ผมเข้าขั้นโรคจิตแล้วใช่ใหมครับ ... จิตใจเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่ได้เลย คิดไปในทางไม่ดีตลอด ... ไม่สบายใจเลย

ผมคิดว่าผมน่าจะ เป็นโรคจิตแล้วครับ

ผมเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไหว้พระ สวดมนต์ เดินผ่านพระ
ผมจะเหมือนมีสองจิตใจ
- ใจนึงให้ความเคารพ เข้าไปกราบ ไปไหว้ ทำบุญ
- ใจนึงขณะทำบุญ คิดเรื่องไม่ดี ทั้งลามก อุบาท ลบหลู่ คิดแบบตั้งคำถามกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (คำถามในเชิงดูหมิ่นท่าน)
บางครั้งสิ่งที่คิดในใจก็ไม่รุนแรง แต่ มันทำให้ผมรำคาญตัวเองมาก เช่น คิดเรื่องตลกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ เหมือนล้อท่าน

แต่แท้จริงแล้วภายในใจไม่อยากคิดอะไรไปในทางไม่ดีเลย ผมไม่เคยแสดงกิริยาหลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใหน แต่ในใจนี่คิดประจำ
บางครั้งกลายเป็น กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่กล้าเข้าไปไหว้ท่าน
ไม่ว่าจะเป็นพระ รูปเคารพต่าง ๆ เพราะกลัวจิตใจที่สับสนของตัวเอง จะไปลบหลู่ท่านและ เป็นการสร้างบาปต่อตนเอง
เวลาผมไปสอบสมัครราชการที่ใด ผมมักจะไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่นั้น ๆ ใจหนึ่งก็ไหว้ด้วยความเคารพ น้อบน้อม
ขอพรให้ท่านช่วยให้ได้งานตามที่หวัง
แต่อีกใจ ก็แวบไปแวบมา จะคิดในทางไม่ดีให้ได้ ... ทำให้ผมไม่มีสมาธิในการไหว้พระ หรือ ขอพร แล้วต้องมานั่งเครียดว่า เมื่อกี้เราทำอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า จิตใจเราคิดลบหลู่ท่านอีกแล้วหรือเปล่า ... สับสนเหมือนคนบ้า กลัวว่าการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แทนที่ผมจะได้บุญ กลับได้บาปติดตัว เพราะใจที่ไม่ สงบ ของผม

ตอนนี้ความฟุ้งซ่าน มันลามไปถึงบุคคลสำคัญของชาติ คิดไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่ผมเคารพสถาบันกษัตริย์มาก ...
แต่จิตมันชอบไปคิดฟุ้งซ่านกับท่าน ประมาณว่า ถ้าคนทั่วไปทำแบบนี้ แล้ว ท่านจะทำแบบนี้บ้างมั้ยนะ ...
(เรื่องอะไรผมไม่อยากอธิบาย มันเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างมาก) ... จนบางครั้งผมไม่กล้ามอง พระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน เพราะไม่อยากให้จิตใจด้านต่ำ ของผม ไปทำบาปต่อท่าน .... แต่ผมเคารพท่าน อยากไหว้ท่านทุกครั้งที่เห็นแม้แต่เพียง พระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน ผมก็ให้ความเคารพ


ผมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ทุกวัน ... สิ่งที่ผมหวังอันดับแรก ๆ เลยคือ ขอให้ผลบุญทำให้ผมมีใจที่ สงบ หยุดคิดฟุ้งซ่าน
ทำมานานแต่ก็ยัง ฟุ้งอยู่ ....
พยายามนั่งสมาธิ กำหนดจิตให้อยู่ใน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ ลมหายใจ ... แรก ๆ จะสงบ หลัง ๆ จะฟุ้ง ...
พอฟุ้งก็ดึงกลับมาในจุดที่ภาวนาทำซ้ำไปซ้ำมา ... ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ...


ผมควรทำอย่างไรให้จิตสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่สร้างบาปต่อสิ่งที่ควรเคารพ ... ????
มันเป็นบาปแบบใหนกันที่ติดตัวผมมา ถึงได้จิตใจฟุ้งซ่านขนาดนี้ ผมทำกรรมอะไรไว้ ?????
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
คุณ จขกท.  ลองอ่าน ความเห็นที่ 9 ของกระทู้นี้  --->http://ppantip.com/topic/33807114

-------------------------------------------------------------------------
  (ก๊อปปิ้มาให้ดู)

--อาการที่คุณเจ้าของกระทู้เจอ  เป็นอาการของ อภิสังขารมาร ซึ่งจะเกิดกับคนที่ปฏิบัติธรรมได้ดีระดับหนึ่งแล้ว  ..จิตมันก็จะปรุงแต่งไปในทิศทางที่เราไม่ต้องการ  ซึ่งมักจะปรุงแต่งต่อครูบาอาจารยน์ที่เราเคารพมากๆๆ  เคารพสุดๆๆๆ  อาจจะปรุงแต่งไปทางโทสะ หรือทางกามราคะแบบหยาบช้าลามก  เมื่อมันปรุงแต่งไปแบบที่เราไม่อาจจะควบคุมได้แบบนั้น  เราก็เกิดอาการกลัวบาปมากๆๆ  รู้สึกเป็นทุกข์ใจสุดๆๆ
       (อาการปรุงแต่งทางโทสะ ที่เกิดต่อครูบาอาจารย์ เช่น   เกิดคำด่าหยาบๆต่อครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนั้น , หรือเห็นเป็นภาพนิมิตลึกๆ  ที่เราไปทำร้ายครูบาอาจารย์   เช่น ไปเหยียบหัว  ไปทุบ ไปตี  ไปฆ่า ...ฯลฯ  , ถ้ามันปรุงแต่งไปทางกามราคะ  ก็จะยิ่งเกิดความรู้สึกละอายสุดๆๆ   เช่นเห็นภาพครุบาอาจารย์เป็นภาพเปลือย หรือมีกิริยาท่าทางทางเพศต่างๆนานา  หรือภาพกิริยาอาการแบบนั้นระหว่างเรากับครูบาอาจารย์ ..ฯลฯ)

       --เมื่อเกิดอภิสังขารมารแบบนี้ปรากฏขึ้นกับใคร  ผู้นั้นจะรู้สึกเป็นทุกข์มากๆ   กลัวตกนรกที่สุด   ทั้งกลัวทั้งทุกข์  ทุกข์ยิ่งกว่าโดนเผาในนรกซะอีก จนไม่รู้จะบอกใคร  เพราะจะเอ่ยปากบอกใครก็ไม่ได้  เนื่องจากเกิดความอายอย่างมาก  จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนอมทุกข์อยู่ในใจคนเดียว  หาที่ระบายไม่ได้

         .....อาการวิปลาสของจิตแบบที่ว่านั้น   เกิดขึ้นกับคนในวงการปฏิบัติมากมาย  แต่ไม่มีใครกล้าบอกใคร  และแก้ยากมากๆๆๆ  ยากที่สุด เพราะมันปรุงแต่งออกมาจากส่วนลึกในจิต  ลึกกว่าระดับความคิดมากมาย  ลึกๆๆๆลงไปหลายๆๆชั้น

         ....แต่ทางแก้ก็มี   ไม่ใช่ไม่มี ..แต่การจะแก้ปัญหานี้ได้ ต้องทุ่มเทความเพียรมากๆๆ  ต้องอดทน และใจสู้อย่างกล้าหาญเด็ดจาด จึงจะดำดิ่งลึกลงไปในใจตนเอง  และแก้มันได้ที่จุดเริ่มต้นปรุงแต่งของมัน ...

         วิธีแก้คือ

         ๑.  คุณต้องพยายามปรุงแต่งสวนมันกลับไปในทางตรงข้ามก่อน  สร้างพื้นฐานอันนี้ก่อน  เหมือนนักมวยแลกหมัด มันต่อยมาเราต่อยกลับไป  เช่น มันปรุงแต่งเป็นคำด่าครูบาอาจารย์ เราก็ปรุงแต่งเป็นคำขอโทษ ขอขมา สวนกลับไป ให้พอๆกัน ..หรือถ้ามันปรุงแต่ง เป็นภาพเรากำลังเอาไม้ทุบหัวครูบาอาจารย์ เราก็ปรุงแต่งเป็นภาพเรากำลังก้มกราบครุบาอาจารย์  หรือมันปรุงแต่งเป็นภาพลามกทางกามราคะกับครุบาอาจารย์ เราก็ปรุงแต่งเป็นภาพอสุภะ เป็นภาพซากศพ สวนทางมันกลับไป....แล้วแต่คุณจะคิดหาอุบายปรุงแต่งสู้กับมัน  เอาเถิดเอาล่อกับมันไปแบบแลกหมัดกับมันไปแบบนี้ไปก่อน ระยะหนึ่ง  อาจจะนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหรือหลายปี  จนค่อยๆชำนาญๆๆมากๆขึ้น  ทันกับมันมากขึ้น ...

         ๒. ฝึกสมาธิมากๆ  หาทางบังคับจิตให้ได้  บังคับให้เกาะนิ่งที่จุดเดียว  เช่น ท่องบริกรรม พุทโธๆๆๆ  จนจิตนิ่งแน่วกับคำบริกรรม รสมวูบลงไป ...
         ๓. ฝึกพิจารณาแยกแยะอวัยวะชิ้นส่วนต่างๆของร่างกายตามหลัก กายคตาสติ ๓๒  เช่น แยกเป็น  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  ตับ  ไต ..ฯ ต่างๆนานา เหล่านั้น   ฝึกมากๆๆ....

         ๔.  หาทางไล่ย้อนทวนสวนกลับการปรุงแต่ง ว่ามันพุ่งออกมาจากไหน  มีขั้นตอนออกมายังไง    เปรียบเช่น เราเห็นดอกบัวลอยบนผิวน้ำ  เราจับดอกบัวนั่น แล้วจับไล่ก้านมันดำลึกๆๆลงไป  จนถึงรากของมันที่อยู่ในโคลน  เมื่อถึงรากของมันที่โคลนนั่น ทุกๆอย่างก็ง่าย  ถอนรากมันออกมาตอนนั้นเลย  ...ทำนองเดียวกัน เมือ่ใดเราไล่ย้อนสวนทางการปรุงแต่งของอภิสังขารมารนั่น ไล่ลึกๆๆดำดิ่งลงไปในใจเรา  วันใดวันหนึ่งก็จะถึงรากของมันที่ศูนย์กลางใจของเรา เมื่อนั้น  รากของมันจะหลุดออกมาเองอัตโนมัติ  ..การปรุงแต่งที่เราเป็นทุกข์มากๆนั้น ก็จะหายไปทันที วันนั้นเอง ...และสิ่งสำคัญคือ จะได้เห็นธรรมะอีกมากมายมหาศาลบานเบอะ   เห็นทุกๆอย่างเป็นธรรมไปหมด  ฟังธรรมหรืออ่านหนังสือธรรมะทุกๆอย่าง ก็จะเข้าใจหมดทันที ...  และสิ่งสำคัญสุดๆคือ  ความทุกข์ใจนั้นก็จะหมดไป เหมือนคนหายโรค  มีแต่ความสุขสบาย

              กุญแจสำคัญคือ  พยายามมากๆๆอดทนมากๆๆ  สู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก ในการฝึกสมาธิและพิจารณาแยกแยะด้านปัญญา  ตามที่บอกข้างบนนั้น...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่