พลิกพงศาวดาร กบฏตะนาวศรี ๒๙ มิ.ย.๕๘

กระทู้สนทนา
พลิกพงศาวดาร

                          กบฏตะนาวศรี
                                                          พ.สมานคุรุกรรม

                    หลังจากเสร็จศึกกรุงกัมพูชาธิบดี  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับคืนกรุงศรีอยุธยาแล้ว  
ก็ทรงพระราชทานบำเหน็จรางวัล แม่ทัพนายกองทั้งปวง  โดยสมควรแก่ความชอบ
แต่พระยาราชมานูนั้น ให้เป็นที่เจ้าพระยาอัครมหาเสนาธิบดี สมุหพระกลาโหม
พระราชทานพานทองน้ำเต้าทอง เจียดทองซ้ายขวา กระบี่ฝักทองเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก

                    ถัดจากนั้นอีกสามปี มีใบบอกจากกรมการเมืองกุยบุรีว่า พระยาศรีไสยณรงค์ ซึ่งให้รั้งเมืองตะนาวศรีนั้นเป็นกบฏ  
เมื่อโกษาธิบดีกราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณายังเคลือบแคลงอยู่
จึ่งโปรดให้มีตราออกไปหาตัวพระยาตะนาวศรี ก็มิได้มา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ จึ่งให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จพระราชดำเนินยกพลสามหมื่น ช้างเครื่องสามร้อย ม้าห้าร้อย
สมทบกับหัวเมืองปากใต้ มีเมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองคลองวาน เมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี ถึงหกเมืองเป็นคนหมื่นห้าพัน
ประชุมทัพที่ตำบลบางสะพาน แลเดินทัพไปทางสิงขร

                    ฝ่ายพระยาตะนาวศรีรู้ว่า  สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบพิตรพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินยกมา
ก็เกรงพระเดชเดชานุภาพเป็นอันมาก จะหนีก็ไม่พ้น จะแต่งทัพออกรับก็เหลือกำลัง จนความคิดอยู่แล้วก็นิ่งรักษามั่นไว้

                    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงเมืองตะนาวศรีก็สั่งให้ตั้งค่ายล้อมไว้โดยรอบ แต่ทัพหลวงนั้นตั้งใกล้เมืองห้าสิบเส้น
จึงทรงแต่งหนังสือรับสั่งเข้าไปว่า

                    พระยาตะนาวศรีเป็นข้าหลวงเดิม  สัตย์ซื่อมั่นคง  ได้ทำราชการโดยเสด็จงานพระราชสงคราม ความชอบหลังมามากมายนัก
จึ่งทรงพระมหากรุณาให้มากินเมืองตะนาวศรีนี้ แลยังหาเสมอความชอบไม่อีก
ด้วยจำเป็นด้วยเหตุว่าเมืองตะนาวศรีนี้เป็นเมืองหน้าศึก ครั้นจะแต่งผู้อื่นมาอยู่มิวางพระทัย จึ่งให้พระยาศรีไสยณรงค์
ออกมาอยู่ต่างพระเนตรพระกรรณ เนื้อความข้อนี้รู้อยู่แก่ใจ

แลมีข่าวไปว่าพระยาตะนาวศรีคิดกบฏ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เชื่อ จึ่งมีตราออกมาให้หา ก็มิเข้าไปเฝ้า
เนื้อความจึงมากขึ้นตรัสให้เราออกมา ก็มีความเมตตาหนักอยู่  พระยาตะนาวศรีผิดแต่ครั้งเดียวดอก ให้ออกมาหาเราเถิด
จะกราบทูลขอโทษไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าจะมาก็ให้มาวันนี้ ถ้ามิมา เห็นว่าจะรับทัพเราได้ ก็ให้แต่งป้องกันไว้ให้มั่นคง          

                                                                    
                    พระยาศรีไสยณรงค์ผู้รั้งเมืองตะนาวศรีได้แจ้งหนังสือแล้ว  ก็คิดว่าตนได้ทำการล่วงเกินผิดถึงเพียงนี้แล้ว
แลซึ่งมีหนังสือรับสั่งมาน่าจะเป็นราชอุบาย ออกไปก็คงตาย ผิดชอบก็จะอยู่สู้ไป ถึงตายก็ให้ปรากฎชื่อไว้ภายหน้าจึงมิได้ออกไปเฝ้า

เพลารุ่งแล้วหนึ่งนาฬิกาพระบาทสมเด็จเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว  ก็เสด็จกรีธาทัพพลเลียบ
ทอดพระเนตรดูท่วงทีซึ่งจะให้พลทหารเข้าปีนเมือง

                    ฝ่ายพระยาตะนาวศรีออกมายืนถือหอกกั้นสัปทนอยู่บนเชิงเทิน  แลเห็นพลสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าดุจสายน้ำอันไหลหลั่ง
ถั่งมาเมื่อวสันตฤดู แลได้ยินเสียงปี่ กลองแตรสังข์ก็ตกใจตลึงไป หอกพลัดตกจากมือมิรู้ตัว บ่าวไพร่ทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เสียใจ
พูดเล่ากันต่อๆ ไปว่านายเราเห็นจะป้องกันเมืองไว้มิได้ พลทหารทั้งปวงก็ยิ่งครั่นคร้าม พระเดชเดชานุภาพเป็นอันมาก

                    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบดูรอบเมืองตะนาวศรีแล้ว ก็เสด็จกลับมายังค่ายหลวง มีพระราชกำหนดให้นายทัพนายกอง
ทำบันไดร้อยอัน ปลายบันไดนั้นให้ผูกพลุเพลิงพะเนียงครบ เพลาตีสิบเอ็ดจะปีนเอาเมืองให้จงได้  

ครั้นได้ฤกษ์แล้วสั่งให้ปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรีปี่พาทย์ฆ้องชัยให้ฝรั่งแม่นปืนจุดจ่ารงค์คร่ำท้ายที่นั่งสามบอกไล่กันเป็นสำคัญ
นายทัพนายกองได้ยินเสียงปืนใหญ่ ก็ให้ทหารเอาบันไดพาดกำแพงเมืองจุดพลุพะเนียงเป็นโกลาหล

ไพร่พลบนเชิงเทินตกใจจะออกรบพุ่งก็ทนเพลิงมิได้ แลละทิ้งหน้าที่เสีย ฝ่ายทหารอาสาพันหนึ่งก็เข้าเมืองได้

                    พอเพลารุ่งขึ้นก็คุมเอาตัวพระยาตะนาวศรีพันธนาเข้ามาถวาย ยังค่ายหลวง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวให้ลงพระราชอาญา
เฆี่ยนยกหนึ่งสามสิบที แล้วบอกข้อราชการเข้าไปยังกรุงเทพพระมหานครศรีอยุธยา

                    สมเด็จพระนเรศวรบรมบพิตรเป็นเจ้าแจ้งว่า  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าได้เมืองตะนาวศรี จับได้พระยาศรีไสยณรงค์ดั่งนั้น
ก็ทีพระทัยปรีดาจึงทรงพระมหากรุณาให้มีตราตอบออกมาว่า อย่าให้เข้ามา ณ กรุงเลย ให้ตระเวนแล้วตัดศรีษะเสียบประจานไว้ ณ เมืองตะนาวศรี
อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง

แลให้พระยาราชฤทธานนท์เป็นเจ้าพระยาตะนาวศรีแทน

                    สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ก็กระทำตามพระราชบัญชาของสมเด็จพระเชษฐาธิราชทุกประการ ครั้นจัดแจงเมืองตะนาวศรี
ราบคาบเป็นปกติดีแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับมายังกรุงเทพพระมหานคร เฝ้าพระบรมเชษฐาธิราชเจ้ากราบทูลเสร็จ                                          
        สิ้นทุกประการ

                    ในเรื่องนี้  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๘๖ มีเนื้อความโดยพิศดาร จึงขอคัดเอามาขยายพระราชพงศาวดาร ดังนี้


        ............เมื่อสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองเขมรได้แล้ว ต่อมาในไม่ถึงปีพระยาศรีไสยณรงค์เจ้าเมืองตะนาวศรีก็เป็นกบฏ
ดูเป็นการใหญ่โตถึงสมเด็จพระเอกาทศรถต้องเสด็จยกกองทัพลงไปปราบปราม พิเคราะห์ดูน่าพิศวง
ด้วยพระยาศรีไสยณรงค์ เป็นข้าหลวงเดิมของสมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงชุบเลี้ยงและเคยรบศัตรู เป็นคู่พระราชหฤทัยมาแต่แรก
ไฉนมาคิดทรยศ เป็นกบฏต่อเจ้านายของตนเอง  

อีกประการหนึ่งพระยาศรีไสยณรงค์เป็นแต่เจ้าเมือง ๆ หนึ่ง จะเอากำลังที่ไหนมาต่อสู้กองทัพในกรุงกับหัวเมืองอื่นที่จะยกไปปราบปราม
จะหมายพึ่งต่างประเทศ เมืองตะนาวศรีก็มิได้อยู่ติดต่อกับประเทศไหน

ที่ตั้งแข็งเมืองเป็นกบฏก็เหมือนวางบทโทษประหารชีวิตตนเอง  แม้พระยาศรีไสยณรงค์จะสิ้นความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนเรศวร
ก็คงต้องคิดถึงความปลอดภัยของตนเองก่อน  ที่ว่าเป็นกบฏขึ้นลอย ๆ จึงน่าสงสัยว่าจะไม่ตรงกับความจริง.........

        ............พระยาศรีไสยณรงค์เป็นทหารเอกรุ่นแรกของสมเด็จพระนเรศวร คู่กันกับพระยาชัยบูรณ์มาแต่ยังทรงครองพิษณุโลก
เมื่อพระยาชัยบูรณ์เป็นที่พระชัยบุรีและพระยาศรีไสยณรงค์เป็นที่พระศรีถมอรัตน ได้ไปรบชนะเขมรที่เมืองนครราชสีมา ด้วยกันทั้งสองคนครั้งหนึ่ง

ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนเรศวร ทรงประกาศอิสรภาพของเมืองไทยแล้ว โปรดให้คุมพลไปขับไล่กองทัพพม่าไปจากเมืองกำแพงเชรด้วยกันทั้งสองคน
ได้รบกับข้าศึกถึงชนช้างมีชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง  คงเป็นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ โปรดให้เลื่อนยศพระชัยบุรี เป็นพระยาชัยบูรณ์
และเลื่อนยศพระศรีถมอรัตน เป็นพระยาศรีไสยณรงค์  

ต่อมาถึงครั้งสมเด็จพระนเรศวรรบพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านสระเกศ มีชื่อทหารเอกปรากฎขึ้นอีกคนหนึ่งคือ พระราชมนู  ซึ่งคุมกองทัพหน้าในครั้งนั้น
เห็นจะเป็นคนรุ่นหลัง และบางทีจะได้เคยเป็นตัวรองอยู่ในบังคับบัญชาของพระยาศรีไสยณรงค์มาแต่ก่อน  ทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวร
ที่ถึงขึ้นชื่อในพงศาวดารจึงมีสามคนด้วยกัน........

        ...........ครั้นเสร็จสงคราม (ตีเมืองตะนาวศรีแก้ตัว) สมเด็จพระนเรศวรก็เลยทรงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรี เพราะได้รักษาเมืองอยู่ก่อนแล้ว
ไม่ใช่ยกความชอบแต่อย่างใด พระยาศรีไสยณรงค์คงจะเสียใจ แต่ยังพอคิดเห็นว่าเป็นพราะตัวมีความผิด                                                                
อยู่เมื่อแต่ก่อน  แต่ต่อมาถึงคราวพูนบำเหน็จเมื่อเสร็จศึกเขมร สมเด็จพระนเรศวร  ทรงตั้งพระราชมนู เป็นเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี ที่สมุหกลาโหม  คราวนี้พระยาศรีไสยณรงค์เห็นจะเสียใจมาก ถึงเกิดความโทมนัสแรงกล้าสาหัส  ด้วยรู้สึกว่าคนรุ่นหลัง ได้เลื่อนยศข้ามหัวขึ้นไปเป็นใหญ่กว่าตน
อันได้ทำความดีความชอบมาก่อนช้านาน  แต่ก็คงมิได้คิดจะเป็นกบฏ น่าจะเป็นแต่แสดงความโทมนัสออกนอกหน้า ตามประสาคนมุทะลุ

       ..............กรมการที่ไม่ชอบพระยาศรีไสยณรงค์ หรือที่ตกใจจริง ๆ  ลอบเข้าไปบอกเจ้าเมืองกุย  เจ้าเมืองจึงมีใบบอกเข้ามากราบทูล
สมเด็จพระนเรศวร ไม่ทรงเชื่อก็เป็นธรรมดา เพราะพระยาศรีไสยณรงค์เป็นข้าหลวงเดิม ทรงชุบเลี้ยงอย่างสนิทสนมมาแต่ก่อน ไม่เห็นว่าจะเป็นกบฏได้
แต่เมื่อถูกฟ้องต้องหาเช่นนั้นก็จำต้องไต่ถาม จึงตรัสสั่งให้มีท้องตราให้หาตัวเข้ามาแก้คดี

ข้างฝ่ายพระยาศรีไสยณรงค์ไม่ได้คาดว่า คำที่ตัวพูดโดยกำลังโทสะ จะรู้เข้าไปถึงพระกรรณสมเด็จพระนเรศวร  ได้เห็นท้องตราก็ตกใจ
เพราะได้พูดเช่นนั้นจริง จะเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระนเรศวรก็เกรงถูกประหารชีวิต จึงมีใบบอกบิดพริ้ว เช่นว่ายังป่วยเป็นต้น  โดยหมายว่าจะรอพอให้คลายพระพิโรธแล้ว จึงจะเข้ามาเฝ้า แต่ทำเช่นนั้นกลับเป็นอาการขัดรับสั่ง สมข้อหาว่าเป็นกบฏ........

        ............สมเด็จพระนเรศวรทรงสิ้นเยื่อใยในข่ายพระกรุณาพระยาศรีไสยณรงค์ เสียแต่เมื่อทรงทราบว่า ตั้งแข็งเมืองเอากับสมเด็จพระเอกาทศรถแล้ว  จึงตรัสสั่งให้ประหารชีวิตพระยาศรีไสยณรงค์เสียที่เมืองตะนาวศรี อย่าให้พาเข้ามาในกรุง  เพื่อมิให้มีโอกาสที่สมเด็จพระเอกาทศรถ
จะทูลขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษ................

                    พระยาศรีไสยณรงค์ทหารเอกคู่พระทัยของสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า  จึงต้องถึงที่สุดแห่งชีวิตด้วยประการฉะนี้.

                                      ##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่