[Loser Voice] ปัญหาสลากแพง : ปราบยี่ปั๊วก็ดีแล้ว แต่เพิ่มราคาเป็น 90 บาทด้วยเถิด ไม่งั้นใครจะอยู่ได้?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
“..ทั้งนี้ค่าแรงขั้นต่ำคนไทย 300 บาท 1 เดือน ได้ 9 พันบาท หมายถึง 30 วันคูณ 300 บาท ซึ่งท่านทำงาน 30 วัน แต่จำหน่ายสลากกินแบ่งทำงานไม่เกิน 10-12 วันต่อเดือน ท่านอาจจะได้ 7,000-8,000 บาท ท่านควรจะมองตรงนี้เป็นอาชีพเสริมไม่ใช่อาชีพหลัก”
.
( ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์
“ผู้การแดง” พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานบอร์ดกองสลาก ในรายการ
“ชั่วโมงที่26” ช่อง NOW26 เครือเนชั่น - ที่มา :
http://www.komchadluek.net/detail/20150521/206640.html )
.
จริงๆ ก่อนอื่นผมต้องขอชมแนวทางการแก้ไขปัญหาหวยแพงของ คสช. นะครับ เพราะหากนับจากนโยบายหวยบนดิน สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่ขายตัดราคาหวยสลากจนต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่ทำให้บรรดาเสือนอนกินทั้งหลายอกสั่นขวัญหายได้อีกเลย กระทั่งวันนี้เมื่อกองสลากนำโดยผู้การแดงเอาจริง ถึงขนาดขู่ยึดโควตาบรรดายี่ปั๊วทั้งหลายที่เอาสลากมาปล่อยขายรายย่อยในราคาแพง ทำให้รายย่อยต้องนำไปขายเกินกว่าราคาหน้าสลากใบละ 80 บาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังจะใช้ทั้งมาตรการทางภาษี รวมถึงกฎหมายฟอกเงินจัดการอีก ราวกับคนกลุ่มนี้เป็นมาเฟียหรือผู้ก่อการร้ายกันเลยทีเดียว แถมยัง
“ใจป้ำ” ด้วยการลดราคาหน้ากองสลาก จากใบละ 74.40 บาท เหลือใบละ 70.40 บาท หวังให้รายย่อยได้กำไรมากขึ้น
.
อย่างที่บอกครับ..แนวทางท่านดีมาก ดีจริง แต่ดูเหมือนท่านจะไม่เข้าใจอาชีพขายล็อตเตอรี่ รวมถึงบริบทชีวิตจริงๆ ของสังคมไทย จึงกล่าวว่าอาชีพนี้ควรเป็นอาชีพเสริม ยิ่งเมื่อไปรวมกับความเห็นของบอร์ดกองสลากบางท่าน ที่เชื่อว่าโควตา 5 เล่มต่อคนนั้นเพียงพอแล้ว และย้ำเรื่องที่บอกว่าควรเป็นอาชีพเสริม ทั้งที่บอร์ดนั้นท่านนั้นได้ชื่อเป็นนักนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่มักออกมาแถลงดัชนีเศรษฐกิจภาคต่างๆ ผ่านสื่อเป็นประจำ ยิ่งทำให้เห็นว่าท่านขาดความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับหวยและสังคมไทยอย่างแรง
.
ทำไมความคิดที่บอกว่า
“การขายสลากควรเป็นอาชีพเสริม” ผมถึงบอกว่าผิด? ตรงนี้ท่านผู้อ่านคงทราบดี ไม่ต้องใช้งานวิจัยที่ไหน แค่ดูด้วยตาก็เห็นแล้ว ว่าทุกที่ที่มีการขายสลาก ผู้ค้ามักจะอยู่ในวัยกลางคน อายุ 40 ปีขึ้นไป ในกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อย อายุมากกว่า 55 ปี อันเป็นวัยเริ่มเกษียณกันแล้ว และหลายรายก็เป็นผู้พิการ ซึ่งในสังคมไทย ยอมรับกันเถอะครับ ไม่ต้องโลกสวยหรอก ว่าเรามองคนกลุ่มนี้เป็น
“ภาระ” จริงๆ แม้กระทั่งคนวัยนี้ที่จบการศึกษาสูง ระดับปริญญาบัตรขึ้นไปก็เถอะ หากตกงานก็ยังหางานใหม่แทบจะไม่ได้ ผู้ประกอบการมักไม่นิยมจ้าง เพราะอายุเยอะ จะจ่ายค่าแรง-เงินเดือนน้อยๆ ก็ไม่ได้ แถมรู้มากอีกต่างหาก สู้จ้างเด็กใหม่ๆ ดีกว่า ค่าแรงก็จ่ายน้อย แถมคุมได้ไม่อือไม่หือ ยิ่งตอนนี้ที่แรงงานมีทักษะฝีมือ ทั้งภาค Office และภาคโรงงานมีมากขึ้น เพราะเด็กรุ่นหลังเรียนสูงขึ้น ( เด็ก ตจว. บ้านนอก อย่างน้อยๆ สมัยนี้ก็จบ ปวช. ไม่ก็ ม.6 กันแล้วนะครับ ) ยิ่งมีตัวเลือกมากขึ้นไปอีก
.
หลายครั้งในชุมชนออนไลน์ เวลามีคนตั้งกระทู้ตกงานตอน 35+ ถึงได้มีแต่คำแนะนำให้ไปเปิดร้านขายของ นั่นแหละครับนี่ความเป็นจริงของสังคมเรา!!!
.
แล้วจะนับประสาอะไรสำหรับผู้สูงอายุในยุคก่อน อย่าลืมนะครับว่าคนที่อายุ 40+ ซึ่งขายหวยกันอยู่ทุกวันนี้ เกิดมาในยุคที่ประเทศไทยค่อนข้าง
“เหลื่อมล้ำ” การศึกษาไม่ได้เข้าถึงทุกพื้นที่นะครับ ไหนจะสมัยก่อนที่ค่านิยมคนไทยยังชอบมีลูกหลายคน เมื่อมีแล้วแต่ฐานะไม่ดี ก็ต้องเลือกให้ลูกเพียงบางคนเท่านั้นได้เรียน แถมส่งเรียนได้ไม่สูงนักอีกต่างหาก สมัยนั้นนับหัวได้เลย ไม่ต้องจบถึงปริญญาบัตรก็ได้ แค่ ปวช. หรือ ม.6 นี่ก็ถือว่าสูงมากแล้ว ไม่ใช่ ป.ตรี ป.โท ป.เอก เกร่อจนเดินชนกันอย่างตอนนี้ เมื่อเรียนไม่สูง งานที่ทำก็ต้องใช้แรงกาย บางคนไม่มีภาระมาก พอเก็บเงินได้ก็ออกรถมาขับแท็กซี่ แต่บางคนมีภาระมาก ก็ต้องทนทำไป จนเริ่มเข้าวัยกลางคน นายจ้างก็หาเรื่องให้ออก เพราะแรงกายไม่เท่าสมัยหนุ่มสาวแล้ว
.
แล้วเมื่อออกมาจะให้ทำอะไร? บางคนบอกกลัยไปทำนา-ทำสวน ตรงนี้ผู้พูดก็คงไม่เข้าใจความเป็นจริงอีก เพราะงานเกษตรสำหรับรายย่อย ทำให้ตายก็ไม่รวยหรอกครับ สุดท้ายก็ต้องมาขายล็อตเตอรี่เอาในบั้นปลายชีวิตเนี่ยแหละ นี่คนปกติครบ 32 นะครับ ยิ่งคนพิการยิ่งลำบากไปใหญ่ บ้านเราพิการเมื่อไรนี่หมดอนาคตทันที ต้องไปขอทานไม่ก็ต้องขายล็อตเตอรี่เท่านั้น บอกแล้วไงเราเห็นพวกเขาเป็นภาระ เราไม่ได้เห็นพวกเขาเป็น
“พลัง” ที่มีศักยภาพเท่าเทียมคนทั่วไป..เหมือนอย่างแนวคิดในยุโรปที่เขาเป็นเขาคิดกัน
.
แล้วทำไมความคิดที่บอกว่า
“โควตา 5 เล่มเพียงพอต่อการดำรงชีพ” ผมถึงบอกว่าก็ผิดอีก? ผมเดาว่าท่านทั้งหลายในบอร์ดกองสลาก คงคำนวณบนฐานที่เชื่อว่า
“ทุกคนจะสลากขายได้หมด” เช่น ต้นทุนสลากใบละ 70.40 บาท หากนำมาขายใบละ 80 บาท จะได้กำไรใบละ 9.60 บาท ใบเล่มมี 100 ใบ ได้กำไรเล่มละ 960 บาท แต่ละคนได้งวดละ 5 เล่ม ก็จะได้กำไรงวดละ 4,800 บาท 1 เดือนขาย 2 งวด จะมีรายได้เดือนละ 9,600 บาท เทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำ แต่ในความเป็นจริง ต้องบอกว่า
“เป็นไปไม่ได้ที่จะขายได้หมด” เพราะหวยนั้นเลขต้องสวย เลขต้องเป็นกระแสถึงจะมีคนซื้อ นักเสี่ยงโชคนั้นถ้าเป็นเลขที่เขาเชื่อมั่น จะขายแพงแค่ไหนเขาก็ซื้อครับ แต่ถ้าเป็นเลขที่เขาไม่เชื่อมั่น ขายถูกยังไงเขาก็ไม่ซื้อ ดังที่เป็นข่าวว่าเวลามีเหตุการณ์สำคัญ เลขบางตัวราคาขายทะลุไปถึงใบละ 200 บาทก็มีมาแล้ว
.
ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว..รายได้ของการขายสลากแต่ละเดือน จึงอยู่ที่ 6,000-8,000 บาท ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียอีกนะครับ ยิ่งบอร์ดกองสลาก ยกเลิกแนวคิดที่จะเจียดงบส่วนหนึ่งมาซื้อสลากที่ขายไม่หมดกลับคืนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้ค้ารายย่อยลำบากกันไปใหญ่
.
ขนาดคนทั่วไปบอกว่าทุกวันนี้เงินเดือนหมื่นห้ายังไม่พอ..แล้วนี่ได้แค่หกพันถึงแปดพัน..พอหรือไม่คงคิดได้!!!
.
นี่แหละครับความเป็นจริง..ท่านแก้เรื่องยี่ปั๊วได้ก็ดี แต่ถ้าจะแก้ให้สุด ต้องทำให้รายย่อยอยู่ได้ด้วย ทีนี้ทำไมสมัยหวยบนดิน ผู้ค้าสลากรายย่อยไม่เดือดร้อน ก็เพราะสมัยนั้นผู้ค้ารายย่อยขายทั้งหวยสลากและหวยบนดิน เรียกว่ากิน 2 ทาง คนที่เดือดร้อนจริงๆ คือบรรดาเจ้ามือหวยใต้ดินครับ ฟุบกันเป็นแถวเลย ดังนั้นหวยบนดินจึงเป็นทางแก้ประการหนึ่ง หากมองว่าหวยบนดินเป็นบ่อเกิดของการทุจริต ท่านก็แก้ไขกฏระเบียบให้รัดกุมกันไป
.
แต่ถ้าท่านมองว่าหวยบนดินเป็นนโยบายของ
“คนคนนั้น” คนที่อยากให้สังคมไทยลืม จึงไม่อยากเอามาใช้ ผมก็แนะนำว่าท่านควรยอม
“ขึ้นราคาสลาก” นะครับ ไม่ต้องขึ้นเยอะ เป็นใบละ 90 บาทก็พอ เพราะผู้ค้ารายย่อย จะได้กำไรใบละ 19.60 บาท ถ้าคิดแบบโลกสวยสุดๆ แบบที่ท่านคิด 1 เล่ม จะได้กำไร 1,960 บาท 5 เล่มต่องวด ได้กำไรงวดละ 9,800 บาท 1 เดือนมี 2 งวด ได้กำไรเดือนละ 19,600 บาท
.
แต่ย้ำนะครับ ตัวเลขนี้ผมบอกแล้วว่าโลกสวย ไม่มีทางทำได้เลยในความเป็นจริง ฉะนั้นบรรดามนุษย์เงินเดือน ( โดยเฉพาะพวกชนชั้นกลางผู้ดีหน้าจอทั้งหลาย ) ไม่ต้องอิจฉาตาร้อนหรอก ได้แค่ 3 เล่มนิดๆ ก็หรูแล้ว เอ้าผมลองคิดให้ต่ำที่สุดดูด้วยการหาร 2 ก็เหลือเดือนละ 9,800 บาท หรือเฉลี่ยผมให้เดือนละ 9,000-12,000 บาท นี่สิครับจึงจะใกล้เคียงกับค่าจ้างขั้นต่ำจริงๆ ก็ยังพอจะถูๆ ไถๆ อยู่กันไปได้กับค่าครองชีพทุกวันนี้ ถึงได้มากกว่านี้ก็คงขายไม่หมดหรอกครับ เพราะไม่ใช่ทุกเลขที่จะมีคนต้องการ
.
ที่สำคัญหวยล็อตเตอรี่นี่มันก็ไม่ใช่สินค้าที่จำเป็นกับชีวิต ไม่ซื้อก็ไม่ตาย ทีบัตรคอนเสิร์ตใบละหลายพัน คนชั้นกลางทั้งหลายยังซื้อกันได้ หรือกาแฟแก้วละเป็นร้อยก็ยังซื้อกันได้ ผมว่าแค่สลากขึ้นราคาแค่ใบละ 10 บาท ขนหน้าแข้งก็คงไม่เดือดร้อนหรอกครับ ถ้าคิดว่ามันแพงก็ไม่ต้องซื้อ ดีเสียอีก จะได้ไม่เสียเงินไปกับเรื่องงมงาย
.
แก้ปัญหาต้องมองทั้งสองทาง คนที่ตกหล่นจากยุคเก่าแบบนี้ยังเหลือเยอะ ถ้าทำอะไรแบบหักดิบพวกเขาก็ย่อมเดือดร้อน ขนาดสมัยที่บ้านเราจะเลิกทาสกันใหม่ๆ ก็เป็นคนยุคเก่าที่ตกหล่นในสมัยนั้นเนี่ยแหละ มีไม่น้อยเลยที่ไม่อยากให้เลิก เพราะตัวเองอายุมากแล้ว การศึกษาก็น้อย พอไม่เป็นทาสก็เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน ชีวิตคุ้นเคยกับการเป็นทาสอย่างเดียว ไม่เหมือนกับคนหนุ่มสาวที่ยังมีเรี่ยวแรงไปทำงาน บุกเบิกหักร้างถางพงทำเกษตรหรือไปเป็นแรงงานได้ ก็เหมือนคนยุคเก่าที่ตกหล่นในสมัยนี้ ไม่อาจจะไปทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากขายหวย เพราะตรงไหนๆ ก็ถูกจับจองด้วยคนหนุ่มสาว ที่พร้อมกว่าทั้งเรี่ยวแรงและคุณวุฒิการศึกษา
.
เพิ่มราคาหวยอีก 10 บาท เป็น 90 บาท ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่แท้จริงเถอะครับ ขนาดค่าจ้างและสินค้าอื่นๆ ยังปรับราคากันได้ตามสภาวะเศรษฐกิจเลย
.
แล้วพบกันใหม่..สวัสดีครับ
.
-----------------------------------------
[Loser Voice] ปัญหาสลากแพง : ปราบยี่ปั๊วก็ดีแล้ว แต่เพิ่มราคาเป็น 90 บาทด้วยเถิด ไม่งั้นใครจะอยู่ได้?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
“..ทั้งนี้ค่าแรงขั้นต่ำคนไทย 300 บาท 1 เดือน ได้ 9 พันบาท หมายถึง 30 วันคูณ 300 บาท ซึ่งท่านทำงาน 30 วัน แต่จำหน่ายสลากกินแบ่งทำงานไม่เกิน 10-12 วันต่อเดือน ท่านอาจจะได้ 7,000-8,000 บาท ท่านควรจะมองตรงนี้เป็นอาชีพเสริมไม่ใช่อาชีพหลัก”
.
( ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ “ผู้การแดง” พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานบอร์ดกองสลาก ในรายการ “ชั่วโมงที่26” ช่อง NOW26 เครือเนชั่น - ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20150521/206640.html )
.
จริงๆ ก่อนอื่นผมต้องขอชมแนวทางการแก้ไขปัญหาหวยแพงของ คสช. นะครับ เพราะหากนับจากนโยบายหวยบนดิน สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่ขายตัดราคาหวยสลากจนต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่ทำให้บรรดาเสือนอนกินทั้งหลายอกสั่นขวัญหายได้อีกเลย กระทั่งวันนี้เมื่อกองสลากนำโดยผู้การแดงเอาจริง ถึงขนาดขู่ยึดโควตาบรรดายี่ปั๊วทั้งหลายที่เอาสลากมาปล่อยขายรายย่อยในราคาแพง ทำให้รายย่อยต้องนำไปขายเกินกว่าราคาหน้าสลากใบละ 80 บาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังจะใช้ทั้งมาตรการทางภาษี รวมถึงกฎหมายฟอกเงินจัดการอีก ราวกับคนกลุ่มนี้เป็นมาเฟียหรือผู้ก่อการร้ายกันเลยทีเดียว แถมยัง “ใจป้ำ” ด้วยการลดราคาหน้ากองสลาก จากใบละ 74.40 บาท เหลือใบละ 70.40 บาท หวังให้รายย่อยได้กำไรมากขึ้น
.
อย่างที่บอกครับ..แนวทางท่านดีมาก ดีจริง แต่ดูเหมือนท่านจะไม่เข้าใจอาชีพขายล็อตเตอรี่ รวมถึงบริบทชีวิตจริงๆ ของสังคมไทย จึงกล่าวว่าอาชีพนี้ควรเป็นอาชีพเสริม ยิ่งเมื่อไปรวมกับความเห็นของบอร์ดกองสลากบางท่าน ที่เชื่อว่าโควตา 5 เล่มต่อคนนั้นเพียงพอแล้ว และย้ำเรื่องที่บอกว่าควรเป็นอาชีพเสริม ทั้งที่บอร์ดนั้นท่านนั้นได้ชื่อเป็นนักนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่มักออกมาแถลงดัชนีเศรษฐกิจภาคต่างๆ ผ่านสื่อเป็นประจำ ยิ่งทำให้เห็นว่าท่านขาดความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับหวยและสังคมไทยอย่างแรง
.
ทำไมความคิดที่บอกว่า “การขายสลากควรเป็นอาชีพเสริม” ผมถึงบอกว่าผิด? ตรงนี้ท่านผู้อ่านคงทราบดี ไม่ต้องใช้งานวิจัยที่ไหน แค่ดูด้วยตาก็เห็นแล้ว ว่าทุกที่ที่มีการขายสลาก ผู้ค้ามักจะอยู่ในวัยกลางคน อายุ 40 ปีขึ้นไป ในกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อย อายุมากกว่า 55 ปี อันเป็นวัยเริ่มเกษียณกันแล้ว และหลายรายก็เป็นผู้พิการ ซึ่งในสังคมไทย ยอมรับกันเถอะครับ ไม่ต้องโลกสวยหรอก ว่าเรามองคนกลุ่มนี้เป็น “ภาระ” จริงๆ แม้กระทั่งคนวัยนี้ที่จบการศึกษาสูง ระดับปริญญาบัตรขึ้นไปก็เถอะ หากตกงานก็ยังหางานใหม่แทบจะไม่ได้ ผู้ประกอบการมักไม่นิยมจ้าง เพราะอายุเยอะ จะจ่ายค่าแรง-เงินเดือนน้อยๆ ก็ไม่ได้ แถมรู้มากอีกต่างหาก สู้จ้างเด็กใหม่ๆ ดีกว่า ค่าแรงก็จ่ายน้อย แถมคุมได้ไม่อือไม่หือ ยิ่งตอนนี้ที่แรงงานมีทักษะฝีมือ ทั้งภาค Office และภาคโรงงานมีมากขึ้น เพราะเด็กรุ่นหลังเรียนสูงขึ้น ( เด็ก ตจว. บ้านนอก อย่างน้อยๆ สมัยนี้ก็จบ ปวช. ไม่ก็ ม.6 กันแล้วนะครับ ) ยิ่งมีตัวเลือกมากขึ้นไปอีก
.
หลายครั้งในชุมชนออนไลน์ เวลามีคนตั้งกระทู้ตกงานตอน 35+ ถึงได้มีแต่คำแนะนำให้ไปเปิดร้านขายของ นั่นแหละครับนี่ความเป็นจริงของสังคมเรา!!!
.
แล้วจะนับประสาอะไรสำหรับผู้สูงอายุในยุคก่อน อย่าลืมนะครับว่าคนที่อายุ 40+ ซึ่งขายหวยกันอยู่ทุกวันนี้ เกิดมาในยุคที่ประเทศไทยค่อนข้าง “เหลื่อมล้ำ” การศึกษาไม่ได้เข้าถึงทุกพื้นที่นะครับ ไหนจะสมัยก่อนที่ค่านิยมคนไทยยังชอบมีลูกหลายคน เมื่อมีแล้วแต่ฐานะไม่ดี ก็ต้องเลือกให้ลูกเพียงบางคนเท่านั้นได้เรียน แถมส่งเรียนได้ไม่สูงนักอีกต่างหาก สมัยนั้นนับหัวได้เลย ไม่ต้องจบถึงปริญญาบัตรก็ได้ แค่ ปวช. หรือ ม.6 นี่ก็ถือว่าสูงมากแล้ว ไม่ใช่ ป.ตรี ป.โท ป.เอก เกร่อจนเดินชนกันอย่างตอนนี้ เมื่อเรียนไม่สูง งานที่ทำก็ต้องใช้แรงกาย บางคนไม่มีภาระมาก พอเก็บเงินได้ก็ออกรถมาขับแท็กซี่ แต่บางคนมีภาระมาก ก็ต้องทนทำไป จนเริ่มเข้าวัยกลางคน นายจ้างก็หาเรื่องให้ออก เพราะแรงกายไม่เท่าสมัยหนุ่มสาวแล้ว
.
แล้วเมื่อออกมาจะให้ทำอะไร? บางคนบอกกลัยไปทำนา-ทำสวน ตรงนี้ผู้พูดก็คงไม่เข้าใจความเป็นจริงอีก เพราะงานเกษตรสำหรับรายย่อย ทำให้ตายก็ไม่รวยหรอกครับ สุดท้ายก็ต้องมาขายล็อตเตอรี่เอาในบั้นปลายชีวิตเนี่ยแหละ นี่คนปกติครบ 32 นะครับ ยิ่งคนพิการยิ่งลำบากไปใหญ่ บ้านเราพิการเมื่อไรนี่หมดอนาคตทันที ต้องไปขอทานไม่ก็ต้องขายล็อตเตอรี่เท่านั้น บอกแล้วไงเราเห็นพวกเขาเป็นภาระ เราไม่ได้เห็นพวกเขาเป็น “พลัง” ที่มีศักยภาพเท่าเทียมคนทั่วไป..เหมือนอย่างแนวคิดในยุโรปที่เขาเป็นเขาคิดกัน
.
แล้วทำไมความคิดที่บอกว่า “โควตา 5 เล่มเพียงพอต่อการดำรงชีพ” ผมถึงบอกว่าก็ผิดอีก? ผมเดาว่าท่านทั้งหลายในบอร์ดกองสลาก คงคำนวณบนฐานที่เชื่อว่า “ทุกคนจะสลากขายได้หมด” เช่น ต้นทุนสลากใบละ 70.40 บาท หากนำมาขายใบละ 80 บาท จะได้กำไรใบละ 9.60 บาท ใบเล่มมี 100 ใบ ได้กำไรเล่มละ 960 บาท แต่ละคนได้งวดละ 5 เล่ม ก็จะได้กำไรงวดละ 4,800 บาท 1 เดือนขาย 2 งวด จะมีรายได้เดือนละ 9,600 บาท เทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำ แต่ในความเป็นจริง ต้องบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะขายได้หมด” เพราะหวยนั้นเลขต้องสวย เลขต้องเป็นกระแสถึงจะมีคนซื้อ นักเสี่ยงโชคนั้นถ้าเป็นเลขที่เขาเชื่อมั่น จะขายแพงแค่ไหนเขาก็ซื้อครับ แต่ถ้าเป็นเลขที่เขาไม่เชื่อมั่น ขายถูกยังไงเขาก็ไม่ซื้อ ดังที่เป็นข่าวว่าเวลามีเหตุการณ์สำคัญ เลขบางตัวราคาขายทะลุไปถึงใบละ 200 บาทก็มีมาแล้ว
.
ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว..รายได้ของการขายสลากแต่ละเดือน จึงอยู่ที่ 6,000-8,000 บาท ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียอีกนะครับ ยิ่งบอร์ดกองสลาก ยกเลิกแนวคิดที่จะเจียดงบส่วนหนึ่งมาซื้อสลากที่ขายไม่หมดกลับคืนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้ค้ารายย่อยลำบากกันไปใหญ่
.
ขนาดคนทั่วไปบอกว่าทุกวันนี้เงินเดือนหมื่นห้ายังไม่พอ..แล้วนี่ได้แค่หกพันถึงแปดพัน..พอหรือไม่คงคิดได้!!!
.
นี่แหละครับความเป็นจริง..ท่านแก้เรื่องยี่ปั๊วได้ก็ดี แต่ถ้าจะแก้ให้สุด ต้องทำให้รายย่อยอยู่ได้ด้วย ทีนี้ทำไมสมัยหวยบนดิน ผู้ค้าสลากรายย่อยไม่เดือดร้อน ก็เพราะสมัยนั้นผู้ค้ารายย่อยขายทั้งหวยสลากและหวยบนดิน เรียกว่ากิน 2 ทาง คนที่เดือดร้อนจริงๆ คือบรรดาเจ้ามือหวยใต้ดินครับ ฟุบกันเป็นแถวเลย ดังนั้นหวยบนดินจึงเป็นทางแก้ประการหนึ่ง หากมองว่าหวยบนดินเป็นบ่อเกิดของการทุจริต ท่านก็แก้ไขกฏระเบียบให้รัดกุมกันไป
.
แต่ถ้าท่านมองว่าหวยบนดินเป็นนโยบายของ “คนคนนั้น” คนที่อยากให้สังคมไทยลืม จึงไม่อยากเอามาใช้ ผมก็แนะนำว่าท่านควรยอม “ขึ้นราคาสลาก” นะครับ ไม่ต้องขึ้นเยอะ เป็นใบละ 90 บาทก็พอ เพราะผู้ค้ารายย่อย จะได้กำไรใบละ 19.60 บาท ถ้าคิดแบบโลกสวยสุดๆ แบบที่ท่านคิด 1 เล่ม จะได้กำไร 1,960 บาท 5 เล่มต่องวด ได้กำไรงวดละ 9,800 บาท 1 เดือนมี 2 งวด ได้กำไรเดือนละ 19,600 บาท
.
แต่ย้ำนะครับ ตัวเลขนี้ผมบอกแล้วว่าโลกสวย ไม่มีทางทำได้เลยในความเป็นจริง ฉะนั้นบรรดามนุษย์เงินเดือน ( โดยเฉพาะพวกชนชั้นกลางผู้ดีหน้าจอทั้งหลาย ) ไม่ต้องอิจฉาตาร้อนหรอก ได้แค่ 3 เล่มนิดๆ ก็หรูแล้ว เอ้าผมลองคิดให้ต่ำที่สุดดูด้วยการหาร 2 ก็เหลือเดือนละ 9,800 บาท หรือเฉลี่ยผมให้เดือนละ 9,000-12,000 บาท นี่สิครับจึงจะใกล้เคียงกับค่าจ้างขั้นต่ำจริงๆ ก็ยังพอจะถูๆ ไถๆ อยู่กันไปได้กับค่าครองชีพทุกวันนี้ ถึงได้มากกว่านี้ก็คงขายไม่หมดหรอกครับ เพราะไม่ใช่ทุกเลขที่จะมีคนต้องการ
.
ที่สำคัญหวยล็อตเตอรี่นี่มันก็ไม่ใช่สินค้าที่จำเป็นกับชีวิต ไม่ซื้อก็ไม่ตาย ทีบัตรคอนเสิร์ตใบละหลายพัน คนชั้นกลางทั้งหลายยังซื้อกันได้ หรือกาแฟแก้วละเป็นร้อยก็ยังซื้อกันได้ ผมว่าแค่สลากขึ้นราคาแค่ใบละ 10 บาท ขนหน้าแข้งก็คงไม่เดือดร้อนหรอกครับ ถ้าคิดว่ามันแพงก็ไม่ต้องซื้อ ดีเสียอีก จะได้ไม่เสียเงินไปกับเรื่องงมงาย
.
แก้ปัญหาต้องมองทั้งสองทาง คนที่ตกหล่นจากยุคเก่าแบบนี้ยังเหลือเยอะ ถ้าทำอะไรแบบหักดิบพวกเขาก็ย่อมเดือดร้อน ขนาดสมัยที่บ้านเราจะเลิกทาสกันใหม่ๆ ก็เป็นคนยุคเก่าที่ตกหล่นในสมัยนั้นเนี่ยแหละ มีไม่น้อยเลยที่ไม่อยากให้เลิก เพราะตัวเองอายุมากแล้ว การศึกษาก็น้อย พอไม่เป็นทาสก็เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน ชีวิตคุ้นเคยกับการเป็นทาสอย่างเดียว ไม่เหมือนกับคนหนุ่มสาวที่ยังมีเรี่ยวแรงไปทำงาน บุกเบิกหักร้างถางพงทำเกษตรหรือไปเป็นแรงงานได้ ก็เหมือนคนยุคเก่าที่ตกหล่นในสมัยนี้ ไม่อาจจะไปทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากขายหวย เพราะตรงไหนๆ ก็ถูกจับจองด้วยคนหนุ่มสาว ที่พร้อมกว่าทั้งเรี่ยวแรงและคุณวุฒิการศึกษา
.
เพิ่มราคาหวยอีก 10 บาท เป็น 90 บาท ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่แท้จริงเถอะครับ ขนาดค่าจ้างและสินค้าอื่นๆ ยังปรับราคากันได้ตามสภาวะเศรษฐกิจเลย
.
แล้วพบกันใหม่..สวัสดีครับ
.
-----------------------------------------