าหลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงสร้างข่าวประเสริฐของพระบิดาที่จัดเตรียมแก่มนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงสั่งให้สาวกประกาศความรอดนี้ออกไป ซึ่งในเวลานั้นการที่คนคนหนึ่งได้ฟังความจริงได้เข้าใจว่านี่คือความจริง แล้วกล้ารับเอา ทั้งยังกล้ายืนหยัดเพื่อความจริงนั้น (แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม) ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นถ้ามีผู้ใดรับเอาข่าวประเสริฐจริงๆ ในสมัยนั้นนับว่าเป็นการเสี่ยงมาก เพราะอาจจะถึงกับต้องเสียชีวิตทีเดียว...
ในพระธรรมโรม 10:9 ได้บันทึกว่า “ถ้าท่านรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด...” ซึ่งข้อพระคัมภีร์ตอนนี้กำลังชี้ให้เราเห็นว่า การรับเอาข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่าบางครั้งอาจจะต้องเสียละชีวิตของตนเอง ก็เพื่อที่จะได้ข่าวประเสริฐ ซึ่งสมัยนั้นที่อาจารย์เปาโลเขียนพระธรรมโรมนั้น ชาวยิวถูกปกครองโดนอาณาจักรโรม ในตอนนั้นซีซาร์ได้ออกกฎหมาย ห้ามใครเรียกผู้อื่นว่า “Lord องค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากซีซาร์เท่านั้น ซึ่งถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต บางครั้งก็ให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในสนามกีฬา หรือไม่ก็ถูกเผาไฟทั้งเป็น... เวลานั้นเปาโลจึงพูดหนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่กล้ายอมรับพระเยซูคริสต์ ไม่เพียงแต่ในใจเท่านั้น แต่ต้องพูดออกมาด้วย หมายถึงปากกับใจต้องไปคู่กัน ซึ่งถ้าคริสเตียนคนไหนทำเช่นนั้นก็สามารถที่จะทราบได้ทันทีว่าเขารอดแน่ๆ เนื่องจากเขานคริสเตียนที่แท้จริง เพราะเขากล้าที่จะยอมตายเพื่อความจริงที่เขามั่นใจ ซึ่งพวกเราที่เป็นคริสเตียนในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นคริสเตียนที่ง่ายกว่าในสมัยนั้นมาก ผมมานั่งคิดดูเล่นๆ ว่า ถ้าสมัยนี้เป็นสมัยนั้น จำนวนคริสเจียนจะมีมากเหมือนสมัยนี้หรือไม่??? อาจจะมีมากขึ้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้บอกพวกเราว่า คริสตจักรของพระเจ้าจะเข้มแข็งหรือคริสเตียนจะแพร่งพรายอย่างรวดเร็วในช่วงถูกข่มเหงนี่เอง....
ในปัจจุบันนี้พวกเราคริสเตียนไทยอาจจะไม่ค่อยมีการข่มเหงมากนัก แต่อย่างน้อยคนที่จะรับเอาข่าวประเสริฐก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาจะต้องละทิ้งบางสิ่งงอย่างการกระทำบางอย่างที่ขัดกับพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังต้องยืนหยัดในความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย ซึ่งพระคัมภีร์เรียกคนเหล่านั้นที่กล้ารับเอาข่าวประเสริฐว่า “ผู้กล้าหาญ” แต่เรียกคนเหล่านั้นที่รู้ว่าอะไรจริงแต่ไม่กล้ายอมรับว่า “คนขลาด” (วิวรณ์ 21:8)....
จากข้างต้นนี้ทำให้เราเห็นว่า คนที่รับเอาข่าวประเสริฐนั้น เขาต้องทราบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเขาจะต้องพร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงนั้น และพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งชีวิตของเขาเพื่อข่าวประเสริฐ
3. การดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่ายเลย
มีข้อพระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า เมื่อคนหนึ่งได้รับเอาข่าวประเสริฐแล้ว เขาก็จะได้รับชีวิตใหม่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา และพระองค์ได้ทรงมอบภาระหน้าที่ให้แก่เขาด้วย ดังนั้นเขาจะอยู่เฉยๆไม่ได้ ซึ่งหน้าที่ที่พระเจ้ามอบให้แก่เขานั้น เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
3.1 การประกาศข่าวประเสริฐ (มัทธิว 28:19-20) คือการใช้คำพูดในการเล่าเรื่องราวแห่งความรอดที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อมวลมนุษยชาติให้แก่ทุกคนทั่วโลกได้ยินได้ฟัง เพราะไม่มีคนไปพูด เขาจะได้ยินข่าวประเสริฐได้อย่างไร ?... (โรม 10:14-17) ดังนั้นหน้าที่นี้ไม่ง่ายเลย เพราะคริสเตียนเราบางคนมีบุคลิกที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อเขาเป็นคริสเตียนแล้ว ถึงแม้ไม่อยากยุ่งก็ต้องยุ่ง และต้องประกาศข่าวประเสริฐทั้งที่ไม่เคยพูดก็ต้องพูด ไม่เคยเดินเข้าหาคนก็ต้องเดินเข้าหา ซึ่งไม่ง่ายเลย.....
3.2 การเป็นพยาน (กิจการฯ 1:8) หมายถึงการมีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราพูดหรืออสมกับที่เราได้เชื่อ (ฟีลิปปี 1:27) ซึ่งคล้ายกับเรากำลังจะบอกทุกคนทั่วโลกให้ทราบว่า .... “ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร? ดูชีวิตของฉันสิ !... ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ... ดูชีวิตของฉันสิ! ... ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงหรือไม่? ดูชีวิตของฉันสิ!! ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์รักคนบาปอย่างไร? ดูชีวิตของฉันสิ!!!...... ” นี่แหละคือชีวิตที่เป็นพยานเพื่อพระคริสต์
จากเหตุผล 3 ประการนี้ทำให้พวกเราเห็นได้ชัดว่า ข่าวประเสริฐไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย จริงๆแล้วด้านการดำเนินชีวิตนั้นสำคัญ และนับสำคัญที่สุดในชีวิตของคริสเตียน แต่เราที่เป็นคริสเตียนนั้นจะต้องพูด ซึ่งหมายถึงต้องประกาศด้วย และจะสมดุลที่สุดก็คือ คริสเตียนจะต้องประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเดียวกันก็จะต้องมีการดำเนินชีวิตของตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราประกาศนั้นด้วย (ฟีลิปปี 1:27)
><"พี่น้องสามารถแสดงความคิดเห็นได้นะครับ
ข่าวประเสริฐ? - ที่มา...เพื่อเพื่อนผู้ประกาศ
นี้เป็นคำถามที่พวกเราคริสเตียนจะต้องตอบให้ได้... “ข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา ๆ แต่เป็นข่าวดีที่กำลังบอกกับมนุษย์ชาติว่า “แท้จริงแล้ว มนุษย์เราเป็นคนบาป เราสมควรตาย แต่พระเจ้าทรงรักเรา จึงทรงให้พระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนเรา และในวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงประทานชีวิตใหม่ให้แก่มนุษย์เรา” (1 โครินธ์ 15:3-4)...
ครั้งหนึ่งเมื่อผมได้ไปประกาศข่าวประเสริฐกับคนคนหนึ่ง หลังจากที่เขาฟังแล้วพูดกับผมว่า ....“ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมารับโทษบาปแทนผมด้วย ผมไม่ต้องการหรอก บาปใครบาปมัน ผมจะรับบาปของผมเอง”.. ผมจึงพูดกับเขาว่า .. “คุณอย่าพูดอย่างนั้นสิครับ! สมมติว่าผมมีลูกชาย 5 ขวบ อยู่คนหนี่ง ถ้าวันหนึ่งลูกชายของผมไปทำกระจกร้านขายของแห่งหนึ่งแตก คุณลองคิดดูซิครับว่า ใครจะเป็นคนช่วยชดใช้ในสิ่งที่เขาทำครับ? .... แน่นอน!... ผู้ที่ชดใช้ให้กับลูกก็จะต้องเป็นผมซึ่งเป็นพ่อใช่ไหมครับ!.... แท้จริงแล้วผมไม่ได้ ติดหนี้ลูกเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว ลูกชายผมก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ผมรู้ว่าลูกชายไม่มีกำลังที่จะชดใช้ ดังนั้นเพราะความรักของพ่อที่มีต่อลูก ทำให้ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยใช่ไหมครับ....เอาล่ะ ถ้าหากว่าผมกำลังจะเอาเงินออกมาเพื่อชดใช้ ค่าเสียหายแทนลูก แต่ลูกชายกลับพูดกับผมว่า... “พ่อไม่ต้องมายุ่งกับผม!...” ใครทำคนนั้นก็รับผิดชอบเอง”... คุณลองคิดดูสิครับว่าผมที่เป็นพ่อ ถ้ายินลูกพูดเช่นนั้นจะเสียใจเพียงไร?......... เช่นเดียวกันครับ ถ้าพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคุณ คุณก็พูดได้ แต่นี่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างคุณและทรงรักคุณเปรียบเสมือนพ่อรักลูก เมื่อพระองค์เห็นคุณทำบาป พระองค์จึงปรารถนาที่จะช่วยคุณ แท้จริงพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้อะไรคุณเลย แต่การที่พระองค์ทรงอยากจะช่วยคุณ เพราะพระองค์รักคุณ ถ้าคุณปฏิเสธความรักของพระองค์ แน่นอนพระองค์ต้องเสียพระทัยแน่ๆ แต่คุณก็ต้องรับโทษ ตามการกระทำของคุณ นั่นก็คือคุณต้องรับความทุกข์ทรมานในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรันดร์ ดังนั้นผมขอให้คุณรับความรักของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปดีกว่า”.....
จากตัวอย่างข้างต้นเราจะเห็นว่า ข่าวประเสริฐนั้นมีที่มาจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระองค์สร้าง ข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้นไม่ใช่คำสอนที่ให้คนเป็นคนดี แต่เป็นฤทธิ์เดชจากพระเจ้าในการนำมนุษย์จากตายนิรันดร์ มาสู่ชีวิตนิรันดร์... จากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า... จากทาสของความบาปมาเป็นไทในพระคริสต์
ซึ่งคนที่รับเอาข่าวประเสริฐจริงๆนั้น เขาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต และชีวิตของเขาจะเริ่มมีอิทธิต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบรัว ในโรงเรียน ที่ทำงาน สังคม ประเทศ หรือโลกที่เขาอยู่
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ เขาคิดว่าความรอดที่คริสเตียนได้รับนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ คือเชื่อแล้วรอด แน่นอนเพียงแต่เราเชื่อพระเจ้าเท่านั้นก็รอด แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเหมือนอย่างที่พวกเขาคิด ข้างล่างนี้ผมจะให้เหตุผลว่า ทำไมข่าวประเสริฐถึงไม่ง่ายเหมือน ดังที่บางคนคิด
1. เพราะการสร้างข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่าย
เมื่อเราดูในพระคริสตธรรมคัมภีร์เรื่องการสร้างโลกของพระเจ้า เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกนี้ง่ายมาก เพียงแค่พระองค์ทรงตรัสสั่งเท่านั้น สรรพสิ่งก็บังเกิดขึ้น แต่กว่าข่าวประเสริฐจะเกิดขึ้นได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระเจ้าจะต้องประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ จะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์ของมนุษย์ ซึ่งเราจะเห็นว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพพระเจ้าไม่เพียงแต่ต้องมารับสภาพมนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องจากความสมบูรณ์แห่งพระสง่าราศีมาเป็นคนต่ำต้อย เกิดในคอกสัตว์.... จากบรมครูมาเป็นนักเรียน.. จากผู้ที่ไม่มีขีดจำกัดมาเป็นผู้ที่มีขีดจำกัด... จากพระบุตรของพระเจ้าองค์เดียวที่มีเหล่าทูตสวรรค์คอยปรนนิบัติ มาสู่บุตรมนุษย์ที่โดดเดี่ยว และเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ทรงถูกทดลองต่างๆ นานา แต่พระองค์ทรงได้รับชัยชนะ สุดท้ายพระองค์ยังทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยความทุกข์ ทรมานทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัสด้วย นี่คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้เราทราบว่า “ข่าวประเสริฐนั้นไม่ได้สร้างง่ายๆ เลย...”
2. เพราะการรับเอาข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่าย...
เราจะเห็นว่าหลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงสร้างข่าวประเสริฐของพระบิดาที่จัดเตรียมแก่มนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงสั่งให้สาวกประกาศความรอดนี้ออกไป ซึ่งในเวลานั้นการที่คนคนหนึ่งได้ฟังความจริงได้เข้าใจว่านี่คือความจริง แล้วกล้ารับเอา ทั้งยังกล้ายืนหยัดเพื่อความจริงนั้น (แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม) ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นถ้ามีผู้ใดรับเอาข่าวประเสริฐจริงๆ ในสมัยนั้นนับว่าเป็นการเสี่ยงมาก เพราะอาจจะถึงกับต้องเสียชีวิตทีเดียว... ในพระธรรมโรม 10:9 ได้บันทึกว่า “ถ้าท่านรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด...” ซึ่งข้อพระคัมภีร์ตอนนี้กำลังชี้ให้เราเห็นว่า การรับเอาข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่าบางครั้งอาจจะต้องเสียละชีวิตของตนเอง ก็เพื่อที่จะได้ข่าวประเสริฐ ซึ่งสมัยนั้นที่อาจารย์เปาโลเขียนพระธรรมโรมนั้น ชาวยิวถูกปกครองโดนอาณาจักรโรม ในตอนนั้นซีซาร์ได้ออกกฎหมาย ห้ามใครเรียกผู้อื่นว่า “Lord องค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากซีซาร์เท่านั้น ซึ่งถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต บางครั้งก็ให้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในสนามกีฬา หรือไม่ก็ถูกเผาไฟทั้งเป็น... เวลานั้นเปาโลจึงพูดหนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่กล้ายอมรับพระเยซูคริสต์ ไม่เพียงแต่ในใจเท่านั้น แต่ต้องพูดออกมาด้วย หมายถึงปากกับใจต้องไปคู่กัน ซึ่งถ้าคริสเตียนคนไหนทำเช่นนั้นก็สามารถที่จะทราบได้ทันทีว่าเขารอดแน่ๆ เนื่องจากเขานคริสเตียนที่แท้จริง เพราะเขากล้าที่จะยอมตายเพื่อความจริงที่เขามั่นใจ ซึ่งพวกเราที่เป็นคริสเตียนในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นคริสเตียนที่ง่ายกว่าในสมัยนั้นมาก ผมมานั่งคิดดูเล่นๆ ว่า ถ้าสมัยนี้เป็นสมัยนั้น จำนวนคริสเจียนจะมีมากเหมือนสมัยนี้หรือไม่??? อาจจะมีมากขึ้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้บอกพวกเราว่า คริสตจักรของพระเจ้าจะเข้มแข็งหรือคริสเตียนจะแพร่งพรายอย่างรวดเร็วในช่วงถูกข่มเหงนี่เอง....
ในปัจจุบันนี้พวกเราคริสเตียนไทยอาจจะไม่ค่อยมีการข่มเหงมากนัก แต่อย่างน้อยคนที่จะรับเอาข่าวประเสริฐก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาจะต้องละทิ้งบางสิ่งงอย่างการกระทำบางอย่างที่ขัดกับพระวจนะของพระเจ้า ทั้งยังต้องยืนหยัดในความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย ซึ่งพระคัมภีร์เรียกคนเหล่านั้นที่กล้ารับเอาข่าวประเสริฐว่า “ผู้กล้าหาญ” แต่เรียกคนเหล่านั้นที่รู้ว่าอะไรจริงแต่ไม่กล้ายอมรับว่า “คนขลาด” (วิวรณ์ 21:8)....
จากข้างต้นนี้ทำให้เราเห็นว่า คนที่รับเอาข่าวประเสริฐนั้น เขาต้องทราบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเขาจะต้องพร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงนั้น และพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งชีวิตของเขาเพื่อข่าวประเสริฐ
3. การดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่ายเลย
มีข้อพระคัมภีร์หลายตอนได้บอกเราว่า เมื่อคนหนึ่งได้รับเอาข่าวประเสริฐแล้ว เขาก็จะได้รับชีวิตใหม่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา และพระองค์ได้ทรงมอบภาระหน้าที่ให้แก่เขาด้วย ดังนั้นเขาจะอยู่เฉยๆไม่ได้ ซึ่งหน้าที่ที่พระเจ้ามอบให้แก่เขานั้น เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
3.1 การประกาศข่าวประเสริฐ (มัทธิว 28:19-20) คือการใช้คำพูดในการเล่าเรื่องราวแห่งความรอดที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อมวลมนุษยชาติให้แก่ทุกคนทั่วโลกได้ยินได้ฟัง เพราะไม่มีคนไปพูด เขาจะได้ยินข่าวประเสริฐได้อย่างไร ?... (โรม 10:14-17) ดังนั้นหน้าที่นี้ไม่ง่ายเลย เพราะคริสเตียนเราบางคนมีบุคลิกที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อเขาเป็นคริสเตียนแล้ว ถึงแม้ไม่อยากยุ่งก็ต้องยุ่ง และต้องประกาศข่าวประเสริฐทั้งที่ไม่เคยพูดก็ต้องพูด ไม่เคยเดินเข้าหาคนก็ต้องเดินเข้าหา ซึ่งไม่ง่ายเลย.....
3.2 การเป็นพยาน (กิจการฯ 1:8) หมายถึงการมีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราพูดหรืออสมกับที่เราได้เชื่อ (ฟีลิปปี 1:27) ซึ่งคล้ายกับเรากำลังจะบอกทุกคนทั่วโลกให้ทราบว่า .... “ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร? ดูชีวิตของฉันสิ !... ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ... ดูชีวิตของฉันสิ! ... ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงหรือไม่? ดูชีวิตของฉันสิ!! ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเยซูคริสต์รักคนบาปอย่างไร? ดูชีวิตของฉันสิ!!!...... ” นี่แหละคือชีวิตที่เป็นพยานเพื่อพระคริสต์
จากเหตุผล 3 ประการนี้ทำให้พวกเราเห็นได้ชัดว่า ข่าวประเสริฐไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย จริงๆแล้วด้านการดำเนินชีวิตนั้นสำคัญ และนับสำคัญที่สุดในชีวิตของคริสเตียน แต่เราที่เป็นคริสเตียนนั้นจะต้องพูด ซึ่งหมายถึงต้องประกาศด้วย และจะสมดุลที่สุดก็คือ คริสเตียนจะต้องประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเดียวกันก็จะต้องมีการดำเนินชีวิตของตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราประกาศนั้นด้วย (ฟีลิปปี 1:27)
><"พี่น้องสามารถแสดงความคิดเห็นได้นะครับ