เมื่อเราปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธที่นับถือพระพุทธเจ้าที่เป็นสุดยอดของผู้มีปัญญา ที่รู้แจ้งชีวิตและโลก เราก็ต้องกล้าหาญที่จะพูดกับคนที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้าว่าเราเป็นคนมีปัญญา เราเป็นคนมีเหตุผล เราเป็นคนมีความทุกข์ใจน้อยกว่าคนทั่วไป เราเป็นคนไม่งมงาย เราเป็นคนรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ และคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นจะไม่มีใครจะสามรถคัดค้านด้วยเหตุผลได้ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้น จะประกอบด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผลและมีความจริงมาเป็นหลักฐานยืนยัน
แต่เมื่อใดที่มีคนมาจาบจ้วงหรือดูหมิ่นคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นคำสอนที่งมงาย สอนให้คนเชื่อโดยไร้เหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ อย่างเช่นคำสอนเรื่องทำชั่วตายไปแล้วตกนรก ทำดีตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ นิพพานคือตายแล้วไม่เกิดอีก เป็นต้นนั้น เราก็ต้องมาพิจารณาดูว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้ามันเป็นความจริงอย่างที่เขาว่า (คือสอนให้คนเชื่อโดยไร้เหตุผล พิสูจน์ไม่ได้) ก็แสดงว่าคำสอนนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนจากศาสนาอื่นที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง
แต่ถ้าเราไปโกรธเขา ที่เขามาว่าเรางมงาย ก็แสดงว่าเรายังโง่อยู่ เพราะการที่เราโกรธเขาก็เพราะเราไม่มีเหตุผลไปโต้แย้งกับเขา และไม่มีของจริงไปยืนยันกับเขาได้ แต่ถ้าเรามีเหตุผลไปโต้แย้งกับเขาได้ และมีของจริงมายืนยัน เราก็จะไม่โกรธเขา เพราะเราเข้าใจดีว่าเขายังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และเราก็สามารถอธิบายด้วยเหตุด้วยผลให้เขาเข้าใจได้ และยกความจริงที่เขาสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบันมายืนยันได้
แต่ถ้าเราเอาความเชื่อไปโต้แย้งกับเขา (เช่น เชื่อตามตำรา เชื่อตามครูอาจารย์ เชื่อตามความคิดเห็นของตัวเอง เป็นต้น) ก็แสดงว่าเรายังไม่มีปัญญาเห็นแจ้งชีวิต จึงยังคงใช้ความเชื่อมาโต้แย้งอยู่ อย่างนี้ก็แสดงว่าเรายังไม่รู้จักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่มีหลักการและเหตุผลอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งมีประโยชน์แก่เราและชาวโลกอย่างแท้จริง
ชาวพุทธต้องไม่กลัวคำว่า งมงาย เพราะชาวพุทธมี ปัญญา เห็นแจ้งชีวิต
แต่เมื่อใดที่มีคนมาจาบจ้วงหรือดูหมิ่นคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นคำสอนที่งมงาย สอนให้คนเชื่อโดยไร้เหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ อย่างเช่นคำสอนเรื่องทำชั่วตายไปแล้วตกนรก ทำดีตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ นิพพานคือตายแล้วไม่เกิดอีก เป็นต้นนั้น เราก็ต้องมาพิจารณาดูว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้ามันเป็นความจริงอย่างที่เขาว่า (คือสอนให้คนเชื่อโดยไร้เหตุผล พิสูจน์ไม่ได้) ก็แสดงว่าคำสอนนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนจากศาสนาอื่นที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง
แต่ถ้าเราไปโกรธเขา ที่เขามาว่าเรางมงาย ก็แสดงว่าเรายังโง่อยู่ เพราะการที่เราโกรธเขาก็เพราะเราไม่มีเหตุผลไปโต้แย้งกับเขา และไม่มีของจริงไปยืนยันกับเขาได้ แต่ถ้าเรามีเหตุผลไปโต้แย้งกับเขาได้ และมีของจริงมายืนยัน เราก็จะไม่โกรธเขา เพราะเราเข้าใจดีว่าเขายังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และเราก็สามารถอธิบายด้วยเหตุด้วยผลให้เขาเข้าใจได้ และยกความจริงที่เขาสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบันมายืนยันได้
แต่ถ้าเราเอาความเชื่อไปโต้แย้งกับเขา (เช่น เชื่อตามตำรา เชื่อตามครูอาจารย์ เชื่อตามความคิดเห็นของตัวเอง เป็นต้น) ก็แสดงว่าเรายังไม่มีปัญญาเห็นแจ้งชีวิต จึงยังคงใช้ความเชื่อมาโต้แย้งอยู่ อย่างนี้ก็แสดงว่าเรายังไม่รู้จักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่มีหลักการและเหตุผลอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งมีประโยชน์แก่เราและชาวโลกอย่างแท้จริง