ขอแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกกดดันมากถึงมากที่สุด.....
ต้องยอมรับว่าผมเครียดมากถึงมากที่สุดนะครับ เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ธนาคารกอไก่ pre-approved ว่าผ่านแล้วจากการขอสินเชื่อซื้อบ้านจำนวน 3 ล้าน 4 แสนบาท และหลังจากนั้นธนาคารกอไก่ส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินหลักทรัพย์ พร้อมบอกให้ผมรอผลการอนุมัติจริงหลังจากนี้ ผมก็มีความเข้าใจเหมือนท่านๆ ว่า เมื่อ pre-approved ผ่านแล้ว เวลากู้จริงก็ต้องผ่านสิ.......???ผมก็รอ รอ... พออีกวันมีโทรศัพท์จากธนาคารขอไข่ที่ผมยื่นพร้อมๆกันกับธนาคารกอไก่ (ผมยื่นpre-approved ไว้ 2 ธนาคารครับ) โทรมาแจ้งว่า ผล Pre-approve ของผมไม่ผ่าน เพราะผมมีรายได้ไม่พอ และขอแสดงความเสียใจ และขอให้เราใช้บริการอีกหากจะซื้อบ้านในราคาอื่น(ที่ถูกกว่านี้) ...และยิ่งผมมาหาข้อมูลใน ppantip.com ทำให้ผมยิ่งเครียดมากขึ้นเพราะมันเกิดกรณีที่สุดท้ายไม่อนุมัติแม้จะผ่านการpre-approved มาเบื้องต้นแล้วก็ตาม...และนี่ทำให้ผมเครียดมากถึงมากที่สุด ....และทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ผมมีรายได้เพียงพอที่จะซื้อบ้านราคาเท่านี้หรือยัง ?"
ผมมีรายได้จากอาชีพอิสระ กำไรเดือนละ 1 แสนกว่าบาท (เปิดกิจการร้านขายของมา 5 ปี)และ มีรายได้จากอาชีพทำประจำเดือนละ 38,721 บาท จากการประกอบวิชาชีพเดือนละ 6,000 บาท ...และสิ่งที่ผมกังวลคือ
1. ผมยังต้องผ่อนบ้าน 1หลังโดยที่ยังมียอดค้างชำระอีก 1 ล้าน 4 แสนกว่า ๆ ส่งงวดละ 24000 บาท( ระยะผ่อน 10 ปี ... เพราะตอนนั้นใจร้อน ไม่ค่อยมีรายจ่ายอื่นๆ อยากผ่อนให้หมดไวๆ)
2. ผมยังต้องผ่อนรถยนต์ 1 คัน เหลืออีก 4 แสนกว่าๆ ส่งเดือนละ 15000 บาท
3. ผ่อนบัตรเครดิตอีกนับสิบใบ เช่น ผ่อนแอร์ ผ่อนโทรศัพท์ ผ่อนไอแพด ผ่อนยางบีควิก ฯลฯ และะผมใช้บริการหักผ่านบัตร เช่น ค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์ เป็นต้น (หนี้ต่อเดือนเยอะไปหน่อย แต่ต่อไปผมจะรอบคอบและระมัดระวังเรื่องการใช้เงินกว่านี้)
4. รูดค่าน้ำมัน ค่าจิปาถะฯลฯ
......ที่สำคัญผมขอกู้สินเชื่อซื้อบ้านจำนวน 3 ล้าน 4 แสนบาท.....แล้วธนาคารจะให้ไหมครับ เพราะภาระเยอะจริงๆ .... ตอนยื่นเอกสารที่ธนาคารเจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า ถ้ากู้ผ่านแล้วผมจะต้องผ่อนเดือนละ 19,900 บาท .....ซึ่งบ้านเก่าก็ยังผ่อน อยู่1หลัง แล้วนี่ผมยังคิดจะผ่อนบ้านใหม่อีก.....บ้าไปแล้วววววว ....เครียดดดดมากครับ
........ผมทำสัญญาจะซื้อจะขายไป และวางมัดจำไป 1 แสนบาท ....กลัวมากๆว่า ถ้าธนาคารเค้าไม่อนุมัติ และผมรู้จักกับผู้ขายเป็นการส่วนตัว ยิ่งทำให้เครียดว่าจะบอกผู้ขายอย่างไร และเค้าจะคืนมัดจำเราไหม๊.....เครียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ
....แต่สิ่งที่ผมทำให้ธนาคารเห็นก่อนว่า ผมมีกำลังพอจะส่งได้คือ....(เอกสารที่ผมแนบ)
1. ผมชำระเงินบัตรเครดิตเต็มทุกงวด แม้บางงวดผมจะลืมจ่าย แต่ถ้าธนาคารโทรมาปุ๊บ ผมจะรีบไปจ่ายทันที(ไม่บ่อยนะครับ)
2. ผมต้องเอาเงินที่ขายของได้ในแต่ละวัน ไปเข้าบัญชี แม้ว่ามันจะเป็นภาระ แต่ก็เป็นหลักประกันให้ธนาคารเห็นว่า เรามีวินัยในการหาและการใช้เงินแบบนี้
3. ผมต้องทำบัญชีเงินออมให้ธนาคารเห็นว่า เรามีวินัยในการออม ซึ่งส่วนตัวผมว่า ต้องออมให้มีเงินในบัญชีอย่างน้อยสัก 5-7 แสน เป็นลักษณะทยอยฝากทุกเดือนนะครับ ตอนยื่นหลักฐาน ผมแจ้งว่า บัญชีนี้คือบัญชีที่ไว้สำหรับออม ไม่เคยถอน ดูได้เลย
4. ตอนยื่น ผมมีสมุดบัญชีหลายอัน เช่น SCB เป็นบัญชีจ่ายเงินค่าสาธาณูปโภค, บัญชี กรุงเทพ เอาไว้ใช้จ่ายกินข้าว , บัญชีกสิกร เอาไว้จ่าย บลาๆ เป็นต้น
...........สิ่งที่ผมกลัว....สุดท้ายมาถึงวันนี้ ธนาคารแจ้งผลมาว่า "ผ่านอนุมัติขั้นสุดท้าย นัดวันทำสัญญาและนัดวันจดจำนอง" ผมรู้สึกว่า ความอึดอัด ความกลัว ความกังวลใจได้หายไปหมดครับ เหลือเพียงแต่ความคิดต่อไปว่า จะจัดสรรเงินให้เพียงพอหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างไร.... ขอแชร์ประสบการณ์นะครับ เพราะแต่ละคนมีวิถีชีวิต อาชีพการงาน อื่นๆ ที่ไม่เหมือนกัน ผมเอาใจช่วย ทุกๆ ท่านครับ
Pre-approved แล้ว ไม่อนุมัติ ?
ต้องยอมรับว่าผมเครียดมากถึงมากที่สุดนะครับ เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ธนาคารกอไก่ pre-approved ว่าผ่านแล้วจากการขอสินเชื่อซื้อบ้านจำนวน 3 ล้าน 4 แสนบาท และหลังจากนั้นธนาคารกอไก่ส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินหลักทรัพย์ พร้อมบอกให้ผมรอผลการอนุมัติจริงหลังจากนี้ ผมก็มีความเข้าใจเหมือนท่านๆ ว่า เมื่อ pre-approved ผ่านแล้ว เวลากู้จริงก็ต้องผ่านสิ.......???ผมก็รอ รอ... พออีกวันมีโทรศัพท์จากธนาคารขอไข่ที่ผมยื่นพร้อมๆกันกับธนาคารกอไก่ (ผมยื่นpre-approved ไว้ 2 ธนาคารครับ) โทรมาแจ้งว่า ผล Pre-approve ของผมไม่ผ่าน เพราะผมมีรายได้ไม่พอ และขอแสดงความเสียใจ และขอให้เราใช้บริการอีกหากจะซื้อบ้านในราคาอื่น(ที่ถูกกว่านี้) ...และยิ่งผมมาหาข้อมูลใน ppantip.com ทำให้ผมยิ่งเครียดมากขึ้นเพราะมันเกิดกรณีที่สุดท้ายไม่อนุมัติแม้จะผ่านการpre-approved มาเบื้องต้นแล้วก็ตาม...และนี่ทำให้ผมเครียดมากถึงมากที่สุด ....และทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ผมมีรายได้เพียงพอที่จะซื้อบ้านราคาเท่านี้หรือยัง ?"
ผมมีรายได้จากอาชีพอิสระ กำไรเดือนละ 1 แสนกว่าบาท (เปิดกิจการร้านขายของมา 5 ปี)และ มีรายได้จากอาชีพทำประจำเดือนละ 38,721 บาท จากการประกอบวิชาชีพเดือนละ 6,000 บาท ...และสิ่งที่ผมกังวลคือ
1. ผมยังต้องผ่อนบ้าน 1หลังโดยที่ยังมียอดค้างชำระอีก 1 ล้าน 4 แสนกว่า ๆ ส่งงวดละ 24000 บาท( ระยะผ่อน 10 ปี ... เพราะตอนนั้นใจร้อน ไม่ค่อยมีรายจ่ายอื่นๆ อยากผ่อนให้หมดไวๆ)
2. ผมยังต้องผ่อนรถยนต์ 1 คัน เหลืออีก 4 แสนกว่าๆ ส่งเดือนละ 15000 บาท
3. ผ่อนบัตรเครดิตอีกนับสิบใบ เช่น ผ่อนแอร์ ผ่อนโทรศัพท์ ผ่อนไอแพด ผ่อนยางบีควิก ฯลฯ และะผมใช้บริการหักผ่านบัตร เช่น ค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์ เป็นต้น (หนี้ต่อเดือนเยอะไปหน่อย แต่ต่อไปผมจะรอบคอบและระมัดระวังเรื่องการใช้เงินกว่านี้)
4. รูดค่าน้ำมัน ค่าจิปาถะฯลฯ
......ที่สำคัญผมขอกู้สินเชื่อซื้อบ้านจำนวน 3 ล้าน 4 แสนบาท.....แล้วธนาคารจะให้ไหมครับ เพราะภาระเยอะจริงๆ .... ตอนยื่นเอกสารที่ธนาคารเจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า ถ้ากู้ผ่านแล้วผมจะต้องผ่อนเดือนละ 19,900 บาท .....ซึ่งบ้านเก่าก็ยังผ่อน อยู่1หลัง แล้วนี่ผมยังคิดจะผ่อนบ้านใหม่อีก.....บ้าไปแล้วววววว ....เครียดดดดมากครับ
........ผมทำสัญญาจะซื้อจะขายไป และวางมัดจำไป 1 แสนบาท ....กลัวมากๆว่า ถ้าธนาคารเค้าไม่อนุมัติ และผมรู้จักกับผู้ขายเป็นการส่วนตัว ยิ่งทำให้เครียดว่าจะบอกผู้ขายอย่างไร และเค้าจะคืนมัดจำเราไหม๊.....เครียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ
....แต่สิ่งที่ผมทำให้ธนาคารเห็นก่อนว่า ผมมีกำลังพอจะส่งได้คือ....(เอกสารที่ผมแนบ)
1. ผมชำระเงินบัตรเครดิตเต็มทุกงวด แม้บางงวดผมจะลืมจ่าย แต่ถ้าธนาคารโทรมาปุ๊บ ผมจะรีบไปจ่ายทันที(ไม่บ่อยนะครับ)
2. ผมต้องเอาเงินที่ขายของได้ในแต่ละวัน ไปเข้าบัญชี แม้ว่ามันจะเป็นภาระ แต่ก็เป็นหลักประกันให้ธนาคารเห็นว่า เรามีวินัยในการหาและการใช้เงินแบบนี้
3. ผมต้องทำบัญชีเงินออมให้ธนาคารเห็นว่า เรามีวินัยในการออม ซึ่งส่วนตัวผมว่า ต้องออมให้มีเงินในบัญชีอย่างน้อยสัก 5-7 แสน เป็นลักษณะทยอยฝากทุกเดือนนะครับ ตอนยื่นหลักฐาน ผมแจ้งว่า บัญชีนี้คือบัญชีที่ไว้สำหรับออม ไม่เคยถอน ดูได้เลย
4. ตอนยื่น ผมมีสมุดบัญชีหลายอัน เช่น SCB เป็นบัญชีจ่ายเงินค่าสาธาณูปโภค, บัญชี กรุงเทพ เอาไว้ใช้จ่ายกินข้าว , บัญชีกสิกร เอาไว้จ่าย บลาๆ เป็นต้น
...........สิ่งที่ผมกลัว....สุดท้ายมาถึงวันนี้ ธนาคารแจ้งผลมาว่า "ผ่านอนุมัติขั้นสุดท้าย นัดวันทำสัญญาและนัดวันจดจำนอง" ผมรู้สึกว่า ความอึดอัด ความกลัว ความกังวลใจได้หายไปหมดครับ เหลือเพียงแต่ความคิดต่อไปว่า จะจัดสรรเงินให้เพียงพอหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างไร.... ขอแชร์ประสบการณ์นะครับ เพราะแต่ละคนมีวิถีชีวิต อาชีพการงาน อื่นๆ ที่ไม่เหมือนกัน ผมเอาใจช่วย ทุกๆ ท่านครับ