สวัสดีค่ะ ทุกคน เนื่องจากการรีวิวนี้เป็นการรีวิวครั้งแรกในพันทิพย์ และเป็นกระทู้แรกของจขกท.ด้วยค่ะ รู้สึกตื่นเต้น เพราะเคยอ่านแต่รีวิวในพันธุ์ทิพย์ของคนอื่น เวลาเค้าไปเที่ยวที่ต่างๆ แล้วเอาประสบการณ์มาแชร์ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับหลายๆคนในการที่จะไปยังที่นั้นๆ ไม่คิดว่าต้องได้มารีวิวซะเอง แต่กระทู้นี้จะเป็นกระทู้เชิงวิชาการนิดหน่อยนะคะ อ๊ะๆ! อย่าเพิ่งปิดไปซะก่อนน้า อ่านให้จบก่อน แล้วจะรู้ว่าเมืองไทยนั้นมีของดีอยู่เยอะแยะเลยค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ และถ้าหากมีความผิดพลาดประการใด จขกท.ก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ สืบเนื่องจากจขกท. และเพื่อนๆ รวมถึงท่านอาจารย์ ได้มีโอกาสไปศึกษาพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งดินแดนภาคอีสานของประเทศไทยจะเป็นจังหวัดอะไรนั้น เชิญติดตามได้เลยค่ะ และที่พวกเราไปเป็นช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ อากาศหนาวพอดี สดชื่นกันไปตามๆกัน
- - เราออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ด้วยรถตู้วีไอพี นั่งสบาย มี wi-fi ฟรี
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองกรุง เบลอนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากถ่ายกับโทรศัพท์ขณะรถวิ่ง ^^ มุ่งหน้าสู่เมืองแคน กันเลยค่ะ หลังจากที่พวกเราเดินทางกันมาได้ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงร้านข้าวแกงบ้านสวน เพื่อแวะทานข้าวเช้า คนค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปมา เนื่องจากเอากล้องถ่ายรูปไว้บนรถ เมื่อเดินมาถึงรถจึงรีบที่จะหยิบกล้องถ่ายรูป มาถ่าย
ไหนๆ ประเดิมรูปแรกกันหน่อย แชะ! นายแบบของเราพร้อมมากกับการเดินทางในครั้งนี้ ^^ เดินทางกันต่อ จนมาถึง อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี และมื้อเที่ยงของพวกเราก็คือ ไก่ย่าง ส้มตำ กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด อร่อยแบบละลายในปากเลยทีเดียว
ถ่ายรูปกันซักหน่อยก่อนออกเดินทางต่อ
หลังจากที่พวกเราเดินทางมา โดยใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ก็มาถึงที่พักของพวกเราในคืนนี้ ที่พักชื่อ 69 รีสอร์ท เจ้าของได้มาต้อนรับพวกเราอย่างดี แยกย้ายกันรับกุญแจ เอากระเป๋าและสัมภาระของตนไปเก็บ
ห้องตกแต่งได้น่ารักมาก เห็นแล้วอยากจะนอนไปอีกซัก3-4 วัน ราคาก็ไม่แพง ขอโฆษณาให้เค้านิดนึงเนอะ ฮี่ๆ เมื่อนำกระเป๋าและสัมภาระเก็บกันเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมออกไปทานมื้อค่ำกันค่ะ
พวกเราได้นั่งรถออกจากที่พักมายังเทศบาลนครพนม และแวะทานมื้อค่ำกันที่ร้านสบายดี @นครพนม เป็นร้านที่บรรยากาศดี นั่งสบาย และติดริมแม่น้ำโขง
เมนูแนะนำหน้าร้าน ตั้งเด่นเป็นสง่า ว่าแล้วก็ชักจะหิวซะแล้ว ไปสั่งอาหารกันดีกว่า
เมนูนี้คือ ปลาสามรส รสชาติใช้ได้เลยค่ะ
ผัดผักรวมมิตร เค็มนำไปนิด หรืออาจจะเป็นเพราะจขกท. ไม่ทานเค็มก็เป็นได้
เมนูที่พวกเราสั่งมีประมาณ เกือบ 10 อย่าง แต่ถ่ายมาได้เพียง 2 อย่าง เนื่องจากถ่ายไม่ทันคนทานจริงๆค่ะ เมื่อทานมื้อค่ำเสร็จ พวกเราก็เดินย่อยกันซักหน่อยที่ถนนคนเดินเทศบาลเมืองนครพนม
เมื่อเดินย่อยกันซักพักใหญ่ๆ ก็เดินทางกลับที่พักของพวกเรากัน
ถึงที่พักแล้ว ทำการ disscuss กันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันเข้านอน หมดไปแล้วหนึ่งวัน ไวจริงๆนะเนี่ย
วันที่ 2 ของการเดินทาง พวกเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ ประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อมาสูดอากาศที่สดชื่นของเมืองนครพนม ซึ่งอุณหภูมิหนาวเย็นมาก มีหมอกลงด้วย สังเกตจากเพื่อนๆจะสวมเสื้อกันหนาวกันทุกคนเลย เพื่อนๆพูดคุยกันรอเวลานัดรวมตัวออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามตารางการเดินทางของวันนี้ค่ะ
ในระหว่างที่เรารอเวลาออกดินทางอยู่นั้นพี่เจ้าของรีสอร์ทใจดีมาก ปล่อยแกะออกมาให้พวกเราเล่น ซึ่งปกติแล้วเขาจะปล่อยออกมาประมาน 9 โมงเช้า เพื่อนๆบางคนก็อุ้มแกะ บางคนก็ถ่ายรูปเซลฟี่กับแกะอย่างสนุกสนาน
ถ่ายรูปเล่นกับน้องแกะอยู่ประมาณ 20 นาที ทุกคนก็มารวมตัวกันที่จุดนัดหมาย ตอนนี้ก็เป็นเวลา 7 โมงเช้า อากาศก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ พวกเราก็สดชื่นมาก อยากให้อากาศเย็นแบบนี้ตลอดทั้งวันของการเดินทางเลยค่ะ
เมื่อถึงเวลานัดรวมตัว 7.15 น. เราก็ขึ้นรถเดินทางมาทานอาหารเช้ากันในตลาดตัวเมืองนครพนม ซึ่งร้านอาหารเช้าก็มีอยู่หลายร้าน เราก็แยกย้ายกันไปหาอาหารเช้าทานกัน บางคนก็ไปทานโจ๊ก บางคนก็ทานก๋วยเตี๋ยว แต่ทีเด็ดของมื้อเช้านี้ยกให้กับ“ชุดลวกจิ้มรวม”ประกอบด้วยหมูนุ่มกับลูกชิ้นหมู ทานกับน้ำจิ้มรสเด็ด แถมมีน้ำซุปร้อนๆ อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ
เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังหนองไชยวาน เพื่อไปศึกษาพื้นที่ชุ่มน้ำของหนองไชยวานพวกเราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึง หนองไชยวาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ท่าบ่อสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
เมื่อเราเดินทางมาถึงหนองไชยวานเราได้พบกับคุณลุงหนอก (สุรชัย ณรงค์ศิลป์) ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ที่จะพาเราเที่ยวชมหนองไชยวาน คุณลุงได้อธิบายบายถึงพื้นที่ดังกล่าวว่าพื้นที่ตั้งโดยภาพรวม โดยหนองไชยวานตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำสงครามประมาณ 5 กิโลเมตร หนองน้ำตั้งชื่อจากต้นไม้เด่นที่อยู่ในป่าพรุกลางหนอง คือ ต้นไชยวานที่นี่สูงเพียง 1-2 เมตร คุณลุงหนอกได้พูดคุยและอธิบายภาพพื้นที่โดยรอบให้พวกเราทราบคร่าวๆถึงความเป็นมาของหนองไชยวาน ซึ่งคุณลุงบอกพวกเราว่าหนองไชยวานนี้มีมาหลายร้อยปีตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งคุณลุงเกิดมาคุณลุงก็เห็นหนองน้ำแห่งนี้แล้ว
เมื่อพูดคุยและได้รับความรู้จากคุณลุงหนอกถึงสภาพพื้นที่โดยรอบอยู่สักพัก ก็ถึงเวลาที่จะลงเรือชมธรรมชาติของหนองน้ำจืดแห่งนี้แล้ว ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เพราะเพื่อนๆบางคนก็พึ่งจะเคยขึ้นเรือเป็นครั้งแรก พวกเราแบ่งกลุ่มกันขึ้นเรือ ลำละประมาณ 4-5 คน เรือแต่ละลำก็จะมีคุณลุงที่เป็นคนพายเรือ ซึ่งคุณลุงเหล่านี้เป็นคนในพื้นที่หนองไชยวาน ที่จะมาให้ความรู้ตลอดการเที่ยวชมหนองน้ำจืดแห่งนี้ค่ะ
ระหว่างการชมหนองไชยวานแห่งนี้ พวกเราก็พบกับพืชพรรณต่างๆมากมาย แต่ที่พบมากที่สุดคือต้นไชยวาน ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำหนองน้ำแห่งนี้ ซึ่งต้นไชยวานจะขึ้นกระจายอยู่ทั่วบริเวณหนองไชยวาน
และพืชเด่นอีกชนิดหนึ่งของที่นี่ก็คือต้นกกหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นผือ หรือหญ้ารังกา ซึ่งเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ในน้ำที่มีประโยชน์สำหรับชาวบ้านในบริเวณนี้ คือสามารถนำต้นกกนี้ไปทอเสื่อและส่งขายได้ เป็นสร้างอาชีพในครัวเรือนอีกด้วย
พวกเรานั่งเรือมาเรื่อยๆก็พบกับต้นบัวหลวงที่สังเกตได้จากฝักบัวที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา และบัวสายซึ่งมีดอกสีชมพูที่เพื่อนๆเคยเห็นกันอย่างคุ้นตา ถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่าใบบัวจะแห้งกรอบ ลุงหนอกบอกกับพวกเราว่าเป็นธรรมชาติของต้นบัวเมื่อต้นบัวอายุมากก็จะแห้งและย่อยสลายไปประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดจึงทำให้ใบมีลักษณะดังกล่าว แต่ต้นบัวไม่ได้ตายนะคะ เดี๋ยวใบมันจะเกิดขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นสภาพตามธรรมชาติของบัวค่ะ
ระหว่างพายเรือไปเรือไปเรื่อยๆ พวกเราก็สังเกตเห็นสาหร่ายที่ขึ้นกันอยู่อย่างหนาแน่น ลุงหนอกบอกว่าสาหร่ายที่พบพวกนี้เป็นสาหร่ายหางกระรอก (Hydrilla verticillata L.f. Royle.) ลักษณะใบเดี่ยวแตกเป็นวงรอบข้อ 3-8 ใบ ไม่มีก้านใบแผ่นใบรูปไข่ยาว หรือรูปไข่ขอบขนาน ใบยาว 7-30 มิลลิเมตร ของใบหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียด เป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ใต้ผิวน้ำ ในระดับความลึกไม่เกิน 5 เมตร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความโปร่งใสของน้ำที่แสงแดดจะส่องผ่านได้สักเท่าใด สาหร่ายหางกระรอกต้องการแสงน้อยมากเพียง 1 % ของแสงแดดปกติเท่านั้น เจริญได้ดีในน้ำที่มี pH 6.0-7.3 อุณหภูมิน้ำ 25-30 องศาเซลเซียส แสงสว่างปานกลางถึงมาก ความยาวลำต้นขึ้นอยู่กับระดับน้ำ ลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก สานกันอยู่แน่น เมื่อดอกแก่จึงจะลอยขึ้นมาบานเหนือผิวน้ำ
คุณลุงหนอกพาพวกเราพายเรือไปจนพบกับกอสนุ่นหรือลุ่มสนุ่น ซึ่งเกิดจากซากผุพังของพืชพรรณต่างๆที่ซับซ้อนกันมากๆ ในบึงหรือหนองน้ำ คุณลุงบอกว่ากอสนุ่นเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นเป็นเวลานานก็จะเกิดเป็นผืนดินขึ้นมานั่นเองค่ะ ซึ่งกอสนุ่นเหล่านี้สามารถเหยียบเดินไปได้ ซึ่งเราก็ได้ขึ้นไปเหยียบค่ะ มีลักษณะเหมือนหญ้าทับถมกันมากหลายชั้น จนสามารถรองรับน้ำหนักของเราได้ และจากในภาพก็จะเห็นอุปกรณ์ดักปลาของชาวบ้านวางอยู่ ซึ่งชาวบ้านจะมาหาปลาที่หนองน้ำแห่งนี้เป็นประจำ คุณลุงบอกว่าหนองน้ำแห่งนี้มีประโยชน์กับชุมชนมาก เป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งน้ำใช้ในการอุปโภคอีกด้วย
จากนั้นพวกเราก็นั่งเรือมาเรื่อยๆเพื่อที่จะมาขึ้นฝั่งหลังจากที่ชมธรรมชาติของหนองไชยวาน เป็นระยะเวลาพอสมควร ซึ่งบริเวณชายฝั่งพวกเราก็พบกับสาหร่ายข้าวเหนียวซึ่งมีดอกสีเหลืองสวยงามช่วยเพิ่มสีสันให้กับหนองไชยวานแห่งนี้ค่ะ
ลุงหนอกอธิบายถึงแนวทางการอนุรักษ์ พื้นที่ชุ่มน้ำของชาวบ้านที่หนองไชยวานและบริเวณป่าบุ่ง ทาม แม่น้ำสงคราม นั้นได้มีข้อตกลงของชาวบ้านที่จะร่วมมือในการอนุรักษ์ ในรูปแบบของการออกกฎระเบียบต่างๆ เช่นการห้ามจับปลาในพื้นที่ในช่วงฤดูที่ปลาทำการวางไข่ ไม่ว่าจะเป็นหนองไชยวาน หรือ ป่าบุ่งทาม ที่แม่น้ำสงครามในช่วงฤดูน้ำหลากท่วมป่าดังกล่าว เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลา และสัตว์น้ำ โดยออกเป็นกฎเมื่อมีการฝ่าฝืนจะการจ่ายเงินค่าปรับตามข้อตกลงของชาวบ้าน. นอกจากนั้นพ่อหนอกยังบอกอีกว่ามีการอนุรักษ์ในด้านการไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่เช่นการถมดิน การขุดตลิ่งริมแม่น้ำเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ ของหนองไชยวานและพื้นที่ป่าบุ่งทาม แม่น้ำสงคราม ซึ่งแนวทางการอนุรักษ์นี้พ่อหนอกได้กล่าวว่าหน่วยงานภายนอก เช่นมหาวิทยาลัย องค์กรที่เกี่ยวข้องกำลังให้ความสนใจของพื้นที่ดังกล่าวและผลักดันให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ และนานาชาติต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีนะค่ะ ที่พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์จากหลายภาคส่วนตั้งแต่ระดับชาวบ้าน จนถึงระดับองค์กรที่มีบทบาทในการอนุรักษ์ค่ะ
เวลาประมาณเที่ยงตรง พวกเราทุกคนก็ขึ้นฝั่งมาครบแล้วค่ะ ต่างก็พูดคุยถึงพรรณไม้และประสบการณ์การนั่งเรือของแต่ละคน เพื่อนๆบางคนก็นำกล้องขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศหนองไชยวานแห่งนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ
Trip Wetland 20-23 ม.ค. 58
- - เราออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ด้วยรถตู้วีไอพี นั่งสบาย มี wi-fi ฟรี
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองกรุง เบลอนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากถ่ายกับโทรศัพท์ขณะรถวิ่ง ^^ มุ่งหน้าสู่เมืองแคน กันเลยค่ะ หลังจากที่พวกเราเดินทางกันมาได้ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงร้านข้าวแกงบ้านสวน เพื่อแวะทานข้าวเช้า คนค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปมา เนื่องจากเอากล้องถ่ายรูปไว้บนรถ เมื่อเดินมาถึงรถจึงรีบที่จะหยิบกล้องถ่ายรูป มาถ่าย
ไหนๆ ประเดิมรูปแรกกันหน่อย แชะ! นายแบบของเราพร้อมมากกับการเดินทางในครั้งนี้ ^^ เดินทางกันต่อ จนมาถึง อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี และมื้อเที่ยงของพวกเราก็คือ ไก่ย่าง ส้มตำ กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด อร่อยแบบละลายในปากเลยทีเดียว
ถ่ายรูปกันซักหน่อยก่อนออกเดินทางต่อ
หลังจากที่พวกเราเดินทางมา โดยใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ก็มาถึงที่พักของพวกเราในคืนนี้ ที่พักชื่อ 69 รีสอร์ท เจ้าของได้มาต้อนรับพวกเราอย่างดี แยกย้ายกันรับกุญแจ เอากระเป๋าและสัมภาระของตนไปเก็บ
ห้องตกแต่งได้น่ารักมาก เห็นแล้วอยากจะนอนไปอีกซัก3-4 วัน ราคาก็ไม่แพง ขอโฆษณาให้เค้านิดนึงเนอะ ฮี่ๆ เมื่อนำกระเป๋าและสัมภาระเก็บกันเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมออกไปทานมื้อค่ำกันค่ะ
พวกเราได้นั่งรถออกจากที่พักมายังเทศบาลนครพนม และแวะทานมื้อค่ำกันที่ร้านสบายดี @นครพนม เป็นร้านที่บรรยากาศดี นั่งสบาย และติดริมแม่น้ำโขง
เมนูแนะนำหน้าร้าน ตั้งเด่นเป็นสง่า ว่าแล้วก็ชักจะหิวซะแล้ว ไปสั่งอาหารกันดีกว่า
เมนูนี้คือ ปลาสามรส รสชาติใช้ได้เลยค่ะ
ผัดผักรวมมิตร เค็มนำไปนิด หรืออาจจะเป็นเพราะจขกท. ไม่ทานเค็มก็เป็นได้
เมนูที่พวกเราสั่งมีประมาณ เกือบ 10 อย่าง แต่ถ่ายมาได้เพียง 2 อย่าง เนื่องจากถ่ายไม่ทันคนทานจริงๆค่ะ เมื่อทานมื้อค่ำเสร็จ พวกเราก็เดินย่อยกันซักหน่อยที่ถนนคนเดินเทศบาลเมืองนครพนม
เมื่อเดินย่อยกันซักพักใหญ่ๆ ก็เดินทางกลับที่พักของพวกเรากัน
ถึงที่พักแล้ว ทำการ disscuss กันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันเข้านอน หมดไปแล้วหนึ่งวัน ไวจริงๆนะเนี่ย
วันที่ 2 ของการเดินทาง พวกเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ ประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อมาสูดอากาศที่สดชื่นของเมืองนครพนม ซึ่งอุณหภูมิหนาวเย็นมาก มีหมอกลงด้วย สังเกตจากเพื่อนๆจะสวมเสื้อกันหนาวกันทุกคนเลย เพื่อนๆพูดคุยกันรอเวลานัดรวมตัวออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามตารางการเดินทางของวันนี้ค่ะ
ในระหว่างที่เรารอเวลาออกดินทางอยู่นั้นพี่เจ้าของรีสอร์ทใจดีมาก ปล่อยแกะออกมาให้พวกเราเล่น ซึ่งปกติแล้วเขาจะปล่อยออกมาประมาน 9 โมงเช้า เพื่อนๆบางคนก็อุ้มแกะ บางคนก็ถ่ายรูปเซลฟี่กับแกะอย่างสนุกสนาน
ถ่ายรูปเล่นกับน้องแกะอยู่ประมาณ 20 นาที ทุกคนก็มารวมตัวกันที่จุดนัดหมาย ตอนนี้ก็เป็นเวลา 7 โมงเช้า อากาศก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ พวกเราก็สดชื่นมาก อยากให้อากาศเย็นแบบนี้ตลอดทั้งวันของการเดินทางเลยค่ะ
เมื่อถึงเวลานัดรวมตัว 7.15 น. เราก็ขึ้นรถเดินทางมาทานอาหารเช้ากันในตลาดตัวเมืองนครพนม ซึ่งร้านอาหารเช้าก็มีอยู่หลายร้าน เราก็แยกย้ายกันไปหาอาหารเช้าทานกัน บางคนก็ไปทานโจ๊ก บางคนก็ทานก๋วยเตี๋ยว แต่ทีเด็ดของมื้อเช้านี้ยกให้กับ“ชุดลวกจิ้มรวม”ประกอบด้วยหมูนุ่มกับลูกชิ้นหมู ทานกับน้ำจิ้มรสเด็ด แถมมีน้ำซุปร้อนๆ อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ
เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังหนองไชยวาน เพื่อไปศึกษาพื้นที่ชุ่มน้ำของหนองไชยวานพวกเราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึง หนองไชยวาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ท่าบ่อสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
เมื่อเราเดินทางมาถึงหนองไชยวานเราได้พบกับคุณลุงหนอก (สุรชัย ณรงค์ศิลป์) ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ที่จะพาเราเที่ยวชมหนองไชยวาน คุณลุงได้อธิบายบายถึงพื้นที่ดังกล่าวว่าพื้นที่ตั้งโดยภาพรวม โดยหนองไชยวานตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำสงครามประมาณ 5 กิโลเมตร หนองน้ำตั้งชื่อจากต้นไม้เด่นที่อยู่ในป่าพรุกลางหนอง คือ ต้นไชยวานที่นี่สูงเพียง 1-2 เมตร คุณลุงหนอกได้พูดคุยและอธิบายภาพพื้นที่โดยรอบให้พวกเราทราบคร่าวๆถึงความเป็นมาของหนองไชยวาน ซึ่งคุณลุงบอกพวกเราว่าหนองไชยวานนี้มีมาหลายร้อยปีตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งคุณลุงเกิดมาคุณลุงก็เห็นหนองน้ำแห่งนี้แล้ว
เมื่อพูดคุยและได้รับความรู้จากคุณลุงหนอกถึงสภาพพื้นที่โดยรอบอยู่สักพัก ก็ถึงเวลาที่จะลงเรือชมธรรมชาติของหนองน้ำจืดแห่งนี้แล้ว ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เพราะเพื่อนๆบางคนก็พึ่งจะเคยขึ้นเรือเป็นครั้งแรก พวกเราแบ่งกลุ่มกันขึ้นเรือ ลำละประมาณ 4-5 คน เรือแต่ละลำก็จะมีคุณลุงที่เป็นคนพายเรือ ซึ่งคุณลุงเหล่านี้เป็นคนในพื้นที่หนองไชยวาน ที่จะมาให้ความรู้ตลอดการเที่ยวชมหนองน้ำจืดแห่งนี้ค่ะ
ระหว่างการชมหนองไชยวานแห่งนี้ พวกเราก็พบกับพืชพรรณต่างๆมากมาย แต่ที่พบมากที่สุดคือต้นไชยวาน ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำหนองน้ำแห่งนี้ ซึ่งต้นไชยวานจะขึ้นกระจายอยู่ทั่วบริเวณหนองไชยวาน
และพืชเด่นอีกชนิดหนึ่งของที่นี่ก็คือต้นกกหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นผือ หรือหญ้ารังกา ซึ่งเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ในน้ำที่มีประโยชน์สำหรับชาวบ้านในบริเวณนี้ คือสามารถนำต้นกกนี้ไปทอเสื่อและส่งขายได้ เป็นสร้างอาชีพในครัวเรือนอีกด้วย
พวกเรานั่งเรือมาเรื่อยๆก็พบกับต้นบัวหลวงที่สังเกตได้จากฝักบัวที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา และบัวสายซึ่งมีดอกสีชมพูที่เพื่อนๆเคยเห็นกันอย่างคุ้นตา ถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่าใบบัวจะแห้งกรอบ ลุงหนอกบอกกับพวกเราว่าเป็นธรรมชาติของต้นบัวเมื่อต้นบัวอายุมากก็จะแห้งและย่อยสลายไปประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดจึงทำให้ใบมีลักษณะดังกล่าว แต่ต้นบัวไม่ได้ตายนะคะ เดี๋ยวใบมันจะเกิดขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นสภาพตามธรรมชาติของบัวค่ะ
ระหว่างพายเรือไปเรือไปเรื่อยๆ พวกเราก็สังเกตเห็นสาหร่ายที่ขึ้นกันอยู่อย่างหนาแน่น ลุงหนอกบอกว่าสาหร่ายที่พบพวกนี้เป็นสาหร่ายหางกระรอก (Hydrilla verticillata L.f. Royle.) ลักษณะใบเดี่ยวแตกเป็นวงรอบข้อ 3-8 ใบ ไม่มีก้านใบแผ่นใบรูปไข่ยาว หรือรูปไข่ขอบขนาน ใบยาว 7-30 มิลลิเมตร ของใบหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียด เป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ใต้ผิวน้ำ ในระดับความลึกไม่เกิน 5 เมตร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความโปร่งใสของน้ำที่แสงแดดจะส่องผ่านได้สักเท่าใด สาหร่ายหางกระรอกต้องการแสงน้อยมากเพียง 1 % ของแสงแดดปกติเท่านั้น เจริญได้ดีในน้ำที่มี pH 6.0-7.3 อุณหภูมิน้ำ 25-30 องศาเซลเซียส แสงสว่างปานกลางถึงมาก ความยาวลำต้นขึ้นอยู่กับระดับน้ำ ลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก สานกันอยู่แน่น เมื่อดอกแก่จึงจะลอยขึ้นมาบานเหนือผิวน้ำ
คุณลุงหนอกพาพวกเราพายเรือไปจนพบกับกอสนุ่นหรือลุ่มสนุ่น ซึ่งเกิดจากซากผุพังของพืชพรรณต่างๆที่ซับซ้อนกันมากๆ ในบึงหรือหนองน้ำ คุณลุงบอกว่ากอสนุ่นเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นเป็นเวลานานก็จะเกิดเป็นผืนดินขึ้นมานั่นเองค่ะ ซึ่งกอสนุ่นเหล่านี้สามารถเหยียบเดินไปได้ ซึ่งเราก็ได้ขึ้นไปเหยียบค่ะ มีลักษณะเหมือนหญ้าทับถมกันมากหลายชั้น จนสามารถรองรับน้ำหนักของเราได้ และจากในภาพก็จะเห็นอุปกรณ์ดักปลาของชาวบ้านวางอยู่ ซึ่งชาวบ้านจะมาหาปลาที่หนองน้ำแห่งนี้เป็นประจำ คุณลุงบอกว่าหนองน้ำแห่งนี้มีประโยชน์กับชุมชนมาก เป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งน้ำใช้ในการอุปโภคอีกด้วย
จากนั้นพวกเราก็นั่งเรือมาเรื่อยๆเพื่อที่จะมาขึ้นฝั่งหลังจากที่ชมธรรมชาติของหนองไชยวาน เป็นระยะเวลาพอสมควร ซึ่งบริเวณชายฝั่งพวกเราก็พบกับสาหร่ายข้าวเหนียวซึ่งมีดอกสีเหลืองสวยงามช่วยเพิ่มสีสันให้กับหนองไชยวานแห่งนี้ค่ะ
ลุงหนอกอธิบายถึงแนวทางการอนุรักษ์ พื้นที่ชุ่มน้ำของชาวบ้านที่หนองไชยวานและบริเวณป่าบุ่ง ทาม แม่น้ำสงคราม นั้นได้มีข้อตกลงของชาวบ้านที่จะร่วมมือในการอนุรักษ์ ในรูปแบบของการออกกฎระเบียบต่างๆ เช่นการห้ามจับปลาในพื้นที่ในช่วงฤดูที่ปลาทำการวางไข่ ไม่ว่าจะเป็นหนองไชยวาน หรือ ป่าบุ่งทาม ที่แม่น้ำสงครามในช่วงฤดูน้ำหลากท่วมป่าดังกล่าว เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลา และสัตว์น้ำ โดยออกเป็นกฎเมื่อมีการฝ่าฝืนจะการจ่ายเงินค่าปรับตามข้อตกลงของชาวบ้าน. นอกจากนั้นพ่อหนอกยังบอกอีกว่ามีการอนุรักษ์ในด้านการไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่เช่นการถมดิน การขุดตลิ่งริมแม่น้ำเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ ของหนองไชยวานและพื้นที่ป่าบุ่งทาม แม่น้ำสงคราม ซึ่งแนวทางการอนุรักษ์นี้พ่อหนอกได้กล่าวว่าหน่วยงานภายนอก เช่นมหาวิทยาลัย องค์กรที่เกี่ยวข้องกำลังให้ความสนใจของพื้นที่ดังกล่าวและผลักดันให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ และนานาชาติต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีนะค่ะ ที่พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์จากหลายภาคส่วนตั้งแต่ระดับชาวบ้าน จนถึงระดับองค์กรที่มีบทบาทในการอนุรักษ์ค่ะ
เวลาประมาณเที่ยงตรง พวกเราทุกคนก็ขึ้นฝั่งมาครบแล้วค่ะ ต่างก็พูดคุยถึงพรรณไม้และประสบการณ์การนั่งเรือของแต่ละคน เพื่อนๆบางคนก็นำกล้องขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศหนองไชยวานแห่งนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ