รีวิวทริปเที่ยวเชียงรายช่วงวันหยุดวิสาขบูชา (30 พ.ค – 1 มิ.ย)

ต้นเดือนมิถุนายนนี้ ได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงราย 3 วัน 2 คืน เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์
เล่าสู่กันฟังกับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป โดยทริปนี้ผมค้นข้อมูลจากในเวปพันทิปนี่แหละครับ
โดยลิสต์รายการสถานที่ที่น่าสนใจไว้เยอะแยะเลย แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยความไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหน
บวกกับการผมที่ขับรถไม่เร็ว ไม่รู้จักสถานที่ ๆ จะไป อาศัยแต่ GPS ในโทรศัพท์มือถือ
เลยทำให้ไปเที่ยวได้ไม่กี่แห่งก็หมดวันแล้วครับ

วันเสาร์ที่ 30 พ.ค 58
ผมออกจากเชียงใหม่เวลาประมาณบ่ายโมง ใช้เส้นทางดอยสะเก็ด เวียงป่าเป้า เข้าสู่ตัวจังหวัดเชียงราย
ระยะเวลาประมาณ 189 กม. ตามรูป


ระหว่างทางเข้าตัวเมืองเชียงรายก็แวะวัดร่องขุ่นถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ผมถึงวัดร่องขุ่นเวลาประมาณสี่โมงเย็น



วัดร่องขุ่นในวันเสาร์อาทิตย์ที่ผมไป ปิดห้าโมงครึ่งนะครับ ท้องฟ้าก็ครึ้มด้วยเมฆไม่มีแดดเลย มีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ก็ต้องเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายเพื่อหาที่พักต่อไป
พอถึงตัวเมืองเชียงราย ตรงเข้าไปที่โรงแรม B2 เชียงราย เพราะอยู่ใกล้ถนนคนเดิน จะได้เดินไปเที่ยวถนนคนเดินง่าย ๆ
ปรากฏว่า “เต็ม” ด้วยความที่ไม่ได้โทรจองไว้ก่อน ก็เลยต้องหาที่พักใหม่ ไปได้โรงแรม “อารียา” ใกล้ ๆ กับสนามบินเก่า
ในราคาคืนละ 650 บาท (ห้องแอร์) (รูปสีแดง ๆ ในแผนที่นั่นแหละครับ)


พอทุ่มนึง ก็ออกไปโบกรถหน้าโรงแรม (เป็นรถคล้าย ๆ รถสองแถวคันเล็ก ๆ) ไปลงหน้าถนนคนเดิน ในราคาคนละ 30 บาท
อยากจะบอกว่าถนนคนเดินเชียงรายวันนั้นคึกคักมาก ๆ ผู้คนทุกเพศทุกวัยพากันมาเดินเลือกซื้อของทั้งของกินและของที่ระลึก
ระหว่างทางที่เดินไปก็ไปเจอการแสดงฟ้อนพื้นเมืองของน้อง ๆ ชาวเชียงราย น่ารักเลยทีเดียว




เสร็จแล้วก็หิ้วถุงใส่กับข้าวพะรุงพะรัง กลับไปทานที่โรงแรม แล้วนอนหลับรวดเดียวถึงเช้าเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 พ.ค 58
ตื่นเช้าขึ้นมา หาข้าวปลาอาหารทานเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลก่อน
โดยวัดแรกที่ไปก็คือวัดมิ่งเมือง




ประตูทางเข้าวัด


พระวิหาร


ภายในพระวิหาร


พระประธานในวิหาร


วัดนี้สร้างขึ้นโดยพระนางอั๊วะมิ่งจอมเมือง พระราชมารดาของพญามังรายผู้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนา


เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ลง ก็ได้มีการนำพระอัฐิของพระนางมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ในวัด
โดยตามประวัติวัดมิ่งเมือง ได้จารึกไว้ว่าพญามังรายจะเสด็จมายังวัดแห่งนี้ปีละ 2 ครั้ง
คือในวันวิสาขบูชา และวันยี่เป็ง (ลอยกระทง) เพื่อจุดผางประทีปบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุอัฐิ
ของพระมารดาของพระองค์


ออกจากวัดมิ่งเมือง ก็เดินทางต่อไปยังวัดพระแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บนถนนไตรรัตน์ ดังในแผนที่นะครับ


วัดนี้เดิมชื่อวัดป่าเยียะ (ป่าไผ่) ต่อมาเกิดฟ้าผ่าเจดีย์ของวัดนี้เมื่อปี พ.ศ. 1977 และพบ
พระแก้วมรกตบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ในเมืองต่าง ๆ เช่น ลำปาง
เชียงใหม่ เวียงจันทร์ จนกระทั่งปัจจุบันได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง ที่กรุงเทพนั่นแหละครับ
ภาพเจดีย์ที่ค้นพบพระแก้วมรกต ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว


ภายในวัดพระแก้ว เชียงราย มีศาสนสถานที่น่าไปเยี่ยมชมหลายแห่ง อย่างเช่น หอพระหยก


หอพระหยกนี้เป็นอาคารทรงล้านนาโบราณ ภายในเป็นที่ประดิษฐาน “พระหยกเชียงราย”


พระหยกเชียงรายนี้สร้างด้วยหยกจากประเทศแคนาดา เนื่องในโอกาสที่
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษา


พระหยกองค์นี้สร้างขึ้นเป็นตัวแทนพระแก้วมรกตองค์จริง ที่ได้ถูกอัญเชิญไปนั่นเอง


ศาสนสถานภายในวัดพระแก้วเชียงราย อีกแห่งที่ไม่ควรพลาดในการเข้าไปเยี่ยมชม ก็คือ
“โฮงหลวงแสงแก้ว” เป็นหอพิพิธภัณฑ์ประจำวัด เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538
โดยมีคุณอมรา (แสงแก้ว) มุนิกานนท์ เป็นผู้อุปถัมภ์ และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจาก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดป้ายพิพิธภัณฑ์ฯ ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550


โฮงหลวงแสงแก้วเป็นอาคารสองชั้น ตกแต่งอย่างสวยงาม ชั้นล่างประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ (จำลอง)


มีพระพุทธรูปทั้งที่เป็นแบบศิลปะไทย และศิลปะแบบพม่า ตั้งแสดงอยู่รอบ ๆ ห้อง



ส่วนชั้นบนของโฮงแสงหลวง ด้านในสุดของห้องเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ


รอบ ๆ ห้องจัดตั้งตุ้กระจกบรรจุโต๊ะหมู่บูชา และข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน


ตรงกลางห้องเป็นตู้กระจกภายในมี “จองพารา” หรือปราสาทพระ ศิลปะชาวไทใหญ่ทำด้วยเงิน


ภายในจองพารา มีพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ บรรจุอยู่ การบูชาจองพาราคือการสร้างปราสาท
เพื่อคอยรับเสด็จพระพุทธเจ้า ที่จะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง


หลังจากออกจากโฮงแสงหลวงแล้ว ผมก็มุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายถัดไปคือ อ.แม่สาย
ระยะทางประมาณ 60 ก.ม.


ถึง อ.แม่สาย ก็ต้องไปถ่ายภาพจุดเหนือสุดของประเทศไทย


แล้วก็พากันไปเดินเลือกซื้อของต่าง ๆ ภายในตลาดแม่สาย ไม่ได้ข้ามไปฝั่งท่าขี้เหล็ก เพราะเวลาจำกัด
ตลอดเวลามีบรรดาชาวพม่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ข้ามด่านมาเดินชอปปิ้งซื้อของกัน พูดคุยกันเป็นภาษาพม่า
กู้ดมอร์นิ่ง มิงกะลาบ่า กันอย่างสนุกสนาน แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมานะครับ ภรรยาผมได้ของจำพวกผ้าห่ม
ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ และเส้นขนมจีนอบแห้งแบบพม่าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาเที่ยงกว่า ๆ ยังไม่รู้สึกหิว
ก็เลยตกลงกันว่าจะเดินทางไปทานข้าวกลางวันที่สามเหลี่ยมทองคำก็แล้วกัน เพราะอยู่ไม่ไกลจาก อ.แม่สาย
ห่างกันเพียงประมาณ 30 ก.ม. ดังแผนที่


ขับรถมาประมาณ 30 นาที ก็ผ่านหอฝิ่น (อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ) เลยแวะเข้าไปชม


ค่าบัตรเข้าเยี่ยมชม คนละ 150 บาท


ตอนแรกก็นึกว่าน่าจะใช้เวลาเยี่ยมชมไม่นานนัก ไป ๆ มา ๆ กลับใช้เวลาร่วม ๆ ชั่วโมง
ท้องร้องจ๊อก ๆ กันเลยแหละครับ ไม่มีภาพภายในให้ชม เพราะเค้าห้ามถ่ายภาพครับ

ออกจากหอฝิ่นได้ ก็รีบขับต่อไปที่สามเหลี่ยมทองคำ แล้วก็แวะทานข้าวกันตรงร้านอาหาร
ตรงเกือบ ๆ ถึงสามเหลี่ยมทองคำ ตอนนี้หิวข้าวหูอื้อตาลายกันแล้วครับ
สั่งข้าวเหนียวพร้อมกับข้าวสองอย่างเป็นต้มยำปลาแม่น้ำโขง กับหมูมะนาว
ทานกันหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 20 นาที
ภาพแม่น้ำรวกกับแม่น้ำโขง ถ่ายจากโต๊ะที่นั่งทานข้าวกันครับ


อิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว ก็ออกจากร้านตรงไปอีกไม่เกิน 500 เมตร ก็ถึงจุดชมวิวสามเหลี่ยมทองคำกันแล้วครับ


สามเหลี่ยมทองคำเป็นบริเวณที่แม่น้ำรวกไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่รอยต่อของสามประเทศคือ
ไทย (จังหวัดเชียงราย), พม่า (แขวงท่าขี้เหล็ก), ลาว (แขวงบ่อแก้ว) ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่น
และผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่ ยาเสพติดและฝิ่นเหล่านี้มีมูลค่าสูงขนาดที่ว่ามีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
โดยใช้ทองคำในน้ำหนักที่เท่ากัน จึงเป็นที่มาของชื่อ “สามเหลี่ยมทองคำ”


บริเวณนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระเชียงแสนสี่แผ่นดินหรือพระพุทธนวล้านตื้อ
ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั้งสามประเทศ แทนพระองค์เดิมที่จมแม่น้ำโขงลงไปแล้ว



เมื่อพักผ่อนไหว้พระและชมวิวของสามเหลี่ยมทองคำกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยังอำเภอเชียงของ
ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่จะแวะชมในวันนี้ ระยะทางประมาณ 82 ก.ม.


ก็ขับรถตามถนนเลียบไปตามลำน้ำโขง เปิดวิทยุฟังเพลงเพราะๆ ของสถานีฝั่งประเทศลาว รับฟังได้ชัดเจนดีมาก
ตอนแรกก็วางแผนว่าระยะทางขนาดนี้ขับรถไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึงเชียงของ แล้วจะได้หาร้านริมน้ำโขง
นั่งทานกาแฟดูวิวริมน้ำโขงไปสักชั่วโมง แล้วค่อยขับรถกลับไปนอนที่เชียงราย แต่ผิดคาดครับ ขับไปขับมา
ถนนก็แคบลงเรื่อย ๆ และเริ่มคดเคี้ยวค่อย ๆ ไต่ขึ้นบนเขาไปเรื่อยๆ ไปจนถึงจุด ๆ หนึ่งก็ไปอยู่บนไหล่เขา
มองลงมาเห็นตัวเมืองเชียงของอยู่ข้างล่าง วิวสวยมากแต่เวลานั้นไม่มีเวลาคว้ากล้องมาถ่ายภาพเลย
เพราะเป็นถนนแคบ ๆ สองเลน ไม่สามารถจอดรถนาน ๆ ได้ ลงมาถึงตัวเมืองเชียงของก็บ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว
แผนการณ์ที่จะหาร้านริมน้ำโขง นั่งชมวิวทานกาแฟก็เลยต้องยกเลิกไปเพราะกลัวว่าจะมืดเสียก่อนที่จะกลับไปถึงตัวเมืองเชียงราย
มีเวลาแค่แวะไปถ่ายรูปกับป้ายด่านพรมแดนเชียงของ ซึ่งเป็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4
ที่เชื่อมระหว่างอำเภอเชียงของกับแขวงห้วยทรายของประเทศลาวเท่านั้น แล้วก็ขับรถกลับมาที่เชียงรายเลย


ขากลับมาผมใช้เส้นทาง เชียงของ ผ่านอำเภอเทิง เข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย ระยะทางประมาณ 120 ก.ม.
แต่ทำเวลาได้ดีกว่าเดิมมาก เพราะถนนราดยางอย่างดี ถึงตัวอำเภอเชียงรายก่อนมืด ก็แวะเข้าที่พัก เป็นอันจบทริปวันที่สอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่