### The Witcher 3: Wild Hunt ...แชร์ประสบการณ์ + ความรู้สึกหลังเล่นว่าที่หนึ่งในเกมแฟนตาซี RPG ในดวงใจเกมนี้ ###



หมายเหตุ: ความจริงแล้วผมยังเล่นเกมนี้ไม่จบหรอกครับ แต่ขอตั้งกระทู้เก็บไว้เป็นความประทับใจสักหน่อย เพราะช่วงครึ่งปีหลังมีทั้ง Batman: Arkham Knight และ Fallout 4 กลัวว่าพอถึงตอนนั้นแล้วเดี๋ยวจะไม่มีเวลาเขียนเอา

- ตอนนี้เล่นไปได้ราวๆ 15-20 ชั่วโมงแล้ว(ในขณะที่ตัวเกมจริงๆสามารถเล่นได้ยาวถึงกว่า 100 ชั่วโมง!) เลเวล 20 ยังไม่ได้ไปเมือง Skellige เลยด้วย มัวแต่เดินเตร็ดเตร่ สำรวจนู่นนี่และตามเก็บไซด์เควสต์ที่เมือง Novigrad อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกล้ายืนยัน นั่งยัน นอนยัน ตะแคงยัน พร้อมสวมหน้าม้าอวยว่า The Witcher 3: Wild Hunt คือหนึ่งในเกมที่คุ้มค่าเงินที่สุดเท่าที่ผมเคยควักเงินในกระเป๋าตังค์ซื้อมาเลย

- ตื่นตาตื่นใจกับ“โลก”ในเกมนี้มาก แทบทุกสถานที่ที่เราได้ไปและแทบทุกตัวละครที่ผู้เล่นมีโอกาสได้พบเจอในเกมนี้ล้วนแล้วแต่มี“เรื่องราว”เป็นของตัวเอง ทำให้โลกของ The Witcher 3 เป็นหนึ่งในโลกแฟนตาซีที่มี“ชีวิต”ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นและเคยได้สัมผัสมา มันเป็นโลกแฟนตาซีที่ผสมผสานความเป็นเทพนิยายปรัมปราที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปีศาจให้เข้ากับความดิบเถื่อนแบบยุคกลาง (Middle Ages) ได้อย่างยอดเยี่ยมคล้ายๆซีรี่ส์อย่าง Game of Thrones หรือการ์ตูนอย่าง Berserk การได้ออกผจญภัยไปยังโลกของ The Witcher 3 จึงเป็นประสบการณ์ที่น่าค้นหาอยู่เสมอ เพราะหลายๆครั้งที่เราควบม้าคู่ใจออกท่องไปยังโลกแฟนตาซีที่ทีมงาน CD Projekt RED รังสรรค์ขึ้นมาในเกมนี้ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีเรื่องราว สถานที่ และ/หรือผู้คนประเภทไหนรอเราอยู่ในหนทางข้างหน้า

หนึ่งในโมเมนต์ที่ผมประทับใจมากที่สุดในเกมนี้เป็นการส่วนตัวคือตอนที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ในเมือง Novigrad อยู่ดีๆแล้วจู่ๆมันก็มี NPC ขี้เมาโผล่มาจากไหนไม่รู้สองคนเดินตาสีตาสามาขอเงินค่าเหล้าจาก Geralt สาเหตุที่ผมประทับใจกับโมเมนต์นี้เป็นพิเศษก็คงจะเป็นเพราะว่าไอ้เหตุการณ์ขี้หมูขี้หมาแบบนี้มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงๆของคนเรา มันอาจจะเป็นเพียงโมเมนต์เล็กๆที่ไม่ได้ส่งผลอันใดต่อเนื้อเรื่องหลักของเกมเลยก็จริง แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้โลกของ The Witcher 3 มี“มิติ”และมีความเป็น“มนุษย์”มากกว่าเกมแนว open world ส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัดในสายตาของผม

- ระบบเควสต์ในเกมนี้ก็ดีงามน่ากราบกรานมากๆ ต้องชมการเขียนบทของเกมนี้จริงๆ เรียกได้ว่าแทบทุกไซด์เควสต์ในเกมนี้มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตามและมีตัวละครที่น่าจดจำไม่แพ้เนื้อเรื่องหลักของเกมเลย(โดยเฉพาะเควสต์ Bloody Baron ที่เขียนเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) ส่วนการตัดสินใจของผู้เล่นในแต่ละเควสต์(ไม่ว่าจะเควสต์หลักหรือเควสต์รอง)ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติเอามากๆ พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึก mesmerized มากที่เกมๆหนึ่งมันจะมีคอนเทนต์ได้มากมายมหาศาลขนาดนี้

- ทำไปทำมาในเกมนี้ผมอยากได้ตัวละครที่น่าจะถือได้ว่าเป็นนางรองอย่างแม่มดหัวขาว (Keira Metz) มาเป็น Waifu มากกว่าสองนางเอกอย่างแม่มดหัวแดง (Triss) หรือหัวดำ (Yennefer) เสียอีกแหะ เสียดายจังที่ตามเนื้อเรื่อง Geralt เป็นได้แค่ Friends with Benefits กับนาง เพราะนางออกตัวชัดเจนว่าสเปกหนุ่มในฝันของนางต้องหัวดำเท่านั้น ฉะนั้นหัวหงอกแบบ Geralt หมดสิทธิ์(ส่วน Ciri นี่ก็น่ารักนะ เพียงแต่ว่านางดันเป็นลูกสาวบุญธรรมของ Geralt เนี่ยสิ...)

- อันนี้พูดจากมุมมองของคนที่ไม่เคยเล่น The Witcher ภาคก่อนๆมาก่อนนะ แต่ผมรู้สึกว่าระบบการต่อสู้ของ The Witcher 3 มันมีความลื่นไหลและท้าทายดีทีเดียว เป็นเกมเพลย์มุมมองบุคคลที่สามที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึง Assassin’s Creed หน่อยๆ กลยุทธ์ที่สำคัญเวลาตีมอนในเกมนี้ไม่ใช่การเดินหน้าฆ่ามัน การใช้ Potion มั่วซั่ว หรือการยิง Sign แบบไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพหรม เพราะถ้าทำแบบนั้นคือตายแน่นอน ตายสถานเดียว กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในเกมนี้คือการคอยสังเกตจังหวะการเคลื่อนไหวของศัตรู หลบให้เป็น โจมตีให้ถูกจังหวะ ใช้ Sign/Potion/ระเบิดให้ถูกประเภทกับศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ซึ่งใครที่เคยผ่านเกมในซีรี่ส์ Dark Souls มาก่อนก็คงจะรู้ซึ้งถึงจุดนี้กันดีว่าการพยายามจับแพทเทิร์นการเคลื่อนไหวของศัตรูให้ได้มันสำคัญแค่ไหน



ป.ล. ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ฝากเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ อมยิ้ม17 >>> https://www.facebook.com/appleoneoone
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่