ติดตามรีวิวอื่นๆได้นะครับ
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
วงกตแห่งคลอง (Day 4: Treasure and treachery of Venice)
http://ppantip.com/topic/33794965
นครสีแดง (Day 5: The red jigsaws of Bologna)
http://ppantip.com/topic/33833708
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
"Verily I say unto you that one of you shall betray me."
-INRI
Ciao ciao!!
วันนี้เรามีแพลนก็คือ ตอนเช้าจะไปดูภาพวาดในตำนานของดาวินชี ที่จองไว้ล่วงหน้าแล้ว (Last Supper ไง) ตามด้วยพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ครับ
ส่วนตอนเที่ยงๆ ต้องขึ้นรถไฟจาก Milano Centrale มุ่งไปยัง Verona Porta Nuova เวลา 12.30 ครับ เพราะฉะนั้นรักษาเวลาให้ดี ไม่งั้นอาจได้วิ่งหน้าแหกแหลกลานไปขึ้นรถไฟ55555
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปลงรถใต้ดินที่เดิมครับ สถานี Centrale นั่งสายสีเขียวไปลงสถานี Cadorna FN (Terminal: Abbiategrasso)
เดินเลี้ยวตามแผนที่
ก็จะถึง Chiesa di Santa Maria delle Grazie โบสถ์ลูกครึ่งโกธิคกับเรอเนซองส์อันเป็นที่สถิตของภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo da Vinci ศิลปินยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการผู้โด่งดัง
ถึงแล้ว โบสถ์นี้ เป็นโบสถ์เล็กๆ ไม่ตกแต่งเวอร์ มีแค่อิฐแดงๆเปล่าๆ แต่รู้หรือไม่ว่าครึ่งหนึ่งของโบสถ์ถูกดีไซน์โดย Bramante ผู้ที่วางโครงร่างของโดมอลังการใน St.Peter's Basilica ของสำนักวาติกันเลยนะ
การจองตั๋วดูภาพ Last Supper ต้องจองก่อนล่วงหน้าประมาณ1-2เดือนจะดีมาก (ถ้ารอจองใกล้ๆ ไม่ทันครับ) โดยสามารถจองจากเว็บ Milan Museum ก็ได้ครับ แต่เขาจะไม่ขายบัตร Last Supper เดี่ยวๆ จะต้องรวมกับโบสถ์อื่น รวมกับหนังสือ รวมค่าอะไรไม่รู้เยอะแยะ แพง ถูกสุด Adult ก็ 12€ ครับ
แต่อยากแนะนำให้เสิร์ชอินเตอร์เนตว่า "Last Supper Milan Booking" จะมีเว็บเต็มไปหมด ความจริงเอาเว็บไหนก็ได้ครับ (ใช้วิจารณญานหาความน่าเชื่อถือเองครับ) ตอนจองผมใช้เว็บนี้...
http://selectitaly.com/browse/things-to-do/museum/id:207/the-last-supper-tickets-milan
ต่อราคาได้ด้วยนิดหน่อยด้วย Adult 7€, Kid 3€ เอง รวมของพ่อแม่น้องก็ 24€ ครับ พอแอฟฟอร์ดได้อยู่
รอบที่จอง จะต้องจองเป็นรอบทุกๆ30นาที เริ่มตั้งแต่8โมง เราก็จองมันรอบแรกเลย
พอ 7.50 ประตูทางเข้าไปใน Office ของพิพิธภัณฑ์ ก็เปิดให้เข้า (ตรงป้ายสีชมพู)
เข้าไปข้างใน Cenacolo Vinciano พิพิธภัณฑ์ของ Last Supper ยื่นหลักฐานการจองให้เรียบร้อย ได้ตั๋ว ก็รอคนมา escort เข้าไปครับ กรุ๊ปของเรามีประมาณ20คนเท่านั้นครับ
(ภายใน Vietato fotografare/ห้ามถ่ายภาพนะครับ เข้มงวดมาก ยามยืนเฝ้าเต็มเลย)
ผ่านประตูนับสิบยิ่งกว่าบังเกอร์ปธน.เมกาฯ ก็เข้าถึงห้องโถงเก่าๆ มืดๆ เหมือนรังแม่มด มองไปทางขวาก็จะเจอ-
Uhhhhmarrrgerrrddddsss!
ไม่นึกว่ารูปมันใหญ่ขนาดนี้ ภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย/The Last Supper/L'Utima Cena ในคอนเวนชั่นรูมของโบสถ์ Santa Maria delle Grazie เป็นภาพใหญ่ที่สุดของดาวินชีที่ลุงแกฝืนสังขารวาดมือด้วยตัวเองเมื่อปี 1494-1498 ได้รับการอุปถัมภ์จาก Lodovico Sforza ดยุคแห่งมิลาน
แทนที่จะวาดบนปูนเปียก(จะทำให้สีติดสวยและนานกว่าปกติ) แบบเทคนิก True Fresco (แบบของมิเคลันเจโล) แต่กลับวาดบนปูนแห้งแล้ว เทคนิกต่างๆที่ใช้ทำเหทือนกับการวาดรูปบนแผ่นไม้ ส่วนสีใช้สีฝุ่นเทมเพอรา (Egg Tempera, เขาเอาไข่แดงผสมไปด้วย) ทั้งหมดทั้งมวลถึงจะทำให้รูปมีแสงสีที่เพอร์เฟคแถมยังทำให้โทนสีดูกลมกลืนอีกด้วย เทคนิคแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรีบเพนต์รูปให้เสร็จก่อนปูนแห้งแบบ True Fresco ดาวินชีเลยค่อยๆละเลียดละเลงอย่าช้าๆได้นอนเดอะเลส, มันทำให้รูปไม่ทนทานเหมือนของมิเคลลันเจโลในวาติกัน หรือรูปปูนเปียกอื่นๆ ไม่กี่ปีหลังวาดภาพเสร็จ สีก็เริ่มหลุดลอกออก จึงต้องมีการบูรณะอย่างระมัดระวังอยู่เรื่อยๆ
แล้วทำไมภาพนี้ถึงได้โด่งดังไปทั่วโลก? ภาพนี้มัน(เอาตรงๆ)ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น แต่มันมีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่
..เพราะสมัยก่อน ไม่มีอิโมจิ๊ ตกใจหน้าผี แต่ดาวินชีสามารถแสดงควานตื่นตระหนกตกกระไดแพนิกของพระอัครสาวกทั้ง12 (12 Apostles) ออกมาได้เหมือนจริงมากชนิดที่เรียกว่าบริษัทไลน์น่าจะลอกไปทำสติ๊กเกอร์ซะ แถมรูปนี้ยังเป็นรูปแรกที่มีการวาดภาพแบบ "Perspective" การจัดเรียงทางเรขาคณิตเพื่อหลอกตาคนดูให้เห็นเสมือนว่าภาพเป็นสามมิติ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ดาวินชียังวาดให้องค์เยซูเป็นศูนย์กลางที่ Perspective line มาบรรจบกัน พระองค์เลยดูเป็นศูนย์กลางของรูป
ที่ตกใจก็เพราะ ระหว่างทานขนมปังกับไวน์ พระเยซูก็ตรัสขึ้นมาว่า "หนึ่งในพวกท่านคนนึง จักต้องทรยศเรา" สร้างความตกใจให้กับพระสาวกทั้งสิบสองอย่างมาก สังเกตได้ว่าแต่ละท่านจะมีอิริยาบทที่ตกใจแตกต่างกันออกไป
แต่สำหรับองค์เยซู พระองค์มีใบหน้าที่สงบนิ่งมาก ไม่ฟรีคเอาท์เหมือนพระสาวกทั้งหลาย แขนสองข้างอ้าออกแสดงถึงการต้อนรับ ก็คือเป็นการเชื้อเชิญให้คนที่มาทานอาหารในวิหารนี้ได้กินอย่างเอร็ดอร่อย
ในภายหลังไวน์จึงกลายเป็นตัวแทนของโลหิตของพระเยซู ส่วนขนมปังเป็นสัญลักษณ์ของร่างกายพระองค์
Judas Iscariot คนที่เป็นสปายของทหารโรมันคือหัวที่4จากทางซ้าย สังเกตให้ดีจะเห็นว่าในมือของเขาถือถุงเงินที่ได้เป็นสินบนมาจากทหารด้วย ส่วนมืออีกข้างนึงทำขนมปังตก แสดงให้เห็นถึงความตกใจที่แอบไม่เนียน
ใครตาไวๆช่างสังเกตลองคิดดู
มองให้ลึกกว่านั้น ภาพภาพนี้สื่อตัวเลขเลขหนึ่งออกมาอย่างมีนัยสำคัญ ลองสังเกตจำนวนของพระสาวกที่นั่งเป็นกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีกี่คน? แล้วหน้าต่างล่ะ มีกี่บาน? แล้วพระเยซูเนี่ย ในรูปนี้เหมือนกับรูปทรงเรขาคณิตกี่เหลี่ยม??.... เอ๊ะ?! มันหมายถึงอะไรกันนะ??
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คำตอบคือสาม...
เพราะดาวินชี่ต้องการสื่อถึง 'ตรีเอกานุภาพ' (Holy Trinity) [พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์]
ว่ากันว่าดาวินชีสามารถวาดภาพหรือเขียนตัวหนังสือแบบกลับซ้ายขวาหน้าหลังเหมือนในกระจกได้ เห็นอะไรแปลกๆไหม?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพด้านบนนี้เกิดจากการเอา Last Supper กลับซ้ายขวามาซ้อนกับอันเดิม ใครเห็นอัศวินเทมพลาร์กับคนอุ้มลูกบ้าง?
ส่วนด้านตรงข้าม เป็นภาพ "Cruxificion" พระเยซูถูกตรึงกางเขนของ Giovanna Donato
สังเกต INRI บนไม้กางเขน จะพบได้ทุกๆไม้กางเขนในโบสถ์เลยครับ มันเป็นตัวย่อภาษาละตินว่า Iēsus Nazarēnus Rēx Iūdaeōrum แปลว่า Jesus of Nazareth, King of the Jews ครับ
ส่วนผู้หญิงที่นอนกอดไม้กางเขนของพระเยซูคือนาง Mary Magdalene สาวกสตรีคนสำคัญผู้คอยปรนนิบัติพระเยซูอยู่ตลอดๆ
เมื่อพระองค์ถูกตรึงกางเขน นางเป็นคนที่เข้าไปกอดกางเขนของพระองค์ในขณะที่สาวกชายคนอื่นๆพากันหลบหนีไปหมด แถมยังเป็นคนแรกที่ได้เห็นการคืนชีพของพระเยซูก่อนจะเสด็จขึ้นสวรค์อีกด้วย
"ครบสิบห้านาที เชิญออกค่าาา"
ดูได้ไม่นานครับ ก่อนออกใช้เส้นประสาทสมองคู่ที่หกสั่งให้ตาชำเลืองหางตามองรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย
(ไม่ต้องดรามา ก็อปมาจากเน็ต ไม่ได้ลักลอบถ่ายออกมาเอง)
เดินอีก15นาทีก็ถึง Museo Nazionale di Leonardo Da Vinci ครับ เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แสดง"ของเล่น"ของดาวินชีที่เคยออกแบบไว้เยอะมากครับ
Leonardo di ser Piero da Vinci เกิดในเมือง Vinci ของจังหวัด Florence ในปี 1452 ในช่วง Renaissance รุ่งเรืองพอดี ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลต้นแบบแห่ง "Renaissance" ก็คือเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ๆ แตกต่างจากคนสมัยเก่าในยุคกลางที่ขาดไอเดียใหม่ๆเพราะถูกคริสตจักรล้างสมอง ผลงานที่สำคัญก็เช่น Mona Lisa, The Last Supper และ Vitruvian man
นอกจากจะเป็นจิตรกรและนักประดิษฐ์แล้ว ดาวินชียังเป็นนักกายวิภาค นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักพฤกษศาสตร์ นักธรณีวิทยา นักแผนที่ สถาปนิก นักดนตรี และนักเขียน ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถหลากหลายที่สุดในโลกคนหนึ่ง (100% Divergent)
เครื่องร่อน
สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ถูกออกแบบโดยดาวินชีเอง น่าเสียดายที่ทำออกมาไม่ได้จริงๆในสมัยดาวินชียังมีชีวิตอยู่
ออกจากตึกใหญ่
มาดูไฮไลต์ของเราคือ
Enrico Toti Submarine ,S506 เรือรบของ Marina Militare (ทัพเรืออิตาลี) ช่วงปี 1970 เป็นเรือรุ่นแรกที่สร้างหลัง WWII ครับ ใหญ่โตมาก เทียบกับแหม่ม All about that bass ยังดูใหญ่เลย
ส่วนจัดแสดงการเดินเรือ เรือโบราณๆ ใหญ่โต เห็นแล้วนึกถึง Argo II ใน The Heroes of Olympus เลย
น้องชายที่อยากเป็นทหารเรือบอกอันนี้คือปืนใหญ่ที่ติดกับเรือดำน้ำ และก็ตอร์ปิโดแบบให้คนขับบังคับได้
ตอร์ปิโดของเรืออู (U-boat) เรือดำน้ำอันโด่งดังของเยอรมันี
ส่วนจัดแสดงเครื่องบินรบอิตาลี และเครื่องบินพราด้า
อันนี้เครื่องบิน Messerschmitt เป็นเครื่องบินฝ่ายอ
[CR] REVIEW: Italy Sightseeing Trip, Day 3 : Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
วงกตแห่งคลอง (Day 4: Treasure and treachery of Venice)
http://ppantip.com/topic/33794965
นครสีแดง (Day 5: The red jigsaws of Bologna)
http://ppantip.com/topic/33833708
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
"Verily I say unto you that one of you shall betray me."
-INRI
Ciao ciao!!
วันนี้เรามีแพลนก็คือ ตอนเช้าจะไปดูภาพวาดในตำนานของดาวินชี ที่จองไว้ล่วงหน้าแล้ว (Last Supper ไง) ตามด้วยพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ครับ
ส่วนตอนเที่ยงๆ ต้องขึ้นรถไฟจาก Milano Centrale มุ่งไปยัง Verona Porta Nuova เวลา 12.30 ครับ เพราะฉะนั้นรักษาเวลาให้ดี ไม่งั้นอาจได้วิ่งหน้าแหกแหลกลานไปขึ้นรถไฟ55555
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปลงรถใต้ดินที่เดิมครับ สถานี Centrale นั่งสายสีเขียวไปลงสถานี Cadorna FN (Terminal: Abbiategrasso)
เดินเลี้ยวตามแผนที่
ก็จะถึง Chiesa di Santa Maria delle Grazie โบสถ์ลูกครึ่งโกธิคกับเรอเนซองส์อันเป็นที่สถิตของภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo da Vinci ศิลปินยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการผู้โด่งดัง
ถึงแล้ว โบสถ์นี้ เป็นโบสถ์เล็กๆ ไม่ตกแต่งเวอร์ มีแค่อิฐแดงๆเปล่าๆ แต่รู้หรือไม่ว่าครึ่งหนึ่งของโบสถ์ถูกดีไซน์โดย Bramante ผู้ที่วางโครงร่างของโดมอลังการใน St.Peter's Basilica ของสำนักวาติกันเลยนะ
การจองตั๋วดูภาพ Last Supper ต้องจองก่อนล่วงหน้าประมาณ1-2เดือนจะดีมาก (ถ้ารอจองใกล้ๆ ไม่ทันครับ) โดยสามารถจองจากเว็บ Milan Museum ก็ได้ครับ แต่เขาจะไม่ขายบัตร Last Supper เดี่ยวๆ จะต้องรวมกับโบสถ์อื่น รวมกับหนังสือ รวมค่าอะไรไม่รู้เยอะแยะ แพง ถูกสุด Adult ก็ 12€ ครับ
แต่อยากแนะนำให้เสิร์ชอินเตอร์เนตว่า "Last Supper Milan Booking" จะมีเว็บเต็มไปหมด ความจริงเอาเว็บไหนก็ได้ครับ (ใช้วิจารณญานหาความน่าเชื่อถือเองครับ) ตอนจองผมใช้เว็บนี้...
http://selectitaly.com/browse/things-to-do/museum/id:207/the-last-supper-tickets-milan
ต่อราคาได้ด้วยนิดหน่อยด้วย Adult 7€, Kid 3€ เอง รวมของพ่อแม่น้องก็ 24€ ครับ พอแอฟฟอร์ดได้อยู่
รอบที่จอง จะต้องจองเป็นรอบทุกๆ30นาที เริ่มตั้งแต่8โมง เราก็จองมันรอบแรกเลย
พอ 7.50 ประตูทางเข้าไปใน Office ของพิพิธภัณฑ์ ก็เปิดให้เข้า (ตรงป้ายสีชมพู)
เข้าไปข้างใน Cenacolo Vinciano พิพิธภัณฑ์ของ Last Supper ยื่นหลักฐานการจองให้เรียบร้อย ได้ตั๋ว ก็รอคนมา escort เข้าไปครับ กรุ๊ปของเรามีประมาณ20คนเท่านั้นครับ
(ภายใน Vietato fotografare/ห้ามถ่ายภาพนะครับ เข้มงวดมาก ยามยืนเฝ้าเต็มเลย)
ผ่านประตูนับสิบยิ่งกว่าบังเกอร์ปธน.เมกาฯ ก็เข้าถึงห้องโถงเก่าๆ มืดๆ เหมือนรังแม่มด มองไปทางขวาก็จะเจอ-
Uhhhhmarrrgerrrddddsss!
ไม่นึกว่ารูปมันใหญ่ขนาดนี้ ภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย/The Last Supper/L'Utima Cena ในคอนเวนชั่นรูมของโบสถ์ Santa Maria delle Grazie เป็นภาพใหญ่ที่สุดของดาวินชีที่ลุงแกฝืนสังขารวาดมือด้วยตัวเองเมื่อปี 1494-1498 ได้รับการอุปถัมภ์จาก Lodovico Sforza ดยุคแห่งมิลาน
แทนที่จะวาดบนปูนเปียก(จะทำให้สีติดสวยและนานกว่าปกติ) แบบเทคนิก True Fresco (แบบของมิเคลันเจโล) แต่กลับวาดบนปูนแห้งแล้ว เทคนิกต่างๆที่ใช้ทำเหทือนกับการวาดรูปบนแผ่นไม้ ส่วนสีใช้สีฝุ่นเทมเพอรา (Egg Tempera, เขาเอาไข่แดงผสมไปด้วย) ทั้งหมดทั้งมวลถึงจะทำให้รูปมีแสงสีที่เพอร์เฟคแถมยังทำให้โทนสีดูกลมกลืนอีกด้วย เทคนิคแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรีบเพนต์รูปให้เสร็จก่อนปูนแห้งแบบ True Fresco ดาวินชีเลยค่อยๆละเลียดละเลงอย่าช้าๆได้นอนเดอะเลส, มันทำให้รูปไม่ทนทานเหมือนของมิเคลลันเจโลในวาติกัน หรือรูปปูนเปียกอื่นๆ ไม่กี่ปีหลังวาดภาพเสร็จ สีก็เริ่มหลุดลอกออก จึงต้องมีการบูรณะอย่างระมัดระวังอยู่เรื่อยๆ
แล้วทำไมภาพนี้ถึงได้โด่งดังไปทั่วโลก? ภาพนี้มัน(เอาตรงๆ)ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น แต่มันมีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่
..เพราะสมัยก่อน ไม่มีอิโมจิ๊ ตกใจหน้าผี แต่ดาวินชีสามารถแสดงควานตื่นตระหนกตกกระไดแพนิกของพระอัครสาวกทั้ง12 (12 Apostles) ออกมาได้เหมือนจริงมากชนิดที่เรียกว่าบริษัทไลน์น่าจะลอกไปทำสติ๊กเกอร์ซะ แถมรูปนี้ยังเป็นรูปแรกที่มีการวาดภาพแบบ "Perspective" การจัดเรียงทางเรขาคณิตเพื่อหลอกตาคนดูให้เห็นเสมือนว่าภาพเป็นสามมิติ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ดาวินชียังวาดให้องค์เยซูเป็นศูนย์กลางที่ Perspective line มาบรรจบกัน พระองค์เลยดูเป็นศูนย์กลางของรูป
ที่ตกใจก็เพราะ ระหว่างทานขนมปังกับไวน์ พระเยซูก็ตรัสขึ้นมาว่า "หนึ่งในพวกท่านคนนึง จักต้องทรยศเรา" สร้างความตกใจให้กับพระสาวกทั้งสิบสองอย่างมาก สังเกตได้ว่าแต่ละท่านจะมีอิริยาบทที่ตกใจแตกต่างกันออกไป
แต่สำหรับองค์เยซู พระองค์มีใบหน้าที่สงบนิ่งมาก ไม่ฟรีคเอาท์เหมือนพระสาวกทั้งหลาย แขนสองข้างอ้าออกแสดงถึงการต้อนรับ ก็คือเป็นการเชื้อเชิญให้คนที่มาทานอาหารในวิหารนี้ได้กินอย่างเอร็ดอร่อย
ในภายหลังไวน์จึงกลายเป็นตัวแทนของโลหิตของพระเยซู ส่วนขนมปังเป็นสัญลักษณ์ของร่างกายพระองค์
Judas Iscariot คนที่เป็นสปายของทหารโรมันคือหัวที่4จากทางซ้าย สังเกตให้ดีจะเห็นว่าในมือของเขาถือถุงเงินที่ได้เป็นสินบนมาจากทหารด้วย ส่วนมืออีกข้างนึงทำขนมปังตก แสดงให้เห็นถึงความตกใจที่แอบไม่เนียน
ใครตาไวๆช่างสังเกตลองคิดดู
มองให้ลึกกว่านั้น ภาพภาพนี้สื่อตัวเลขเลขหนึ่งออกมาอย่างมีนัยสำคัญ ลองสังเกตจำนวนของพระสาวกที่นั่งเป็นกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีกี่คน? แล้วหน้าต่างล่ะ มีกี่บาน? แล้วพระเยซูเนี่ย ในรูปนี้เหมือนกับรูปทรงเรขาคณิตกี่เหลี่ยม??.... เอ๊ะ?! มันหมายถึงอะไรกันนะ??
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ว่ากันว่าดาวินชีสามารถวาดภาพหรือเขียนตัวหนังสือแบบกลับซ้ายขวาหน้าหลังเหมือนในกระจกได้ เห็นอะไรแปลกๆไหม?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนด้านตรงข้าม เป็นภาพ "Cruxificion" พระเยซูถูกตรึงกางเขนของ Giovanna Donato
สังเกต INRI บนไม้กางเขน จะพบได้ทุกๆไม้กางเขนในโบสถ์เลยครับ มันเป็นตัวย่อภาษาละตินว่า Iēsus Nazarēnus Rēx Iūdaeōrum แปลว่า Jesus of Nazareth, King of the Jews ครับ
ส่วนผู้หญิงที่นอนกอดไม้กางเขนของพระเยซูคือนาง Mary Magdalene สาวกสตรีคนสำคัญผู้คอยปรนนิบัติพระเยซูอยู่ตลอดๆ
เมื่อพระองค์ถูกตรึงกางเขน นางเป็นคนที่เข้าไปกอดกางเขนของพระองค์ในขณะที่สาวกชายคนอื่นๆพากันหลบหนีไปหมด แถมยังเป็นคนแรกที่ได้เห็นการคืนชีพของพระเยซูก่อนจะเสด็จขึ้นสวรค์อีกด้วย
"ครบสิบห้านาที เชิญออกค่าาา"
ดูได้ไม่นานครับ ก่อนออกใช้เส้นประสาทสมองคู่ที่หกสั่งให้ตาชำเลืองหางตามองรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย
(ไม่ต้องดรามา ก็อปมาจากเน็ต ไม่ได้ลักลอบถ่ายออกมาเอง)
เดินอีก15นาทีก็ถึง Museo Nazionale di Leonardo Da Vinci ครับ เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แสดง"ของเล่น"ของดาวินชีที่เคยออกแบบไว้เยอะมากครับ
Leonardo di ser Piero da Vinci เกิดในเมือง Vinci ของจังหวัด Florence ในปี 1452 ในช่วง Renaissance รุ่งเรืองพอดี ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลต้นแบบแห่ง "Renaissance" ก็คือเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ๆ แตกต่างจากคนสมัยเก่าในยุคกลางที่ขาดไอเดียใหม่ๆเพราะถูกคริสตจักรล้างสมอง ผลงานที่สำคัญก็เช่น Mona Lisa, The Last Supper และ Vitruvian man
นอกจากจะเป็นจิตรกรและนักประดิษฐ์แล้ว ดาวินชียังเป็นนักกายวิภาค นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักพฤกษศาสตร์ นักธรณีวิทยา นักแผนที่ สถาปนิก นักดนตรี และนักเขียน ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถหลากหลายที่สุดในโลกคนหนึ่ง (100% Divergent)
เครื่องร่อน
สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ถูกออกแบบโดยดาวินชีเอง น่าเสียดายที่ทำออกมาไม่ได้จริงๆในสมัยดาวินชียังมีชีวิตอยู่
ออกจากตึกใหญ่
มาดูไฮไลต์ของเราคือ
Enrico Toti Submarine ,S506 เรือรบของ Marina Militare (ทัพเรืออิตาลี) ช่วงปี 1970 เป็นเรือรุ่นแรกที่สร้างหลัง WWII ครับ ใหญ่โตมาก เทียบกับแหม่ม All about that bass ยังดูใหญ่เลย
ส่วนจัดแสดงการเดินเรือ เรือโบราณๆ ใหญ่โต เห็นแล้วนึกถึง Argo II ใน The Heroes of Olympus เลย
น้องชายที่อยากเป็นทหารเรือบอกอันนี้คือปืนใหญ่ที่ติดกับเรือดำน้ำ และก็ตอร์ปิโดแบบให้คนขับบังคับได้
ตอร์ปิโดของเรืออู (U-boat) เรือดำน้ำอันโด่งดังของเยอรมันี
ส่วนจัดแสดงเครื่องบินรบอิตาลี และเครื่องบินพราด้า
อันนี้เครื่องบิน Messerschmitt เป็นเครื่องบินฝ่ายอ