คือปากก็บอกว่า ตัวเองเป็นคนดี มีเมตตา แต่พฤติกรรมหาเป็นเช่นนั้นไม่
ทำบุญก็เช่นกัน ต้องไปทำตามวัดใหญ่ ๆ กับพระดัง ๆ และต้องป่าวได้ประกาศว่าตัวเอง
บอกบริจาคเท่านั้น เท่านี้ ถึงจะทำกัน ถ้าไม่มีการโฆษณา หรือป้าวประกาศก็ไม่ทำ คือ(ทำบุญเอาหน้า)
เบื้องหน้า เบื้องหลัง หรือที่มา ของเงินที่นำไปบริจาค ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร มาแบบเทา ๆ แล้วเอามาทำเป็นนักบุญ
เพื่อให้สังคมมองว่า ตัวเองมีจิตใจเอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ แต่ใส้ในซ่อนความอำมหิต หรือสิ่งเลวร้าย ที่ตัวเองได้กระทำไว้หรือเปล่า ก็ไม่รู้
จะมีสักกี่คน ที่สะอาดทั้งกาย วาจาใจ ใจ และบริสุทธิ ผุดผ่องจริง ๆโดยที่ตัวเองไม่ต้องป่าวประกาศ...
หากทุกคนแค่มีการเกรงกลัว หรือละอายต่อบาป กับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไป ไม่พูดจามุสาฯ ไม่นินทา ใส่ร้าย บ้านเมืองก็ไม่เป็นแบบนี้
ทุกวันนี้ไม่รู้คนใหน คนดี คนใหนคนเลว แต่ก็มีคนบ้าบางพวกบอกว่า "ตัวเองเป็นคนดี"แบบไม่หยุดหย่อน 3 เวลาหลังอาหาร
จริง ๆ แล้ว ดี-เลว อย่างไร ให้สังคม หรือคนรอบข้าง เป็นคนบอกจะดีกว่า เพราะจะได้ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงที่สุด
อ้างกันจังว่า ตัวเองเป็นคนดี พวกนั้นเลวสาระพัด เพราะความอิจฉาริษยา ไม่ยอมรับคนที่เก่งและดีกว่า (ต่อมอิจฉาแตก)
หากพวกคุณเกรงกลัวต่อบาป โดยการไม่พูดปด ในการใส่ร้ายป้ายสีเขา แค่นี้ ก็ไม่ต้องบังคับใช้กฏหมายใดๆ เลย รับรองความวุ่นวายไม่มีบังเกิด
แต่นี่ สาระพัด วาทะกรรม สาระพัด คำกล่าวอ้างที่ทำให้คนจิตอ่อน ประสาทหลอน คอยกลัว และคล้อยตามความต้องการที่ตัวเองวางกับดักเอาไว้
อีกกี่ปี กี่ชาติ เรื่องความขี้อิจฉาริษยา จึงจะหมดจากสังคมไทย อีกกี่ปีกี่ชาติ คนไทย ถึงจะมีสปิริต พอที่จะยอมรับคนที่เก่งและดีกว่า
แต่ที่แน่ ๆ ไวไว นี้ ชั่วอายุผม หรือเพื่อน ๆ พี่ น้อง ๆ ในราชดำเนิ คงไม่ได้เห็นแน่ ๆ
เชื่อว่าความขัดแย้งคงจะมีอยู่ต่อไปในสังคมไทย ตราบใดที่นิสัยขี้อิจฉาของคนไทย ไม่ยอมทิ้งมันไป
เพลีย เหนื่อย อึดอัด กับคนบางพวก ที่พยามยาม อ้างตัวแต่เป็นคนดี รักชาติ รักแผ่นดิน
แล้วคอยชี้นำและดึงประเทศไปในทางที่ตัวเองต้องการ กฏหมาย ทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้ก็จริง
แต่เชื่อว่า คนพวกนี้ก็คงหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นเช่นกัน เมื่อวันนั้นมาถึง ประชาชน คงได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจริง ๆ จัง ๆ เสียที
---- เพราะคนเรา "มือถือสาก ปากถือศีล" บ้านเมืองถึงได้วุ่นวายไม่เลิก" -----
ทำบุญก็เช่นกัน ต้องไปทำตามวัดใหญ่ ๆ กับพระดัง ๆ และต้องป่าวได้ประกาศว่าตัวเอง
บอกบริจาคเท่านั้น เท่านี้ ถึงจะทำกัน ถ้าไม่มีการโฆษณา หรือป้าวประกาศก็ไม่ทำ คือ(ทำบุญเอาหน้า)
เบื้องหน้า เบื้องหลัง หรือที่มา ของเงินที่นำไปบริจาค ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร มาแบบเทา ๆ แล้วเอามาทำเป็นนักบุญ
เพื่อให้สังคมมองว่า ตัวเองมีจิตใจเอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ แต่ใส้ในซ่อนความอำมหิต หรือสิ่งเลวร้าย ที่ตัวเองได้กระทำไว้หรือเปล่า ก็ไม่รู้
จะมีสักกี่คน ที่สะอาดทั้งกาย วาจาใจ ใจ และบริสุทธิ ผุดผ่องจริง ๆโดยที่ตัวเองไม่ต้องป่าวประกาศ...
หากทุกคนแค่มีการเกรงกลัว หรือละอายต่อบาป กับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไป ไม่พูดจามุสาฯ ไม่นินทา ใส่ร้าย บ้านเมืองก็ไม่เป็นแบบนี้
ทุกวันนี้ไม่รู้คนใหน คนดี คนใหนคนเลว แต่ก็มีคนบ้าบางพวกบอกว่า "ตัวเองเป็นคนดี"แบบไม่หยุดหย่อน 3 เวลาหลังอาหาร
จริง ๆ แล้ว ดี-เลว อย่างไร ให้สังคม หรือคนรอบข้าง เป็นคนบอกจะดีกว่า เพราะจะได้ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงที่สุด
อ้างกันจังว่า ตัวเองเป็นคนดี พวกนั้นเลวสาระพัด เพราะความอิจฉาริษยา ไม่ยอมรับคนที่เก่งและดีกว่า (ต่อมอิจฉาแตก)
หากพวกคุณเกรงกลัวต่อบาป โดยการไม่พูดปด ในการใส่ร้ายป้ายสีเขา แค่นี้ ก็ไม่ต้องบังคับใช้กฏหมายใดๆ เลย รับรองความวุ่นวายไม่มีบังเกิด
แต่นี่ สาระพัด วาทะกรรม สาระพัด คำกล่าวอ้างที่ทำให้คนจิตอ่อน ประสาทหลอน คอยกลัว และคล้อยตามความต้องการที่ตัวเองวางกับดักเอาไว้
อีกกี่ปี กี่ชาติ เรื่องความขี้อิจฉาริษยา จึงจะหมดจากสังคมไทย อีกกี่ปีกี่ชาติ คนไทย ถึงจะมีสปิริต พอที่จะยอมรับคนที่เก่งและดีกว่า
แต่ที่แน่ ๆ ไวไว นี้ ชั่วอายุผม หรือเพื่อน ๆ พี่ น้อง ๆ ในราชดำเนิ คงไม่ได้เห็นแน่ ๆ
เชื่อว่าความขัดแย้งคงจะมีอยู่ต่อไปในสังคมไทย ตราบใดที่นิสัยขี้อิจฉาของคนไทย ไม่ยอมทิ้งมันไป
เพลีย เหนื่อย อึดอัด กับคนบางพวก ที่พยามยาม อ้างตัวแต่เป็นคนดี รักชาติ รักแผ่นดิน
แล้วคอยชี้นำและดึงประเทศไปในทางที่ตัวเองต้องการ กฏหมาย ทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้ก็จริง
แต่เชื่อว่า คนพวกนี้ก็คงหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นเช่นกัน เมื่อวันนั้นมาถึง ประชาชน คงได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจริง ๆ จัง ๆ เสียที