ยินดีต้อนรับสู่ The Matrix คุณอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต
ทุกๆสิ่งที่คุณเคยทำหรือจะทำ อาจเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ของโค้ดคอมพิวเตอร์อันก้าวล้ำ
ทุกๆความสัมพันธ์, ทุกๆความรู้สึก, ทุกๆความทรงจำอาจถูกสร้างขึ้นโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์
นี่คือทฤษฎีที่น่ากลัว ถูกเสนอเป็นครั้งแรกโดยนักปรัชญา นิก บอสทรอม
สมมุติฐานอันน่าตกตะลึงนี้ถูกเขียนขึ้นสี่ปีหลังจาก แอนดรู และ ลานา วาคอฟสกี เขียนบทและกำกับ The Matrix ภาพยนตร์ที่มีฉากในอนาคตแบบดิสโทเปียน(ตรงข้ามกับยูโทเปีย) ซึ่งมนุษย์ถูกควบคุมไว้ด้วยโลกความจริงที่ถูกจำลองขึ้นมา
ในงานวิจัยของเขา ดร.บอสทรอม เสนอว่าเผ่าพันธ์ุที่วิวัฒนาการไปอย่างมากอาจอยู่เบื้องหลังที่คุมขังดิจิทัลของเรา
สิ่งมีชีวิตในอนาคต มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น อาจกำลังใช้โลกความจริงเสมือนเพื่อจำลองช่วงเวลาในอดีต หรือเพื่อดูว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่กันอย่างไรบ้าง
ฟังดูบ้ามาก? ก็ไม่เชิงเพราะกลายเป็นว่า NASA คิดว่า ดร.บอสทรอม อาจจะถูก
ริช เทอไร ผู้อำนวยการของ Evolutionary Computation and Automated Design ที่ NASA ได้เปิดเผยออกมาเกี่ยวกับดิจิทัลซิมูเลชัน
“ตอนนี้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดของ NASA ประมวลผลได้ประมาณสองเท่าของความเร็วของสมองมนุษย์” นักวิทยาศาสตร์ NASA บอกกับ Vice
“ถ้าคุณคำนวณง่ายๆโดยใช้กฎของมัวร์ (ซึ่งอ้างคร่าวๆว่าคอมพิวเตอร์มีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆสองปี) คุณจะพบว่าภายในหนึ่งทศวรรษ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เหล่านี้จะมีความสามารถในการคำนวณทั้งช่วงชีวิตของมนุษย์ 80 ปี รวมทั้งความคิดทุกๆอย่างที่เคยมีระหว่างช่วงชีวิตนั้นได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน
“ในกลศาสตร์ควอนตัม อนุภาคไม่ได้มีสถานะที่แน่นอนเว้นเสียแต่ว่าพวกมันกำลังถูกสังเกต
“นักทฤษฎีหลายคนใช้เวลาไปมากมายเพื่อพยายามทำความเข้าใจว่าคุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี
“คำอธิบายหนึ่งนั่นคือพวกเรากำลังอยู่ในซิมูเลชัน เห็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเห็น ในเวลาที่เราจำเป็นต้องเห็น
“สิ่งที่ผมพบว่าสร้างแรงบันดาลใจคือ แม้ว่าเราจะอยู่ในซิมูเลชัน หรือหลายๆชั้นนลงไปในระดับของซิมูเลชัน ที่จุดๆหนึ่ง บางสิ่งได้ขึ้นมาจากโคลนตมยุคโบราณแล้วกลายมาเป็นตัวเรา และเกิดเป็นซิมูเลชันที่สร้างตัวเราขึ้นมา สุดยอดมาก”
แนวคิดที่ว่าเอกภพของเราเป็นเรื่องไม่จริง ถูกสร้างขึ้นโดยโค้ดคอมพิวเตอร์ ได้แก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องและปริศนาหลายๆอย่างเกี่ยวกับจักรวาล
อย่างแรกคือเฟอร์มิพาราด็อกซ์ เสนอโดยนักฟิสิกส์ เอนริโค เฟอร์มิ ระหว่างทศวรรษ 1960 ซึ่งเน้นย้ำความขัดแย้งระหว่างความน่าจะเป็นอย่างสูงของอารยธรรมต่างดาวภายในเอกภพที่กำลังขยายตัวของเรา และการที่มนุษย์ขาดการติดต่อด้วย หรือขาดหลักฐานสำหรับอาณานิคมเอเลี่ยนเหล่านี้
“ทุกคนไปอยู่ที่ไหนกันหมด?” เฟอร์มิ ถาม
อาจเป็นเพียงแค่ว่าโลกและมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางของเอกภพจริงๆก็ได้
ปริศนาอีกอย่างอธิบายโดยทฤษฎีแบบ Matrix ของ ดร.บอสทรอม คือบทบาทของสสารมืด
นักจักรวาลวิทยาทฤษฎีชาวสหรัฐ ไมเคิล เทอร์เนอร์ เรียกข้อสมมุติฐานนี้ว่า “ปริศนาที่ลึกซึ้งที่สุดของวิทยาศาสตร์ทั้งมวล”
สสารมืดคือหนึ่งในข้อสมมุติฐานหลายๆอย่างที่ใช้เพื่ออธิบายความไม่ปกติจำนวนหนึ่งในแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) ทฤษฎีครอบจักรวาลที่วิทยาศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายอนุภาคและแรงในธรรมชาติมา 50 ปี
แบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาคบอกเราว่ามีอนุภาคมูลฐานอยู่ 17 ชนิด ซึ่งสร้างอะตอมสสารขึ้นมา
ฮิกส์ โบซอนซึ่งถูกตั้งเป็นทฤษฎีโดยนักวิทยาศาสตร์ระหว่างทศวรรษ 1960 ก็อยู่ในอนุภาคมูลฐาน 17 ชนิดนี้
ในฤดูร้อน ปี 2012 นักวิทยาศาสตร์ที่ CERN สังเกตเห็นสิ่งที่ตอนนี้เชื่อกันว่าเป็น “อนุภาคพระเจ้า” ที่หายากนี้
แต่แบบจำลองมาตรฐานก็ยังไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติอันน่าฉงนจำนวนหนึ่งของเอกภพ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
สสารมืดนั้นเชื่อกันว่าเป็นสสารที่เหมือนสายใยซึ่งยึดสสารที่มองเห็นได้เข้าไว้ด้วยกัน
ถ้ามันมีอยู่จริง มันจะอธิบายว่าทำไมกาแล็กซี่ถึงหมุนด้วยความเร็วอย่างที่พวกมันเป็น บางสิ่งบางอย่างซึ่งยังคงอธิบายไม่ได้จากสิ่งที่เราสามารถสังเกตการณ์ได้ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
แบบจำลองมาตรฐานยังไม่มีคำอธิบายใดๆสำหรับแรงโน้มถ่วงด้วย
การมีอยู่ของสสารมืดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์นี้อาจถูกอธิบายได้ด้วยเอกภพเสมือนจริง
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแน่ใจกับคำอธิบายแบบ The Matrix
ศาสตราจารย์ ปีเตอร์ มิลลิแกน ซึ่งสอนปรัชญาและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด คิดว่าคำอธิบายโลกความจริงเสมือนนั้นบกพร่องอยู่
“ตัวทฤษฎีดูเหมือนตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า “superminds” จะทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีเดียวกับที่เราทำ” เขาบอก
“ถ้าพวกเขาคิดว่าโลกนี้คือซิมูเลชัน ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าพวก superminds ซึ่งอยู่นอกซิมูเลชัน จะถูกจำกัดด้วยความนึกคิดและวิธีการแบบเดียวกันกับเรา”
“พวกเขาทึกทักเอาว่าโครงสร้างสุดท้ายของโลกที่แท้จริงไม่ได้เป็นเหมือนตาราง และพวก supermind คงต้องสร้างโลกเสมือนโดยใช้ตาราง
“เราไม่สามารถสรุปว่าโครงสร้างตารางคือหลักฐานของโลกความจริงปลอมๆ เพียงเพราะว่าวิธีที่เราสร้างโลกความจริงปลอมๆนั้นเกี่ยวข้องกับตาราง”
ศาสตราจารย์มิลลิแกนเชื่อว่ามันคุ้มค่าในการสืบหาความจริงของแนวคิดนี้
“มันเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และมันก็ดีที่จะมีแนวคิดบ้าๆบ้าง” เขาบอก
“คุณไม่ได้ต้องการเซนเซอร์แนวคิดใดๆด้วยการดูว่าพวกมันฟังดูมีเหตุผลหรือไม่ เพราะว่าบางครั้งความก้าวหน้าใหม่ๆที่สำคัญก็ดูเหมือนเหลวไหลในตอนแรกๆ
“คุณไม่มีทางรู้ แนวคิดดีๆอาจมาจากการคิดนอกกรอบ
“การทดลองในความคิดแบบ Matrix นี้จริงๆแล้วคล้ายกับบางแนวคิดของเดการ์ต และเบิร์คลีย์ หลายร้อยปีก่อน
“ถ้าหากกลายเป็นว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณมีนิสัยคิดสิ่งเพี้ยนๆอาจหมายความว่า ณ จุดหนึ่งคุณกำลังคิดบางสิ่งที่ในตอนแรกอาจดูเหมือนค่อนข้างหลุดโลก แต่กลายเป็นว่าไม่ได้หลุดโลกเลยก็เป็นได้"
http://www.express.co.uk/life-style/science-technology/575653/The-Matrix-Universe-Planet-Earth-NASA-Scientist
เอกภพของเราอาจเป็นเกมคอมพิวเตอร์แบบ Matrix ออกแบบโดยเอเลี่ยน นักวิทยาศาสตร์ NASA บอก
ยินดีต้อนรับสู่ The Matrix คุณอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต
ทุกๆสิ่งที่คุณเคยทำหรือจะทำ อาจเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ของโค้ดคอมพิวเตอร์อันก้าวล้ำ
ทุกๆความสัมพันธ์, ทุกๆความรู้สึก, ทุกๆความทรงจำอาจถูกสร้างขึ้นโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์
นี่คือทฤษฎีที่น่ากลัว ถูกเสนอเป็นครั้งแรกโดยนักปรัชญา นิก บอสทรอม
สมมุติฐานอันน่าตกตะลึงนี้ถูกเขียนขึ้นสี่ปีหลังจาก แอนดรู และ ลานา วาคอฟสกี เขียนบทและกำกับ The Matrix ภาพยนตร์ที่มีฉากในอนาคตแบบดิสโทเปียน(ตรงข้ามกับยูโทเปีย) ซึ่งมนุษย์ถูกควบคุมไว้ด้วยโลกความจริงที่ถูกจำลองขึ้นมา
ในงานวิจัยของเขา ดร.บอสทรอม เสนอว่าเผ่าพันธ์ุที่วิวัฒนาการไปอย่างมากอาจอยู่เบื้องหลังที่คุมขังดิจิทัลของเรา
สิ่งมีชีวิตในอนาคต มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น อาจกำลังใช้โลกความจริงเสมือนเพื่อจำลองช่วงเวลาในอดีต หรือเพื่อดูว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่กันอย่างไรบ้าง
ฟังดูบ้ามาก? ก็ไม่เชิงเพราะกลายเป็นว่า NASA คิดว่า ดร.บอสทรอม อาจจะถูก
ริช เทอไร ผู้อำนวยการของ Evolutionary Computation and Automated Design ที่ NASA ได้เปิดเผยออกมาเกี่ยวกับดิจิทัลซิมูเลชัน
“ตอนนี้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดของ NASA ประมวลผลได้ประมาณสองเท่าของความเร็วของสมองมนุษย์” นักวิทยาศาสตร์ NASA บอกกับ Vice
“ถ้าคุณคำนวณง่ายๆโดยใช้กฎของมัวร์ (ซึ่งอ้างคร่าวๆว่าคอมพิวเตอร์มีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆสองปี) คุณจะพบว่าภายในหนึ่งทศวรรษ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เหล่านี้จะมีความสามารถในการคำนวณทั้งช่วงชีวิตของมนุษย์ 80 ปี รวมทั้งความคิดทุกๆอย่างที่เคยมีระหว่างช่วงชีวิตนั้นได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน
“ในกลศาสตร์ควอนตัม อนุภาคไม่ได้มีสถานะที่แน่นอนเว้นเสียแต่ว่าพวกมันกำลังถูกสังเกต
“นักทฤษฎีหลายคนใช้เวลาไปมากมายเพื่อพยายามทำความเข้าใจว่าคุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี
“คำอธิบายหนึ่งนั่นคือพวกเรากำลังอยู่ในซิมูเลชัน เห็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเห็น ในเวลาที่เราจำเป็นต้องเห็น
“สิ่งที่ผมพบว่าสร้างแรงบันดาลใจคือ แม้ว่าเราจะอยู่ในซิมูเลชัน หรือหลายๆชั้นนลงไปในระดับของซิมูเลชัน ที่จุดๆหนึ่ง บางสิ่งได้ขึ้นมาจากโคลนตมยุคโบราณแล้วกลายมาเป็นตัวเรา และเกิดเป็นซิมูเลชันที่สร้างตัวเราขึ้นมา สุดยอดมาก”
แนวคิดที่ว่าเอกภพของเราเป็นเรื่องไม่จริง ถูกสร้างขึ้นโดยโค้ดคอมพิวเตอร์ ได้แก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องและปริศนาหลายๆอย่างเกี่ยวกับจักรวาล
อย่างแรกคือเฟอร์มิพาราด็อกซ์ เสนอโดยนักฟิสิกส์ เอนริโค เฟอร์มิ ระหว่างทศวรรษ 1960 ซึ่งเน้นย้ำความขัดแย้งระหว่างความน่าจะเป็นอย่างสูงของอารยธรรมต่างดาวภายในเอกภพที่กำลังขยายตัวของเรา และการที่มนุษย์ขาดการติดต่อด้วย หรือขาดหลักฐานสำหรับอาณานิคมเอเลี่ยนเหล่านี้
“ทุกคนไปอยู่ที่ไหนกันหมด?” เฟอร์มิ ถาม
อาจเป็นเพียงแค่ว่าโลกและมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางของเอกภพจริงๆก็ได้
ปริศนาอีกอย่างอธิบายโดยทฤษฎีแบบ Matrix ของ ดร.บอสทรอม คือบทบาทของสสารมืด
นักจักรวาลวิทยาทฤษฎีชาวสหรัฐ ไมเคิล เทอร์เนอร์ เรียกข้อสมมุติฐานนี้ว่า “ปริศนาที่ลึกซึ้งที่สุดของวิทยาศาสตร์ทั้งมวล”
สสารมืดคือหนึ่งในข้อสมมุติฐานหลายๆอย่างที่ใช้เพื่ออธิบายความไม่ปกติจำนวนหนึ่งในแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) ทฤษฎีครอบจักรวาลที่วิทยาศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายอนุภาคและแรงในธรรมชาติมา 50 ปี
แบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาคบอกเราว่ามีอนุภาคมูลฐานอยู่ 17 ชนิด ซึ่งสร้างอะตอมสสารขึ้นมา
ฮิกส์ โบซอนซึ่งถูกตั้งเป็นทฤษฎีโดยนักวิทยาศาสตร์ระหว่างทศวรรษ 1960 ก็อยู่ในอนุภาคมูลฐาน 17 ชนิดนี้
ในฤดูร้อน ปี 2012 นักวิทยาศาสตร์ที่ CERN สังเกตเห็นสิ่งที่ตอนนี้เชื่อกันว่าเป็น “อนุภาคพระเจ้า” ที่หายากนี้
แต่แบบจำลองมาตรฐานก็ยังไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติอันน่าฉงนจำนวนหนึ่งของเอกภพ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
สสารมืดนั้นเชื่อกันว่าเป็นสสารที่เหมือนสายใยซึ่งยึดสสารที่มองเห็นได้เข้าไว้ด้วยกัน
ถ้ามันมีอยู่จริง มันจะอธิบายว่าทำไมกาแล็กซี่ถึงหมุนด้วยความเร็วอย่างที่พวกมันเป็น บางสิ่งบางอย่างซึ่งยังคงอธิบายไม่ได้จากสิ่งที่เราสามารถสังเกตการณ์ได้ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
แบบจำลองมาตรฐานยังไม่มีคำอธิบายใดๆสำหรับแรงโน้มถ่วงด้วย
การมีอยู่ของสสารมืดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์นี้อาจถูกอธิบายได้ด้วยเอกภพเสมือนจริง
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแน่ใจกับคำอธิบายแบบ The Matrix
ศาสตราจารย์ ปีเตอร์ มิลลิแกน ซึ่งสอนปรัชญาและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด คิดว่าคำอธิบายโลกความจริงเสมือนนั้นบกพร่องอยู่
“ตัวทฤษฎีดูเหมือนตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า “superminds” จะทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีเดียวกับที่เราทำ” เขาบอก
“ถ้าพวกเขาคิดว่าโลกนี้คือซิมูเลชัน ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าพวก superminds ซึ่งอยู่นอกซิมูเลชัน จะถูกจำกัดด้วยความนึกคิดและวิธีการแบบเดียวกันกับเรา”
“พวกเขาทึกทักเอาว่าโครงสร้างสุดท้ายของโลกที่แท้จริงไม่ได้เป็นเหมือนตาราง และพวก supermind คงต้องสร้างโลกเสมือนโดยใช้ตาราง
“เราไม่สามารถสรุปว่าโครงสร้างตารางคือหลักฐานของโลกความจริงปลอมๆ เพียงเพราะว่าวิธีที่เราสร้างโลกความจริงปลอมๆนั้นเกี่ยวข้องกับตาราง”
ศาสตราจารย์มิลลิแกนเชื่อว่ามันคุ้มค่าในการสืบหาความจริงของแนวคิดนี้
“มันเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และมันก็ดีที่จะมีแนวคิดบ้าๆบ้าง” เขาบอก
“คุณไม่ได้ต้องการเซนเซอร์แนวคิดใดๆด้วยการดูว่าพวกมันฟังดูมีเหตุผลหรือไม่ เพราะว่าบางครั้งความก้าวหน้าใหม่ๆที่สำคัญก็ดูเหมือนเหลวไหลในตอนแรกๆ
“คุณไม่มีทางรู้ แนวคิดดีๆอาจมาจากการคิดนอกกรอบ
“การทดลองในความคิดแบบ Matrix นี้จริงๆแล้วคล้ายกับบางแนวคิดของเดการ์ต และเบิร์คลีย์ หลายร้อยปีก่อน
“ถ้าหากกลายเป็นว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณมีนิสัยคิดสิ่งเพี้ยนๆอาจหมายความว่า ณ จุดหนึ่งคุณกำลังคิดบางสิ่งที่ในตอนแรกอาจดูเหมือนค่อนข้างหลุดโลก แต่กลายเป็นว่าไม่ได้หลุดโลกเลยก็เป็นได้"
http://www.express.co.uk/life-style/science-technology/575653/The-Matrix-Universe-Planet-Earth-NASA-Scientist