ผู้เป็นสุข โดย อ.ก้องภพ พระคุณอุปถัมภ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มัทธิว 5
5:1 ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขา และเมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์
5:2 และพระองค์ทรงเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสสอนเขาว่า
5:3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกยากจนฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
5:4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5:5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
5:6 บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์
5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณา
5:8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
5:9 บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าจะได้เรียกเขาว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
5:10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
5:11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
5:12 จงชื่นชมยินดีและมีความเปรมปรีดิ์อย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านทั้งหลายในสวรรค์ก็ใหญ่ยิ่ง เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้พยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนพวกท่านเหมือนกัน
จาก มธ.5:1-12 คำเทศนาบนภูเขาถือเป็นคำเทศนาแรกที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงเทศนาอย่างเป็นทางการ และหัวข้อที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้แบ่งปันท่ามกลางสาวกของพระองค์ทั้ง 12 คน และท่ามกลางประชาชนอีกเป็นจำนวนมากในวันนั้นนั่นก็คือ ผู้เป็นสุข
จะพบคำว่า ผู้เป็นสุข นี้ถึง 9 ครั้งด้วยกัน
คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า คำว่า ความสุขกับคำว่า ผู้เป็นสุขนี้มีนัยยะหรือมีความหมายที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
คำว่า ความสุขมาจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา สิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่วัตถุมันอาจจะเป็นสถานการณ์ต่างๆก็ได้ ดังนั้น ความสุข ของมนุษย์จึงเป็นความสุขเพียงแค่ภายนอก
ส่วนคำว่าผู้เป็นสุข มาจากสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของมนุษย์และไหลออกมาสู่ภายนอก โดยไม่ต้องอาศัยสถานการณ์ หรือสิ่งต่างๆที่มนุษย์นั้นจะต้องสร้างมันขึ้นมา
ดังนั้นคำว่า ผู้เป็นสุข จึงมีนิยามที่อยู่เหนือกว่าคำว่า ความสุข
ดังนั้นคำว่า ผู้เป็นสุขจึงมีนิยามที่อยู่เหนือกว่า ความสุขอย่างแน่นอน มันเป็นความสุข ที่เกินคำบรรยาย นอกเสียจากเราได้มีประสบการณ์กับความสุข นั้นนั่นเอง
จากพระวจนะของพระเจ้าใน มธ.5:1-12 เราพบว่า องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ ได้ทรงประทานหนทางผู้เป็นสุขที่ชัดเจนแก่เรา 9 ประการ
ประการที่ 1 อยู่ใน มธ.5:3 บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข
คำว่า ผู้ใดเห็นความบกพร่องฝ่ายวิญญาณของตนเอง หมายความว่าอะไร ?
คำว่า ผู้ใดเห็นความบกพร่องฝ่ายวิญญาณของตนเอง คำนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าหมายถึง บุคคลใดก็ตามที่มองเห็นถึงความผิด - มองเห็นถึงความบาปของตนเอง ผู้นั่นแหละ เป็นสุข ส่วนบุคคลใดที่ยังมองไม่เห็นถึงความผิด ความบาปของตนเอง เขาจะเป็น ผู้มีสุข ได้ไหม
บุคคลที่ยังมองถูกเป็นผิด มองผิดเป็นถูก รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันผิด มันบาปแต่ไม่ยอมแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นก็เท่ากับว่า บุคคลผู้นั้นยังมองไม่เห็นถึงความผิด ความบาปของตนเอง เขาจึงเป็นผู้มีสุขไม่ได้
ลก. 7:36-38 เราพบว่ามีหญิงคนหนึ่งนามว่า นางมารีย์
นางมารีย์ คนนี้เธอเคยเป็นหญิงชั่วของเมืองนี้มาก่อน เมื่อนางมารีย์ทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาเสวยพระกระยาหารในบ้านของพวกฟาริสี นางมารีจึงถือ ผอบซึ่งภายในบรรจุ น้ำมันหอมที่มีราคาแพงมายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระเยซู
หญิงชั่วของเมืองคนนี้ เธอร้องไห้ คร่ำครวญ จนกระทั่งพระบาททั้งสองข้างของพระเยซูเปียกไปด้วยน้ำตาของเธอ หญิงชั่วคนนี้ได้เอาเส้นผมของเธอเช็ดลงที่พระบาทของพระเยซูจนแห้ง และหญิงชั่วคนนี้ได้ จุบลงที่พระบาทของพระเยซูทั้งสองข้างอีกหลายครั้ง หลายหนและนำเอาน้ำมันที่แพงที่สุดชโลมให้กับพระองค์
สิ่งที่นางมารีย์ได้แสดงออกโดยการกระทำนั้นทำให้เราทราบว่าหญิงชั่วคนนี้ เธอเข้าใจในความผิด ความบาปของตัวเอง หญิงชั่วคนนี้เธอรู้ว่าเธอเป็นคนที่บาปมาก บาปที่เธอทำนั้นไม่มีทางเข้าสู่สวรรค์ได้เลย หญิงชั่วคนนี้ เธออยากที่จะสารภาพบาป กลับใจใหม่กับพระเจ้า นั่นเอง
พระคำ ในข้อที่ 48-50 ตรัสว่า หญิงเอ๋ยบาปของเจ้าถูกยกแล้ว ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด
ประการที่ 2 อยู่ใน มธ.5:4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบประโลม
ปัจจุบันคนที่ทำผิดในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม นอกจากจะไม่ยอมรับผิดและขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปในแล้ว หลายๆคนสามารถที่จะยิ้มได้อย่างหน้าระรื่นในสังคม โดยที่เขาไม่มีรู้สึกเศร้าโศกหรือว่าเสียใจ ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป
หลายคนไปทำผิดกลับมาแล้วรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ สัญญากับตัวเอง สัญญากับครอบครัวอย่างดิบดี เป็นมั่น เป็นเหมาะ ว่าจะไม่กับไปทำผิดอีก แต่แล้วก็ยังกลับไปทำผิดอีกแล้วอย่างนี้จะ เป็นผู้มีสุข ได้ไหม...?
มธ.26:35 เปโตรทูลพระองค์ว่าถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
มธ.27:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ ว่าก่อนไก่ขันเจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์ยิ่งนัก
เปโตรเขาไม่ได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคน เปโตรเขาไม่ได้เป็นขโมยขโจร เปโตรไม่ได้เป็นฆาตกรใจโหดประเภทข่มขืนแล้วฆ่า
เปโตรแค่พูด แล้วเขาทำตามอย่างที่พูดเขาหรือทำตามอย่างที่เขาให้สัญญาไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง ท่าทีของเปโตรเป็นอย่างไร ? เศร้าโศก ร้องไห้ เสียใจ นั่นคือการ ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป
เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายใน ยน. 21 ทำให้เราทราบว่าพระองค์ทรงเลือกที่จะไปพบกับเปโตร และใน ยน. 21:5 ทำให้เราทราบว่า พระเยซูไม่ได้ทรงตรัสถามเปโตรถึงสัจจะที่เปโตรได้เคยพูดไว้ แต่พระเยซูทรงตรัสถามเปโตร ด้วยถ้อยคำ ที่แสดงออกถึงความรัก เมตตา และด้วยความห่วงใย
เมื่อเปโตรได้ยินถ้อยคำที่พระเยซูทรงตรัสกับเขาแล้ว คิดว่าเปโตร รู้สึกอบอุ่นขึ้นไหมครับ ?
ให้เรามีท่าทีอย่างเดียวกันกับเปโตร ซึ่งมิใช่เพียงแค่ขอโทษเท่านั้น แต่ให้เรามีใจที่จะสำนึกต่อความผิดนั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะทรงประเล้า ประโลมจิตใจของท่านเหมือนที่พระองค์ทรงประเล้าประโลมใจของเปโตร อย่างแน่นอน
ประการที่ 3 อยู่ใน มธ.5 : 5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
ยน.13:4-8 พระองค์ทรงลุกขึ้น เพื่อล้างเท้าให้กับพวกสาวกของพระองค์และพระองค์ทรงตรัสว่า สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่องแต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์ พระองค์จึงไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของแผ่นดินโลกและแผ่นสวรรค์เท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็น เจ้าของแผ่นดินในหัวใจ ของเราด้วย
มลค.1:6 บุตรก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา ในเช้าวันนี้ให้เราให้เกียรติแก่บิดาของเราโดยให้เราเป็นเหมือนกับพระองค์ นั่นคือ มีใจที่สุภาพและอ่อนโยน
ประการที่ 4 อยู่ใน มธ. 5 : 6 บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข
ลก.12:16-20 คิดว่า เศรษฐีคนนี้เขาหิวกระหายอะไรมากกว่ากันครับ ระหว่างทรัพย์สินเงินทองกับความชอบธรรม ?
พระคัมภีร์บอกกับเราว่า เศรษฐีคนนี้เขาหิวกระหายแต่ทรัพย์สมบัติทั้งๆที่เขาขาดหรือมีอยู่แล้วครับ ? ความคิดของเศรษฐีคนนี้เขาต้องการที่จะมีมากขึ้น
คนที่กินไม่รู้จักอิ่ม กินแล้วกินอีก เขาเรียกว่าคน ส่วนคนที่มีความต้องการไม่รู้จักพอถือว่าเป็น คนโลภปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะ ความโลภของคนนั่นเอง จริงมั้ยจริง
นายทุนหลายคนนะครับมีสิบล้านอยากจะมีร้อยล้าน มีร้อยล้านอยากจะมีพันล้าน มีพันล้านอยากมีหมื่นล้าน มีหมื่นล้านอยากมีแสนล้าน มีแสนล้านอยากมีล้านล้าน เศรษฐีคนที่ว่านี้ก็เช่นเดียวกัน ที่มีความโลภในทรัพย์สมบัติ
ข้อที่ 20 โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า
ถ้าได้ทรัพย์สมบัติทั้งโลกแต่เราจะต้องเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณ คุณเอามั้ยครับ ?
ความหมายในฝ่ายโลกคือ ถ้า ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติต่างๆ มากมาย แต่จะต้องเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ความหมายในฝ่ายวิญญาณคือ ถ้าได้ครอบครองทรัพย์สินเป็นจำนวนมากแต่ถ้าไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้ามีประโยชน์อะไรไหมครับ ?
ขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้แม้ว่าเราจะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายอะไร แต่ขอให้ได้รู้และได้มั่นใจเถิดว่าเราได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน
กจ.18:5 พอสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลก็เริ่มฝักใฝ่ในการประกาศพระวจนะและเป็นพยานแก่พวกชาวยิวว่าพระคริสต์นั้นคือพระเยซู
กจ.1:5 ทำให้เราทราบว่าอัครทูตเปาโล ท่านมีใจหิวกระหายความชอบธรรมของพระเจ้า โดยเริ่มฝักใฝ่ในการประกาศพระคำของพระเจ้า และเป็นพยานแก่ชาวยิวว่าพระคริสต์นั้นคือพระเยซู ซึ่งเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อเราทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้รับชีวิตอย่างครบบริบูรณ์
ประการที่ 5 อยู่ใน มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณาผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
มธ.18:21-35 ทำให้เราทราบว่า มีทาสคนหนึ่งที่ไม่ยอมอภัยให้ต่อเพื่อนทาสด้วยกัน คิดว่าทาสคนที่ไม่ยอมให้อภัยต่อเพื่อนทาสด้วยกันคนนี้ เขามีใจกรุณามั้ยครับ ?
อสย. 1:18 พระเจ้าตรัสว่า มาเถิดให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ
ผู้เป็นสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จาก มธ.5:1-12 คำเทศนาบนภูเขาถือเป็นคำเทศนาแรกที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงเทศนาอย่างเป็นทางการ และหัวข้อที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้แบ่งปันท่ามกลางสาวกของพระองค์ทั้ง 12 คน และท่ามกลางประชาชนอีกเป็นจำนวนมากในวันนั้นนั่นก็คือ ผู้เป็นสุข
จะพบคำว่า ผู้เป็นสุข นี้ถึง 9 ครั้งด้วยกัน
คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า คำว่า ความสุขกับคำว่า ผู้เป็นสุขนี้มีนัยยะหรือมีความหมายที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
คำว่า ความสุขมาจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา สิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่วัตถุมันอาจจะเป็นสถานการณ์ต่างๆก็ได้ ดังนั้น ความสุข ของมนุษย์จึงเป็นความสุขเพียงแค่ภายนอก
ส่วนคำว่าผู้เป็นสุข มาจากสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของมนุษย์และไหลออกมาสู่ภายนอก โดยไม่ต้องอาศัยสถานการณ์ หรือสิ่งต่างๆที่มนุษย์นั้นจะต้องสร้างมันขึ้นมา
ดังนั้นคำว่า ผู้เป็นสุข จึงมีนิยามที่อยู่เหนือกว่าคำว่า ความสุข
ดังนั้นคำว่า ผู้เป็นสุขจึงมีนิยามที่อยู่เหนือกว่า ความสุขอย่างแน่นอน มันเป็นความสุข ที่เกินคำบรรยาย นอกเสียจากเราได้มีประสบการณ์กับความสุข นั้นนั่นเอง
จากพระวจนะของพระเจ้าใน มธ.5:1-12 เราพบว่า องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ ได้ทรงประทานหนทางผู้เป็นสุขที่ชัดเจนแก่เรา 9 ประการ
ประการที่ 1 อยู่ใน มธ.5:3 บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข
คำว่า ผู้ใดเห็นความบกพร่องฝ่ายวิญญาณของตนเอง หมายความว่าอะไร ?
คำว่า ผู้ใดเห็นความบกพร่องฝ่ายวิญญาณของตนเอง คำนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าหมายถึง บุคคลใดก็ตามที่มองเห็นถึงความผิด - มองเห็นถึงความบาปของตนเอง ผู้นั่นแหละ เป็นสุข ส่วนบุคคลใดที่ยังมองไม่เห็นถึงความผิด ความบาปของตนเอง เขาจะเป็น ผู้มีสุข ได้ไหม
บุคคลที่ยังมองถูกเป็นผิด มองผิดเป็นถูก รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันผิด มันบาปแต่ไม่ยอมแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นก็เท่ากับว่า บุคคลผู้นั้นยังมองไม่เห็นถึงความผิด ความบาปของตนเอง เขาจึงเป็นผู้มีสุขไม่ได้
ลก. 7:36-38 เราพบว่ามีหญิงคนหนึ่งนามว่า นางมารีย์
นางมารีย์ คนนี้เธอเคยเป็นหญิงชั่วของเมืองนี้มาก่อน เมื่อนางมารีย์ทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาเสวยพระกระยาหารในบ้านของพวกฟาริสี นางมารีจึงถือ ผอบซึ่งภายในบรรจุ น้ำมันหอมที่มีราคาแพงมายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระเยซู
หญิงชั่วของเมืองคนนี้ เธอร้องไห้ คร่ำครวญ จนกระทั่งพระบาททั้งสองข้างของพระเยซูเปียกไปด้วยน้ำตาของเธอ หญิงชั่วคนนี้ได้เอาเส้นผมของเธอเช็ดลงที่พระบาทของพระเยซูจนแห้ง และหญิงชั่วคนนี้ได้ จุบลงที่พระบาทของพระเยซูทั้งสองข้างอีกหลายครั้ง หลายหนและนำเอาน้ำมันที่แพงที่สุดชโลมให้กับพระองค์
สิ่งที่นางมารีย์ได้แสดงออกโดยการกระทำนั้นทำให้เราทราบว่าหญิงชั่วคนนี้ เธอเข้าใจในความผิด ความบาปของตัวเอง หญิงชั่วคนนี้เธอรู้ว่าเธอเป็นคนที่บาปมาก บาปที่เธอทำนั้นไม่มีทางเข้าสู่สวรรค์ได้เลย หญิงชั่วคนนี้ เธออยากที่จะสารภาพบาป กลับใจใหม่กับพระเจ้า นั่นเอง
พระคำ ในข้อที่ 48-50 ตรัสว่า หญิงเอ๋ยบาปของเจ้าถูกยกแล้ว ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด
ประการที่ 2 อยู่ใน มธ.5:4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบประโลม
ปัจจุบันคนที่ทำผิดในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม นอกจากจะไม่ยอมรับผิดและขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปในแล้ว หลายๆคนสามารถที่จะยิ้มได้อย่างหน้าระรื่นในสังคม โดยที่เขาไม่มีรู้สึกเศร้าโศกหรือว่าเสียใจ ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป
หลายคนไปทำผิดกลับมาแล้วรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ สัญญากับตัวเอง สัญญากับครอบครัวอย่างดิบดี เป็นมั่น เป็นเหมาะ ว่าจะไม่กับไปทำผิดอีก แต่แล้วก็ยังกลับไปทำผิดอีกแล้วอย่างนี้จะ เป็นผู้มีสุข ได้ไหม...?
มธ.26:35 เปโตรทูลพระองค์ว่าถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
มธ.27:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ ว่าก่อนไก่ขันเจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์ยิ่งนัก
เปโตรเขาไม่ได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคน เปโตรเขาไม่ได้เป็นขโมยขโจร เปโตรไม่ได้เป็นฆาตกรใจโหดประเภทข่มขืนแล้วฆ่า
เปโตรแค่พูด แล้วเขาทำตามอย่างที่พูดเขาหรือทำตามอย่างที่เขาให้สัญญาไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง ท่าทีของเปโตรเป็นอย่างไร ? เศร้าโศก ร้องไห้ เสียใจ นั่นคือการ ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป
เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายใน ยน. 21 ทำให้เราทราบว่าพระองค์ทรงเลือกที่จะไปพบกับเปโตร และใน ยน. 21:5 ทำให้เราทราบว่า พระเยซูไม่ได้ทรงตรัสถามเปโตรถึงสัจจะที่เปโตรได้เคยพูดไว้ แต่พระเยซูทรงตรัสถามเปโตร ด้วยถ้อยคำ ที่แสดงออกถึงความรัก เมตตา และด้วยความห่วงใย
เมื่อเปโตรได้ยินถ้อยคำที่พระเยซูทรงตรัสกับเขาแล้ว คิดว่าเปโตร รู้สึกอบอุ่นขึ้นไหมครับ ?
ให้เรามีท่าทีอย่างเดียวกันกับเปโตร ซึ่งมิใช่เพียงแค่ขอโทษเท่านั้น แต่ให้เรามีใจที่จะสำนึกต่อความผิดนั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะทรงประเล้า ประโลมจิตใจของท่านเหมือนที่พระองค์ทรงประเล้าประโลมใจของเปโตร อย่างแน่นอน
ประการที่ 3 อยู่ใน มธ.5 : 5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
ยน.13:4-8 พระองค์ทรงลุกขึ้น เพื่อล้างเท้าให้กับพวกสาวกของพระองค์และพระองค์ทรงตรัสว่า สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่องแต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์ พระองค์จึงไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของแผ่นดินโลกและแผ่นสวรรค์เท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็น เจ้าของแผ่นดินในหัวใจ ของเราด้วย
มลค.1:6 บุตรก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา ในเช้าวันนี้ให้เราให้เกียรติแก่บิดาของเราโดยให้เราเป็นเหมือนกับพระองค์ นั่นคือ มีใจที่สุภาพและอ่อนโยน
ประการที่ 4 อยู่ใน มธ. 5 : 6 บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข
ลก.12:16-20 คิดว่า เศรษฐีคนนี้เขาหิวกระหายอะไรมากกว่ากันครับ ระหว่างทรัพย์สินเงินทองกับความชอบธรรม ?
พระคัมภีร์บอกกับเราว่า เศรษฐีคนนี้เขาหิวกระหายแต่ทรัพย์สมบัติทั้งๆที่เขาขาดหรือมีอยู่แล้วครับ ? ความคิดของเศรษฐีคนนี้เขาต้องการที่จะมีมากขึ้น
คนที่กินไม่รู้จักอิ่ม กินแล้วกินอีก เขาเรียกว่าคน ส่วนคนที่มีความต้องการไม่รู้จักพอถือว่าเป็น คนโลภปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะ ความโลภของคนนั่นเอง จริงมั้ยจริง
นายทุนหลายคนนะครับมีสิบล้านอยากจะมีร้อยล้าน มีร้อยล้านอยากจะมีพันล้าน มีพันล้านอยากมีหมื่นล้าน มีหมื่นล้านอยากมีแสนล้าน มีแสนล้านอยากมีล้านล้าน เศรษฐีคนที่ว่านี้ก็เช่นเดียวกัน ที่มีความโลภในทรัพย์สมบัติ
ข้อที่ 20 โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า
ถ้าได้ทรัพย์สมบัติทั้งโลกแต่เราจะต้องเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณ คุณเอามั้ยครับ ?
ความหมายในฝ่ายโลกคือ ถ้า ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติต่างๆ มากมาย แต่จะต้องเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ความหมายในฝ่ายวิญญาณคือ ถ้าได้ครอบครองทรัพย์สินเป็นจำนวนมากแต่ถ้าไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้ามีประโยชน์อะไรไหมครับ ?
ขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้แม้ว่าเราจะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายอะไร แต่ขอให้ได้รู้และได้มั่นใจเถิดว่าเราได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน
กจ.18:5 พอสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลก็เริ่มฝักใฝ่ในการประกาศพระวจนะและเป็นพยานแก่พวกชาวยิวว่าพระคริสต์นั้นคือพระเยซู
กจ.1:5 ทำให้เราทราบว่าอัครทูตเปาโล ท่านมีใจหิวกระหายความชอบธรรมของพระเจ้า โดยเริ่มฝักใฝ่ในการประกาศพระคำของพระเจ้า และเป็นพยานแก่ชาวยิวว่าพระคริสต์นั้นคือพระเยซู ซึ่งเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อเราทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้รับชีวิตอย่างครบบริบูรณ์
ประการที่ 5 อยู่ใน มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณาผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
มธ.18:21-35 ทำให้เราทราบว่า มีทาสคนหนึ่งที่ไม่ยอมอภัยให้ต่อเพื่อนทาสด้วยกัน คิดว่าทาสคนที่ไม่ยอมให้อภัยต่อเพื่อนทาสด้วยกันคนนี้ เขามีใจกรุณามั้ยครับ ?
อสย. 1:18 พระเจ้าตรัสว่า มาเถิดให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ