ขอบคุณ
POSTED BY PUMA web komkid
ON ส.ค. - 8 - 2012WITH 1 COMMENT SO FAR
จากจุดเริ่มต้นของศรัทธาและความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่สุดท้ายกลายเป็นมหาสงครามที่ต่อเนื่องยาวนานนับศตวรรษระหว่างคริสเตียนและมุสลิม ในแผ่นดินที่ถูกเรียกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
(นครเยรูซาเล็ม)
ในยุคกลาง ชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์อันเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ชาวมุสลิมก็ถือว่า เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นกัน
ความที่เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้มีชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังนครแห่งนี้ และแม้ว่าในศตวรรษที่ 7 ชาวมุสลิมจะเข้ามายึดครองนครเยรูซาเล็มรวมทั้งดินแดนแถบนี้เอาไว้ แต่ชาวคริสต์ก็ยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนแห่งนี้ได้ ทว่าเมื่อชาวเซลจุคเติร์กซึ่งเป็นมุสลิมอีกพวกหนึ่งได้เข้าครอบครองปาเลสไตน์ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์ที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญก็ถูกคุกคามอย่างรุนแรงจากผู้ปกครองใหม่ของดินแดนแห่งนี้
(นักรบเซลจุคเติร์ก)
ในปี ค.ศ. 1095 การขยายอำนาจของชาวเซลจุกเติร์กทำให้จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังมาเยือนอาณาจักรของพระองค์ ทว่ากำลังทหารของไบแซนไทน์ก็ไม่เข้มแข็งพอจะทำศึกกับชาวเติร์กได้ ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิอเล็กซิอุสทรงทราบข่าวที่ชาวเติร์กคุกคามบรรดาผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ก็ได้ส่งข่าวนี้ไปยังกรุงโรมทันที
เมื่อพระสันตปะปาเออร์บันที่สองแห่งกรุงโรมทรงทราบเรื่อง ก็ทรงเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะที่คริสตจักรจะขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ พระองค์จึงทรงมีประกาศเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทั้งมวลในยุโรปรวมพลังกันทำสงครามเพื่อชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นของ มหาสงครามครูเสด โดยคำว่า ครูเสด (Crusade) หมายถึง ไม้กางเขน ซึ่งถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเหล่านักรบชาวคริสต์จากยุโรปที่เข้าร่วมในมหาสงครามครั้งนี้ ทั้งนี้สงครามครูเสดนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะสงครามระหว่างชาวคริสต์กับมุสลิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายและสงครามระหว่างชาวคริสต์กับพวกที่นับถือศาสนาอื่นๆอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สงครามครูเสดที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือ สงครามเพื่อแย่งชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ประกาศเรียกร้องของพระสันตปะปาส่งผลให้เกิดกระแสขานรับจากมหาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การที่องค์สันตปะปาได้ออกประกาศว่า ผู้ที่ไปร่วมรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะได้รับมอบสิทธิพิเศษในการพ้นจากผิดบาปทั้งมวล ทำให้ชาวคริสต์มากมายสนใจเข้าร่วมเป็นนักรบครูเสด เนื่องจากเชื่อกันว่า หากตนรอดกลับมาจากสงครามครั้งนี้ก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขและไร้ซึ่งผิดบาปทั้งปวง หรือหากว่าโชคร้ายต้องตายในสงคราม วิญญาณของพวกเขาก็จะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ อีกทั้งในเวลานั้น ยังมีข่าวลือแพร่ไปทั่วยุโรปว่า ดินแดนของชาวมุสลิมมีทรัพย์สมบัติมากมายอีกด้วย ซึ่งยิ่งกระตุ้นความสนใจของผู้คนทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น
ทั้งแรงศรัทธารวมกับความปรารถนาในความมั่งคั่ง ได้ทำให้ทั้งขุนนางและประชาชนพากันหลั่งไหลมาเข้าร่วมทัพเพื่อเตรียมยกพลไปทำสงครามกับชาวเติร์ก โดยนักประวัติศาสตร์ได้เรียก สงครามครูเสดครั้งนี้ว่า สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง ซึ่งถือกันว่าเป็นสงครามครูเสดครั้งที่สำคัญที่สุด
(ปีเตอร์ จ้าวนักนักพรต นำทัพครูเสด)
ในสงครามครั้งนี้ ได้มีประชาชนจำนวนมากรวมกำลังกันภายใต้การนำของผู้นำที่มีชื่อว่า ปีเตอร์ จ้าวนักพรต (Peter the Hermit) และ วอลเตอร์ ผู้ยากไร้ (Walter the penniless) โดยทัพประชาชนนี้มีกำลังรบมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ซึ่งกองทัพประชาชนได้เคลื่อนพลเป็นทัพหน้าออกไปก่อนเหล่าขุนนางที่ยังคงจัดทัพไม่เสร็จ ทว่าชาวบ้านเหล่านี้ มีเพียงศรัทธาแต่ขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธที่ดีรวมทั้งไม่มียุทธวิธีในการรบ อีกทั้งยังขาดความรู้เกี่ยวกับดินแดนที่พวกตนจะเดินทางไปอีกด้วย ทำให้เมื่อเคลื่อนทัพเข้าเขตเอเชียไมเนอร์และได้เผชิญหน้ากับกองทัพเซลจุคเติร์กแล้ว กองทัพประชาชนก็ถูกพวกเติร์กสังหารหมู่จนเกือบสิ้นทัพ
(ทัพครูเสดของเหล่าขุนนาง)
ในเวลาต่อมา เมื่อกองทัพใหญ่ของเหล่าขุนนางซึ่งมีทหารจำนวนห้าหมื่นนายภายใต้การนำของสามแม่ทัพ อันได้แก่ โรเบิร์ต เคอโทส ดยุคแห่งนอมังดี โอรสของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งอังกฤษ, กอดฟรีย์แห่งบูวียอง และบอลวินด์แห่งเอเดสสา เคลื่อนพลมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ได้เข้าโจมตีกองทัพเติร์กจนแตกพ่ายก่อนจะเข้ายึดนครนิคาเอียและแอนติออค จากนั้นจึงเคลื่อนทัพไปถึงนครเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 1099
(ทัพครูเสดตีเมืองแอนติออค)
อิฟติคาร แม่ทัพชาวอียิปต์ที่รักษานครเยรูซาเล็มได้นำทหารเซลจุคเติร์กต่อสู้กับพวกครูเสด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในที่สุด พวกครูเสดก็สามารถทลายกำแพงนครเยรูซาเล็มและบุกเข้าเมืองได้สำเร็จ แม่ทัพอิฟติคารยอมจำนนต่อทัพครูเสดและถูกปล่อยตัวออกจากเมือง ทั้งนี้หลังจากทัพครูเสดบุกเข้านครเยรูซาเล็มได้แล้ว ก็ได้ปล้นสะดมภ์และสังหารหมู่ชาวเมืองทั้งผู้ใหญ่และเด็ก นับแสนคน
(ทัพครูเสดยึดเยรูซาเล็ม)
หลังจากยึดนครเยรูซาเล็มได้แล้ว กอดฟรีย์แห่งบูวียองได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม แต่ก็ครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปีก็สิ้นพระชนม์โดยไร้รัชทายาท ทำให้บอลวินด์แห่งเอเดสสาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่สองแห่งอาณาจักรเยรูซาเล็มและขยายอาณาเขตเข้าครอบครองดินแดนเกือบตลอดแนวชายฝั่งจากนครเยรูซาเล็มขึ้นไปจนถึพรมแดนอาร์เมเนีย
จบสงคราม ครั้งที่1 มีต่อ
ขโมย portable.charge เขามา อิๆ
Crusade war สงครามครูเสดแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (หลบสงครามมาม่าและการเมือง)
POSTED BY PUMA web komkid
ON ส.ค. - 8 - 2012WITH 1 COMMENT SO FAR
จากจุดเริ่มต้นของศรัทธาและความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่สุดท้ายกลายเป็นมหาสงครามที่ต่อเนื่องยาวนานนับศตวรรษระหว่างคริสเตียนและมุสลิม ในแผ่นดินที่ถูกเรียกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
(นครเยรูซาเล็ม)
ในยุคกลาง ชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์อันเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ชาวมุสลิมก็ถือว่า เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นกัน
ความที่เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้มีชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังนครแห่งนี้ และแม้ว่าในศตวรรษที่ 7 ชาวมุสลิมจะเข้ามายึดครองนครเยรูซาเล็มรวมทั้งดินแดนแถบนี้เอาไว้ แต่ชาวคริสต์ก็ยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนแห่งนี้ได้ ทว่าเมื่อชาวเซลจุคเติร์กซึ่งเป็นมุสลิมอีกพวกหนึ่งได้เข้าครอบครองปาเลสไตน์ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์ที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญก็ถูกคุกคามอย่างรุนแรงจากผู้ปกครองใหม่ของดินแดนแห่งนี้
(นักรบเซลจุคเติร์ก)
ในปี ค.ศ. 1095 การขยายอำนาจของชาวเซลจุกเติร์กทำให้จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังมาเยือนอาณาจักรของพระองค์ ทว่ากำลังทหารของไบแซนไทน์ก็ไม่เข้มแข็งพอจะทำศึกกับชาวเติร์กได้ ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิอเล็กซิอุสทรงทราบข่าวที่ชาวเติร์กคุกคามบรรดาผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ก็ได้ส่งข่าวนี้ไปยังกรุงโรมทันที
เมื่อพระสันตปะปาเออร์บันที่สองแห่งกรุงโรมทรงทราบเรื่อง ก็ทรงเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะที่คริสตจักรจะขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ พระองค์จึงทรงมีประกาศเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทั้งมวลในยุโรปรวมพลังกันทำสงครามเพื่อชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นของ มหาสงครามครูเสด โดยคำว่า ครูเสด (Crusade) หมายถึง ไม้กางเขน ซึ่งถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเหล่านักรบชาวคริสต์จากยุโรปที่เข้าร่วมในมหาสงครามครั้งนี้ ทั้งนี้สงครามครูเสดนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะสงครามระหว่างชาวคริสต์กับมุสลิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายและสงครามระหว่างชาวคริสต์กับพวกที่นับถือศาสนาอื่นๆอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สงครามครูเสดที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือ สงครามเพื่อแย่งชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ประกาศเรียกร้องของพระสันตปะปาส่งผลให้เกิดกระแสขานรับจากมหาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การที่องค์สันตปะปาได้ออกประกาศว่า ผู้ที่ไปร่วมรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะได้รับมอบสิทธิพิเศษในการพ้นจากผิดบาปทั้งมวล ทำให้ชาวคริสต์มากมายสนใจเข้าร่วมเป็นนักรบครูเสด เนื่องจากเชื่อกันว่า หากตนรอดกลับมาจากสงครามครั้งนี้ก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขและไร้ซึ่งผิดบาปทั้งปวง หรือหากว่าโชคร้ายต้องตายในสงคราม วิญญาณของพวกเขาก็จะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ อีกทั้งในเวลานั้น ยังมีข่าวลือแพร่ไปทั่วยุโรปว่า ดินแดนของชาวมุสลิมมีทรัพย์สมบัติมากมายอีกด้วย ซึ่งยิ่งกระตุ้นความสนใจของผู้คนทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น
ทั้งแรงศรัทธารวมกับความปรารถนาในความมั่งคั่ง ได้ทำให้ทั้งขุนนางและประชาชนพากันหลั่งไหลมาเข้าร่วมทัพเพื่อเตรียมยกพลไปทำสงครามกับชาวเติร์ก โดยนักประวัติศาสตร์ได้เรียก สงครามครูเสดครั้งนี้ว่า สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง ซึ่งถือกันว่าเป็นสงครามครูเสดครั้งที่สำคัญที่สุด
(ปีเตอร์ จ้าวนักนักพรต นำทัพครูเสด)
ในสงครามครั้งนี้ ได้มีประชาชนจำนวนมากรวมกำลังกันภายใต้การนำของผู้นำที่มีชื่อว่า ปีเตอร์ จ้าวนักพรต (Peter the Hermit) และ วอลเตอร์ ผู้ยากไร้ (Walter the penniless) โดยทัพประชาชนนี้มีกำลังรบมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ซึ่งกองทัพประชาชนได้เคลื่อนพลเป็นทัพหน้าออกไปก่อนเหล่าขุนนางที่ยังคงจัดทัพไม่เสร็จ ทว่าชาวบ้านเหล่านี้ มีเพียงศรัทธาแต่ขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธที่ดีรวมทั้งไม่มียุทธวิธีในการรบ อีกทั้งยังขาดความรู้เกี่ยวกับดินแดนที่พวกตนจะเดินทางไปอีกด้วย ทำให้เมื่อเคลื่อนทัพเข้าเขตเอเชียไมเนอร์และได้เผชิญหน้ากับกองทัพเซลจุคเติร์กแล้ว กองทัพประชาชนก็ถูกพวกเติร์กสังหารหมู่จนเกือบสิ้นทัพ
(ทัพครูเสดของเหล่าขุนนาง)
ในเวลาต่อมา เมื่อกองทัพใหญ่ของเหล่าขุนนางซึ่งมีทหารจำนวนห้าหมื่นนายภายใต้การนำของสามแม่ทัพ อันได้แก่ โรเบิร์ต เคอโทส ดยุคแห่งนอมังดี โอรสของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งอังกฤษ, กอดฟรีย์แห่งบูวียอง และบอลวินด์แห่งเอเดสสา เคลื่อนพลมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ได้เข้าโจมตีกองทัพเติร์กจนแตกพ่ายก่อนจะเข้ายึดนครนิคาเอียและแอนติออค จากนั้นจึงเคลื่อนทัพไปถึงนครเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 1099
(ทัพครูเสดตีเมืองแอนติออค)
อิฟติคาร แม่ทัพชาวอียิปต์ที่รักษานครเยรูซาเล็มได้นำทหารเซลจุคเติร์กต่อสู้กับพวกครูเสด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในที่สุด พวกครูเสดก็สามารถทลายกำแพงนครเยรูซาเล็มและบุกเข้าเมืองได้สำเร็จ แม่ทัพอิฟติคารยอมจำนนต่อทัพครูเสดและถูกปล่อยตัวออกจากเมือง ทั้งนี้หลังจากทัพครูเสดบุกเข้านครเยรูซาเล็มได้แล้ว ก็ได้ปล้นสะดมภ์และสังหารหมู่ชาวเมืองทั้งผู้ใหญ่และเด็ก นับแสนคน
(ทัพครูเสดยึดเยรูซาเล็ม)
หลังจากยึดนครเยรูซาเล็มได้แล้ว กอดฟรีย์แห่งบูวียองได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม แต่ก็ครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปีก็สิ้นพระชนม์โดยไร้รัชทายาท ทำให้บอลวินด์แห่งเอเดสสาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่สองแห่งอาณาจักรเยรูซาเล็มและขยายอาณาเขตเข้าครอบครองดินแดนเกือบตลอดแนวชายฝั่งจากนครเยรูซาเล็มขึ้นไปจนถึพรมแดนอาร์เมเนีย
จบสงคราม ครั้งที่1 มีต่อ
ขโมย portable.charge เขามา อิๆ