สัตว์ต้องเวียนว่ายเพราะไม่เห็นอริยสัจ

กระทู้สนทนา
วันนี้ นำพระสูตรสั้นๆ มาฝากกันครับ
   ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลต่อกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง
-------------------------------------------------------------------------
      ภิกษุ ท. !       เปรียบเหมือนท่อนไม้อันบุคคลซัดขึ้นไปสู่อากาศ  บาง
คราวตกเอาโคนลง  บางคราวตกเอาตอนกลางลง  บางคราวตกเอาปลายลง,
ข้อนี้ฉันใด ;     
       ภิกษุ ท. !   สัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
แล่นไปอยู่ท่องเที่ยวไปอยู่ในสังสารวัฏ ก็ทำนองเดียวกัน บางคราวแล่นไปจาก
โลกนี้สู่โลกอื่น      บางคราวแล่นจากโลกอื่นสู่โลกนี้.    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
        ภิกษุ ท. !      ข้อนั้น  เพราะความที่เขาเป็นผู้ไม่เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่.    อริยสัจสี่
อย่างไรเล่า ?      สี่อย่างคือ     อริยสัจคือทุกข์     อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์        อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่
                       เหลือแห่งทุกข์.
            ภิกษุ ท. !       เพราะเหตุนั้น  ในเรื่องนี้  เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน
เป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า “ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์  เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,  ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่ง
                 ทุกข์ เป็นอย่างนี้.” ดังนี้.


                  - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๐/๑๗๑๖.
---------------------------------------------------------------
เมื่อยังไม่รู้อริยสัจ  ก็ไม่สามารถลงหลักแห่งความรู้ของตน
---------------------------------------------------------------

                ภิกษุ ท. !          สมณพราหมณ์บางพวก      ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า       “นี้
คือทุกข์,   นี้   คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์,   นี้   คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,    นี้
คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”    ดังนี้ ;     เขาย่อมมองสีหน้าของ
สมณพราหมณ์อื่น   เพื่อให้รู้ว่า   “ท่านผู้เจริญนี้   เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ,  เมื่อเห็นก็เห็น
จริงหรือ”    ดังนี้.   
              เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย    เป็นของเบา   ลมพาไปได้,
เมื่อวางอยู่บนพื้นที่อันเสมอ ลมทิศตะวันออกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันตก,  ลม
ทิศตะวันตกก็พัดพามันไปทางทิศตะวันออก,     ลมทิศเหนือก็พัดพามันไปทิศใต้,
ลมทิศใต้ก็พัดพามันไปทางทิศเหนือ.   ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?     ภิกษุ ท. !     เพราะ
ปุยฝ้ายนั้นเป็นของเบา ;   
                ภิกษุ ท. !     ฉันใดก็ฉันนั้น   ที่สมณพราหมณ์บางพวก
ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า  “นี้  คือทุกข์,  นี้   คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้ คือความ
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์,  นี้   คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”  ดังนี้ ;
เขาย่อม  มองสีหน้าของสมณพราหมณ์อื่น  เพื่อให้รู้ว่า  “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้
จริงหรือ,    เมื่อเห็นก็เห็นจริงหรือ”   ดังนี้.    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?     ภิกษุ ท. !
   ข้อนั้น เพราะความที่เขาเป็นผู้ไม่เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่.

             ภิกษุ ท. !        ส่วนสมณพราหมณ์บางพวก   รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  “นี้
คือทุกข์, นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้คือ
ทางดำเนินให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้ ; เขาย่อมไม่มองสีหน้าของ
สมณพราหมณ์อื่น เพื่อให้รู้ว่า “ท่านผู้เจริญนี้ เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ, เมื่อเห็นก็เห็น
จริงหรือ” ดังนี้.   
            เปรียบเหมือนเสาเหล็กหรือเสาอินทขีล  มีรากลึก   เขาฝังไว้
ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว  ไม่สั่นคลอน,  แม้พายุฝนอย่างแรงพัดมาจากทิศตะวันออก....
จากทิศตะวันตก ...  จากทิศเหนือ ... จากทิศใต้,    ก็ไม่สั่นคลอน   ไม่สั่นสะเทือน
ไม่หวั่นไหว.     เพราะเหตุไรเล่า ?     เพราะมีรากลึก     เพราะฝังไว้ดี,     นี้ฉันใด ;
            ภิกษุ ท. !        ข้อนี้ก็ฉันนั้น    ที่สมณพราหมณ์บางพวก   รู้ชัดตามเป็นจริงว่า   “นี้
คือทุกข์,    นี้คือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์,   นี้คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,    นี้คือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”   ดังนี้ ;  เขาย่อม  ไม่มองสีหน้าของ
สมณพราหมณ์อื่น  เพื่อให้รู้ว่า  “ท่านผู้เจริญนี้  เมื่อรู้ก็รู้จริงหรือ,  เมื่อเห็นก็เห็น
จริงหรือ”   ดังนี้.   ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า  ?    ภิกษุ ท. !      ข้อนั้น  เพราะความที่
เขาเป็นผู้เห็นซึ่งอริยสัจทั้งสี่ด้วยดีแล้ว.    อริยสัจสี่    อย่างไรเล่า ?    สี่อย่างคือ
อริยสัจคือทุกข์    อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์   อริยสัจคือความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์  อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

                ภิกษุ ท. !         เพราะเหตุนั้น      ในเรื่องนี้     เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน
เป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า  “ทุกข์เป็นอย่างนี้,  เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์   เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์    เป็นอย่างนี้,   ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่ง
                 ทุกข์ เป็นอย่างนี้” ดังนี้.

               - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๔/๑๗๒๒-๑๗๒๓.
---------------------------------------
สัตว์จำพวกวินิบาตกับการเห็นจตุราริยสัจ
--------------------------------------

              ภิกษุ ท. !       เปรียบเหมือนบุรุษทิ้งแอก       (ไม้ไผ่ ?)        ซึ่งมีรูอยู่เพียง
รูเดียว    ลงไปในมหาสมุทร.    ในมหาสมุทรนั้น    มีเต่าตาบอดตัวหนึ่ง   ล่วงไป
ร้อยปี ๆ  จะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ.   ภิกษุ ท. !    เธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร :
จะเป็นไปได้ไหม    ที่เต่าตาบอดตัวนั้น   ล่วงไปร้อยปี ๆ   จึงผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ
จะพึงยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น ?
              “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   ข้อนั้นจะเป็นไปได้บ้าง    ก็ต่อเมื่อล่วงกาลนานยาว
                         ในบางคราว”.
               ภิกษุ ท. !        ข้อที่  เต่าตาบอด  ตัวนั้น  ต่อ ล่วงไปร้อยปี ๆ จึงผุดขึ้นมา
สักครั้งหนึ่ง ๆ   จะพึง   ยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น   ยังจะ
เร็วเสียกว่าการที่คนพาลซึ่งเข้าถึงการเกิดเป็นวินิบาตแล้ว    จักได้ความเป็น
มนุษย์สักครั้งหนึ่ง.  ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรเล่า ?  
             ภิกษุ ท. !   ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
ในหมู่สัตว์จำพวกวินิบาตนั้น  ไม่มีธัมมจริยา  ไม่มีสมจริยา  ไม่มีกุสลกิริยา  ไม่มี
บุญญกิริยา,   มีแต่การเคี้ยวกินซึ่งกันและกัน.   ภิกษุ ท. !   การที่ สัตว์มีกำลังมาก
กว่าเคี้ยวกินสัตว์ที่มีกำลังน้อยกว่า    ย่อม    เป็นไป     เป็นธรรมดา   ในหมู่สัตว์
จำพวกวินิบาตนั้น.    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?     
              ภิกษุ ท. !   ข้อนั้น เพราะความที่ไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.     อริยสัจสี่     อย่างไรเล่า ?   
สี่อย่างคือ    อริยสัจคือทุกข์อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์   อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
      อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

                 ภิกษุ ท. !   เพราะเหตุนั้น  ในเรื่องนี้  เธอพึงประกอบโยคกรรมอัน
เป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า  “ทุกข์  เป็นอย่างนี้,  เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่ง
                 ทุกข์ เป็นอย่างนี้” ดังนี้.

                  - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๓.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่