ติดตามรีวิวอื่นๆได้นะครับ
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
นครสีแดง (Day 5: The red jigsaws of Bologna)
http://ppantip.com/topic/33833708
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
เวนิซ ราชินีแห่งอาดรีอาติก เจ้าทะเลและนครอันรุ่งเรืองที่สุดในยุคกลาง จนถึงปัจจุบัน ความมั่งคั่งของเกาะโรแมนติกแห่งนี้ยังพบเห็นได้ในทุกซอกมุม ตามที่สายน้ำของคลองนับร้อยจะพัดพาเราไป
ชีวิตช่างดี
ตื่นมาไปเดินเล่น
ระหว่างเดินขอเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาขำๆ เวนิซเนี่ยมีคนอยู่ในสมัยยุคปลายของจักรวรรดิโรมัน เมื่ออิตาลีโดนรุมยำห้ำหั่นโดยดาบแห่งปุรุของอัตติลา เดอะ ฮัน เมืองอย่าง Aquileia หรือ Padua โดนเผาทำลาย ผู้คนก็หนีมาอาศัยอยู่ในเกาะเล็กเกาะน้อยในลากูนอันแสนสงบ ภายหลังคนก็แห่แหนอพยพกันมาเรื่อยๆ จนเริ่มกลายเป็นเมืองเวนิซขึ้นมา เมืองเล็กๆนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในอิตาลีตอนเหนือที่รอดพ้นจากการรุกรานอีกครั้งโดยชาวลอมบาร์ด (อีกเมืองคือ Ravenna) ทั้งสองเมืองอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของจักรวรรดิไบแซนไทน์จนสุดท้ายเมื่อชาวแฟรงค์แผ่อำนาจมายังอิตาลี เวนิซเลยโชคดีได้โอกาสตั้งตนเป็นเอกราชมาเฉย เปลี่ยนชื่อเป็น Most Serene Republic of Venice รัฐอิสระที่รุ่งเรืองต่อมาอีกพันกว่าปี
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปเที่ยวกันเลย...
Piazza San Marco หรือจตุรัสเซนต์มาร์กเป็นจตุรัสที่มีรูปเป็นตัว L ขนาดใหญ่ เป็นสแควร์หลักของเมืองที่ใช้จัดกิจกรรมตั้งแต่งานรื่นเริงไปจนถึงการประหารชีวิตนักโทษ
หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โดงดังของเวนิซคือหอระฆังสีแดงสูงใหญ่ St.Mark Campanile คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเวนิซ สามารถมองเห็นได้ไกลตั้งแต่ในทะเล หากผู้ใดหลงทางในเขาวงกตน้ำของคลองวกวนในเวนิซ แค่แหงนหน้ามองหาหอระฆัง ก็จะสามารถพาตัวเองกลับสู่ Piazza San Marco ได้ในที่สุด(จริงหรอ??5555) ในปี 1902 หอคอยได้ถล่มลงมาทั้งหมด ทิ้งกองฝุ่นมหึมาไว้หน้าวิหารเซนต์มาร์ก โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บยกเว้นแมวหนึ่งตัวที่โดนทับตาย
ตึกรูปทรงปริซึมสี่เหลี่ยมที่เห็นนี้คือพระราชวังของผู้ครองนคร (Doge's palace/ Palazzo Ducale) วังหินปูนสีขาวศิลปะแบบ Venetian Gothic ที่ดูไม่โออ่าอลังการเหมือนวังโกธิคในฝรั่งเศสหรือเยอรมันี แต่กลับดูสวยสง่า ไฮโซ ด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่จัดเรียงอย่างลงตัว
อย่ามัวแต่เดินเล่นนะครับ อีก10นาทีวิหารเปิด (9.45 เปิด) เห็นมวลมหาประชาชนแล้ว รีบต่อแถวด่วนครับ (เข้าฟรี ป้ายสะพายหลังต้องฝากไว้ข้างนอกทั้งหมด เขามีป้ายชี้ทางไป Deposito bagagli)
ระหว่างรอเข้า เราก็ทัศนศึกษาต่อได้อยู่ ข้างหน้าคือหอนาฬิกา Torre dell'Orologio สร้างสมัยศตวรรษที่ 15 ว่ากันว่าสถาปนิกผู้ออกแบบตัวเรือนนาฬิกาถูกควักลูกตาออกทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ไปทำนาฬิกาที่สวยขนาดนี้ให้เมืองอื่นอีก ในการบอกเวลาจะใช้รูปปั้นแขกมัวร์สองคนข้างบนตีระฆัง
มองไปตรงหัวมุมวิหารจะเห็นอนุเสาวรีย์คนกอดกันอันนี้คือรูปปั้นของ "Tetrachy" (แปลว่าการปกครองที่มีผู้ปกครองทีละ4คน) ของจักรพรรดิโรมัน Diocletian, Maximian, Valerius, Constantine ในยุคนั้นจักรวรรดิโรมันถูกแบ่งเป็นสองส่วน ตะวันตก กับ ตะวันออก แต่ละซีกถูกปกครองโดยจักรพรรดิส่วนละสองคน รูปปั้นนี้ถูกขโมยมา(อีกแล้ว!?)จากคอนสแตนติโนเปิล แต่ตอนขนมาดันซุ่มซ่ามทำเท้าหัก ภายหลังตุรกีขุดค้นพบซากเท้าที่หายไปของรูปปั้นนี้ พออิตาลีได้ยินข่าวก็ส่งจม.ไปขออย่างสุภาพ แต่รัฐบาลตุรกีกลับตอบมาว่า "
ขโมยรูปปั้นกรุไปทั้งตัวแล้ว กรุขอเก็บซ่งตีนมันเอาไว้ละกัน" ถ้าอยากดูซ่งตีนของจักรพรรดิ ก็ต้องตามไปดูที่อิสตันบูลครับ5555555
ูรูปแขกที่เห็นนี้เป็นการประจารความร้ายการของเวนิซเอง ในภาพคือเรื่องราวมหากาพย์การขโมยศพของ St.Mark จาก Alexandria โดยพ่อค้าชาวเวนิซ ที่เอาศพซ่อนไว้ใต้เนื้อหมูเพื่อไม่ให้มุสลิมอิยิปต์ตรวจสอบได้ครับ5555
มองข้างบนบ้าง จะเห็นหนามแบบ Gothic วางอยู่บนซุ้มประตูโค้งแบบ Romanesque ด้านบนสุดคือรูปปั้นเซนต์มาร์กและเหล่าเทพดา มองลงมาจะเจอสัญลักษณ์ที่พบเห็นได้ทุกที่ของเมืองนี้ก็คือพญาราชสีห์มีปีก สัญลักษณ์ของเซนต์มาร์ก(และบริษัทประกัน Generali) โดยฝ่าเท้าข้างหนึ่งวางอย่างสง่างามบนหน้าหนังสือเขียนว่า "Pax tibi Marce, evangelista meus" ภาษาละตินแปลว่า "ขอสันติสุขจงบังเกิดมีแด่เซนต์มาร์กผู้ประพันธ์พระวรสารของเรา"
เห็นม้าไหม มันมีสตอรี่ยาวมากนะ5555555 ม้าของเซนต์มาร์กทั้งสี่ ทำจากสำริดสมัยโรมัน เดิมเคยเป็นเซตรูปปั้นของรถม้าแบบ Quadriga ที่ตั้งอยู่ใน Hippodrome ของคอนสแตนติโนเปิล จน Enrico Dandolo โดจ (Doge, ผู้ปกครองรัฐ คล้ายๆดยุค) ในสมัยนั้นสั่งให้หอบกลับมาเวนิซ นโปเลียนรบชนะเวนิซ ก็ขนม้าไปประดับที่ประตูชัยในปารีส พอนโปเลียนโดนโค่นอิตาลีก็ขนกลับมาอีกรอบ วุ่นวาย ตัวที่ตั้งโชว์อยู่เป็นของปลอม ตัวจริงถูกเก็บไว้อย่างดีเพราะกลัวชำรุด
เสาหินอ่อนกับแผงรูปแกะสลักที่เห็นนี่เป็นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เวนิซมันไปปล้นมาหมดครับ
เข้าวิหารละครับ Basilica di San Marco เป็นวิหารลูกผสม Gothic/Romanesque แต่โครงสร้างหลักจริงๆเป็นศิลปะแบบ Byzantine สังเกตได้จากโดมทั้ง5 และแพลนรูป Greek Cross (เครื่องหมายบวก +) แตกต่างจาก Latin Cross ทีขาข้างหนึ่งยาวออกไป (ไม้กางเขนที่เห็นทั่วไป)
ปล.ในนี้ห้ามถ่ายภาพครับ เห็นคนโดนยามด่าไปแล้ว เอารูปจากเน็ตไปดูครับ ของจริงก็สวยแบบนี้แหละ
วิหารนี้แสดงความมั่งคั่งของเวนิซที่มีมาตั้งแต่อดีต กระเบื้องทองคำนับล้านประดับตกแต่งภายในของวิหารในแทบทุกส่วน แม้แต่อากาศยังเต็มไปด้วยฝุ่นผงละอองทองคำที่หลุดลอกออกจากภาพโมเสกทองพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตรรอบวิหาร ว่ากันว่าผู้ใดที่สูดอากาศในวิหารแห่งนี้จะประสบแต่ความร่ำรวย เตรียมปอดไปเยอะๆละกันครับ555555
โดมตรงกลาง แสดงภาพโมเสกทองแท้ "Christ in Glory" ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากโมเสกไบแซนไทน์ (แบบใน Hagia Sofia)
ปล. โมเสกทองคำในวิหารก็ถูกขโมยมาจากคอนสแตนติโนเปิลเช่นกัน
เดินตามทางจนเกือบสุดวิหาร จะเจอทางเข้าชม "Pala d'Oro" จ่ายเงินคนละ 1.5€ (เด็กต่ำกว่า18ฟรี อายุ18-25จ่ายแค่ 1€) แปลตรงตัว Pala d'Oro หมายถึง "พรมทองคำ" ความจริงแล้วพรมผืนนี้ถูกถักทอด้วยแผ่นเงินชุบทองกับรัตนชาติหลายชนิดบนแผ่นไม้โกทิคขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุก 13,000 เม็ด โกเมน 4,000 ก้อน ไพลิน 4,000 ชิ้น ทับทิม มรกต และอเมทิสต์อีกนับไม่ถ้วน สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกสร้างตั้งแต่สมัยไบแซนไทน์เรืองอำนาจตอนต้นยุคกลาง แต่ว่าชาวเวนิซได้นำมาประดับตกแต่งเพิ่มขึ้นด้วยอัญมณีของตนเองมากมายหลังจากไปจิ๊กของเขามา
ซูมให้ดูอัญมณีใกล้ๆ กับ Irene of Athens จักรพรรดินีไบแซนไทน์
เดินตามป้าย ไปด้านขวาของวิหาร จะเจอทางเข้า Treasury หรือห้องเก็บสมบัติ (ค่าเข้าชม 2€ ทุกคน) สมบัติส่วนใหญ่ถูกปล้นมาจากคอนสแตนติโนเปิล มีวัตถุโบราณอียิปต์ตั้งแต่สมัย 4000 B.C. ด้วย อายุ 6,000ปี เชียว
ก่อนออกจากวิหาร สูดลมหายใจให้เต็มปอดซักที เงินทองจงไหลมา สาธุๆๆๆ
ร้านของที่ระลึกที่นี่ถูกมาก ซื้อไปเลยครับ ข้างนอกแพงกว่า
เดินออกมาจาก Piazza มาที่ท่าเรือ Vaporetto มองกลับไป มุมนี้สวยน่าถ่ายรูปดีครับ
ระหว่างทางเจอร้านขายหน้ากากเยอะแยะเลยครับ เห็นหน้ากากปากนกแล้วก็นึกถึงนิยายเรื่อง Inferno รู้หรือเปล่า หน้ากากแบบนี้เป็นของหมอในสมัยยุคกลาง ช่วงกาฬโรคระบาด (The Black Death) เหล่า "Plague doctors" จะใส่หน้ากากที่มีปากแหลมยื่นออกมาเวลารักษาคนไข้ ปากนกนี้กันไม่ให้หมอเข้าใกล้คนไข้มากไป เพราะจะเสี่ยงต่อการติดโรคได้
มองออกสู่ทะเลอาดรีอาติก จะมองเห็นเกาะ San Giorgio Maggiore (ซานจอร์โจมัจจอเร่) เกาะขนาดเล็กมีชื่อเสียงเรื่องโบสถ์กับกุฏิพระ (Monastery) อายุ 500 ปีชื่อเดียวกัน
แวะซื้อตั๋ว Vaporetto ก่อน ที่ผมใช้จะเป็นแบบ One day pass ราคาคนละ 20€ ทุกคน มันดูแพงแต่ผมว่าคุ้มนะครับ (นั่งมันไปกลับประมาณ 8 รอบ)
จาก San Marco นั่งเรือสาย 2 ไปลง Accademia ที่ตั้งของ Ponte Accdemia มองจากสะพานนี้จะได้วิวที่สวยงามที่สุดของคลอง(เขาว่ากันนะ ส่วนตัวว่าที่ไหนมันก็สวยไปหมดแหละเมืองนี้) จะเจอจุดถ่ายภาพตามโปสการ์ดนับร้อย
สะพานนี้เป็นสะพานไม้แห่งเดียวที่ใช้ข้าม Grand Canal เดิมเคยจะใส่โครงเหล็กแล้วแต่ทำไม่เสร็จ เลยปล่อยเป็นไม้ไว้อย่างนี้แหละ คลาสสิกดี เชิญชมวิวครับ
โดมขาวๆอีกแลนมาร์กที่โด่งดัง คือ Chiesa di Santa Maria della Salute โบสถ์สถาปัตยกรรมบาโรคที่สร้างอุทิศแด่พระแม่มารีที่ช่วยให้เมืองรอดพ้นจากโรคระบาด
เห็นเรือไม้
[CR] REVIEW: Italy Sightseeing Trip, Day 4 : Treasure and treachery of Venice
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
นครสีแดง (Day 5: The red jigsaws of Bologna)
http://ppantip.com/topic/33833708
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
เวนิซ ราชินีแห่งอาดรีอาติก เจ้าทะเลและนครอันรุ่งเรืองที่สุดในยุคกลาง จนถึงปัจจุบัน ความมั่งคั่งของเกาะโรแมนติกแห่งนี้ยังพบเห็นได้ในทุกซอกมุม ตามที่สายน้ำของคลองนับร้อยจะพัดพาเราไป
ชีวิตช่างดี
ตื่นมาไปเดินเล่น
ระหว่างเดินขอเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาขำๆ เวนิซเนี่ยมีคนอยู่ในสมัยยุคปลายของจักรวรรดิโรมัน เมื่ออิตาลีโดนรุมยำห้ำหั่นโดยดาบแห่งปุรุของอัตติลา เดอะ ฮัน เมืองอย่าง Aquileia หรือ Padua โดนเผาทำลาย ผู้คนก็หนีมาอาศัยอยู่ในเกาะเล็กเกาะน้อยในลากูนอันแสนสงบ ภายหลังคนก็แห่แหนอพยพกันมาเรื่อยๆ จนเริ่มกลายเป็นเมืองเวนิซขึ้นมา เมืองเล็กๆนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในอิตาลีตอนเหนือที่รอดพ้นจากการรุกรานอีกครั้งโดยชาวลอมบาร์ด (อีกเมืองคือ Ravenna) ทั้งสองเมืองอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของจักรวรรดิไบแซนไทน์จนสุดท้ายเมื่อชาวแฟรงค์แผ่อำนาจมายังอิตาลี เวนิซเลยโชคดีได้โอกาสตั้งตนเป็นเอกราชมาเฉย เปลี่ยนชื่อเป็น Most Serene Republic of Venice รัฐอิสระที่รุ่งเรืองต่อมาอีกพันกว่าปี
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปเที่ยวกันเลย...
Piazza San Marco หรือจตุรัสเซนต์มาร์กเป็นจตุรัสที่มีรูปเป็นตัว L ขนาดใหญ่ เป็นสแควร์หลักของเมืองที่ใช้จัดกิจกรรมตั้งแต่งานรื่นเริงไปจนถึงการประหารชีวิตนักโทษ
หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โดงดังของเวนิซคือหอระฆังสีแดงสูงใหญ่ St.Mark Campanile คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเวนิซ สามารถมองเห็นได้ไกลตั้งแต่ในทะเล หากผู้ใดหลงทางในเขาวงกตน้ำของคลองวกวนในเวนิซ แค่แหงนหน้ามองหาหอระฆัง ก็จะสามารถพาตัวเองกลับสู่ Piazza San Marco ได้ในที่สุด(จริงหรอ??5555) ในปี 1902 หอคอยได้ถล่มลงมาทั้งหมด ทิ้งกองฝุ่นมหึมาไว้หน้าวิหารเซนต์มาร์ก โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บยกเว้นแมวหนึ่งตัวที่โดนทับตาย
ตึกรูปทรงปริซึมสี่เหลี่ยมที่เห็นนี้คือพระราชวังของผู้ครองนคร (Doge's palace/ Palazzo Ducale) วังหินปูนสีขาวศิลปะแบบ Venetian Gothic ที่ดูไม่โออ่าอลังการเหมือนวังโกธิคในฝรั่งเศสหรือเยอรมันี แต่กลับดูสวยสง่า ไฮโซ ด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่จัดเรียงอย่างลงตัว
อย่ามัวแต่เดินเล่นนะครับ อีก10นาทีวิหารเปิด (9.45 เปิด) เห็นมวลมหาประชาชนแล้ว รีบต่อแถวด่วนครับ (เข้าฟรี ป้ายสะพายหลังต้องฝากไว้ข้างนอกทั้งหมด เขามีป้ายชี้ทางไป Deposito bagagli)
ระหว่างรอเข้า เราก็ทัศนศึกษาต่อได้อยู่ ข้างหน้าคือหอนาฬิกา Torre dell'Orologio สร้างสมัยศตวรรษที่ 15 ว่ากันว่าสถาปนิกผู้ออกแบบตัวเรือนนาฬิกาถูกควักลูกตาออกทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ไปทำนาฬิกาที่สวยขนาดนี้ให้เมืองอื่นอีก ในการบอกเวลาจะใช้รูปปั้นแขกมัวร์สองคนข้างบนตีระฆัง
มองไปตรงหัวมุมวิหารจะเห็นอนุเสาวรีย์คนกอดกันอันนี้คือรูปปั้นของ "Tetrachy" (แปลว่าการปกครองที่มีผู้ปกครองทีละ4คน) ของจักรพรรดิโรมัน Diocletian, Maximian, Valerius, Constantine ในยุคนั้นจักรวรรดิโรมันถูกแบ่งเป็นสองส่วน ตะวันตก กับ ตะวันออก แต่ละซีกถูกปกครองโดยจักรพรรดิส่วนละสองคน รูปปั้นนี้ถูกขโมยมา(อีกแล้ว!?)จากคอนสแตนติโนเปิล แต่ตอนขนมาดันซุ่มซ่ามทำเท้าหัก ภายหลังตุรกีขุดค้นพบซากเท้าที่หายไปของรูปปั้นนี้ พออิตาลีได้ยินข่าวก็ส่งจม.ไปขออย่างสุภาพ แต่รัฐบาลตุรกีกลับตอบมาว่า "ขโมยรูปปั้นกรุไปทั้งตัวแล้ว กรุขอเก็บซ่งตีนมันเอาไว้ละกัน" ถ้าอยากดูซ่งตีนของจักรพรรดิ ก็ต้องตามไปดูที่อิสตันบูลครับ5555555
ูรูปแขกที่เห็นนี้เป็นการประจารความร้ายการของเวนิซเอง ในภาพคือเรื่องราวมหากาพย์การขโมยศพของ St.Mark จาก Alexandria โดยพ่อค้าชาวเวนิซ ที่เอาศพซ่อนไว้ใต้เนื้อหมูเพื่อไม่ให้มุสลิมอิยิปต์ตรวจสอบได้ครับ5555
มองข้างบนบ้าง จะเห็นหนามแบบ Gothic วางอยู่บนซุ้มประตูโค้งแบบ Romanesque ด้านบนสุดคือรูปปั้นเซนต์มาร์กและเหล่าเทพดา มองลงมาจะเจอสัญลักษณ์ที่พบเห็นได้ทุกที่ของเมืองนี้ก็คือพญาราชสีห์มีปีก สัญลักษณ์ของเซนต์มาร์ก(และบริษัทประกัน Generali) โดยฝ่าเท้าข้างหนึ่งวางอย่างสง่างามบนหน้าหนังสือเขียนว่า "Pax tibi Marce, evangelista meus" ภาษาละตินแปลว่า "ขอสันติสุขจงบังเกิดมีแด่เซนต์มาร์กผู้ประพันธ์พระวรสารของเรา"
เห็นม้าไหม มันมีสตอรี่ยาวมากนะ5555555 ม้าของเซนต์มาร์กทั้งสี่ ทำจากสำริดสมัยโรมัน เดิมเคยเป็นเซตรูปปั้นของรถม้าแบบ Quadriga ที่ตั้งอยู่ใน Hippodrome ของคอนสแตนติโนเปิล จน Enrico Dandolo โดจ (Doge, ผู้ปกครองรัฐ คล้ายๆดยุค) ในสมัยนั้นสั่งให้หอบกลับมาเวนิซ นโปเลียนรบชนะเวนิซ ก็ขนม้าไปประดับที่ประตูชัยในปารีส พอนโปเลียนโดนโค่นอิตาลีก็ขนกลับมาอีกรอบ วุ่นวาย ตัวที่ตั้งโชว์อยู่เป็นของปลอม ตัวจริงถูกเก็บไว้อย่างดีเพราะกลัวชำรุด
เสาหินอ่อนกับแผงรูปแกะสลักที่เห็นนี่เป็นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เวนิซมันไปปล้นมาหมดครับ
เข้าวิหารละครับ Basilica di San Marco เป็นวิหารลูกผสม Gothic/Romanesque แต่โครงสร้างหลักจริงๆเป็นศิลปะแบบ Byzantine สังเกตได้จากโดมทั้ง5 และแพลนรูป Greek Cross (เครื่องหมายบวก +) แตกต่างจาก Latin Cross ทีขาข้างหนึ่งยาวออกไป (ไม้กางเขนที่เห็นทั่วไป)
ปล.ในนี้ห้ามถ่ายภาพครับ เห็นคนโดนยามด่าไปแล้ว เอารูปจากเน็ตไปดูครับ ของจริงก็สวยแบบนี้แหละ
วิหารนี้แสดงความมั่งคั่งของเวนิซที่มีมาตั้งแต่อดีต กระเบื้องทองคำนับล้านประดับตกแต่งภายในของวิหารในแทบทุกส่วน แม้แต่อากาศยังเต็มไปด้วยฝุ่นผงละอองทองคำที่หลุดลอกออกจากภาพโมเสกทองพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตรรอบวิหาร ว่ากันว่าผู้ใดที่สูดอากาศในวิหารแห่งนี้จะประสบแต่ความร่ำรวย เตรียมปอดไปเยอะๆละกันครับ555555
โดมตรงกลาง แสดงภาพโมเสกทองแท้ "Christ in Glory" ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากโมเสกไบแซนไทน์ (แบบใน Hagia Sofia)
ปล. โมเสกทองคำในวิหารก็ถูกขโมยมาจากคอนสแตนติโนเปิลเช่นกัน
เดินตามทางจนเกือบสุดวิหาร จะเจอทางเข้าชม "Pala d'Oro" จ่ายเงินคนละ 1.5€ (เด็กต่ำกว่า18ฟรี อายุ18-25จ่ายแค่ 1€) แปลตรงตัว Pala d'Oro หมายถึง "พรมทองคำ" ความจริงแล้วพรมผืนนี้ถูกถักทอด้วยแผ่นเงินชุบทองกับรัตนชาติหลายชนิดบนแผ่นไม้โกทิคขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุก 13,000 เม็ด โกเมน 4,000 ก้อน ไพลิน 4,000 ชิ้น ทับทิม มรกต และอเมทิสต์อีกนับไม่ถ้วน สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกสร้างตั้งแต่สมัยไบแซนไทน์เรืองอำนาจตอนต้นยุคกลาง แต่ว่าชาวเวนิซได้นำมาประดับตกแต่งเพิ่มขึ้นด้วยอัญมณีของตนเองมากมายหลังจากไปจิ๊กของเขามา
ซูมให้ดูอัญมณีใกล้ๆ กับ Irene of Athens จักรพรรดินีไบแซนไทน์
เดินตามป้าย ไปด้านขวาของวิหาร จะเจอทางเข้า Treasury หรือห้องเก็บสมบัติ (ค่าเข้าชม 2€ ทุกคน) สมบัติส่วนใหญ่ถูกปล้นมาจากคอนสแตนติโนเปิล มีวัตถุโบราณอียิปต์ตั้งแต่สมัย 4000 B.C. ด้วย อายุ 6,000ปี เชียว
ก่อนออกจากวิหาร สูดลมหายใจให้เต็มปอดซักที เงินทองจงไหลมา สาธุๆๆๆ
ร้านของที่ระลึกที่นี่ถูกมาก ซื้อไปเลยครับ ข้างนอกแพงกว่า
เดินออกมาจาก Piazza มาที่ท่าเรือ Vaporetto มองกลับไป มุมนี้สวยน่าถ่ายรูปดีครับ
ระหว่างทางเจอร้านขายหน้ากากเยอะแยะเลยครับ เห็นหน้ากากปากนกแล้วก็นึกถึงนิยายเรื่อง Inferno รู้หรือเปล่า หน้ากากแบบนี้เป็นของหมอในสมัยยุคกลาง ช่วงกาฬโรคระบาด (The Black Death) เหล่า "Plague doctors" จะใส่หน้ากากที่มีปากแหลมยื่นออกมาเวลารักษาคนไข้ ปากนกนี้กันไม่ให้หมอเข้าใกล้คนไข้มากไป เพราะจะเสี่ยงต่อการติดโรคได้
มองออกสู่ทะเลอาดรีอาติก จะมองเห็นเกาะ San Giorgio Maggiore (ซานจอร์โจมัจจอเร่) เกาะขนาดเล็กมีชื่อเสียงเรื่องโบสถ์กับกุฏิพระ (Monastery) อายุ 500 ปีชื่อเดียวกัน
แวะซื้อตั๋ว Vaporetto ก่อน ที่ผมใช้จะเป็นแบบ One day pass ราคาคนละ 20€ ทุกคน มันดูแพงแต่ผมว่าคุ้มนะครับ (นั่งมันไปกลับประมาณ 8 รอบ)
จาก San Marco นั่งเรือสาย 2 ไปลง Accademia ที่ตั้งของ Ponte Accdemia มองจากสะพานนี้จะได้วิวที่สวยงามที่สุดของคลอง(เขาว่ากันนะ ส่วนตัวว่าที่ไหนมันก็สวยไปหมดแหละเมืองนี้) จะเจอจุดถ่ายภาพตามโปสการ์ดนับร้อย
สะพานนี้เป็นสะพานไม้แห่งเดียวที่ใช้ข้าม Grand Canal เดิมเคยจะใส่โครงเหล็กแล้วแต่ทำไม่เสร็จ เลยปล่อยเป็นไม้ไว้อย่างนี้แหละ คลาสสิกดี เชิญชมวิวครับ
โดมขาวๆอีกแลนมาร์กที่โด่งดัง คือ Chiesa di Santa Maria della Salute โบสถ์สถาปัตยกรรมบาโรคที่สร้างอุทิศแด่พระแม่มารีที่ช่วยให้เมืองรอดพ้นจากโรคระบาด
เห็นเรือไม้