อฝากแฟนฟิค [The Hobbit Fanfic, Bagginshield , Thorin/Bilbo] Grow Together ฝากติดตามและติชมด้วยนะค้า
******เป็นแฟนฟิคแบบ Yaoi และมีสปอยล์เนื้อหา The Battle of The Five Armies นะคะ!!!******
เรื่องราวคาบเกี่ยวและต่อเนื่องจาก BOFA ไปจนถึง The Lord of the ring ค่ะ ฝากติดตามและติชมด้วยนะคะ
รักคนอ่านทุกคนค่า
บทที่หนึ่ง ย้อนอ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://ppantip.com/topic/33321251
และสามารถติดตามอ่านในเด็กดี ที่ลิ้งก์นี้ได้เลยค่า >>>>>
http://my.dek-d.com/kipling/writer/view.php?id=1296282
ขอบคุณล่วงหน้านะค้าาาาาาา
Grow Together
ตอนที่ 2
…หนาว….หนาวเหลือเกิน….
อดีตราชันย์แห่งหุบเขาสีเงินหรี่ตามองรอบกาย พบเพียงกลุ่มหมอกสีเทาหนาทึบรายล้อม ไม่ว่าพยายามเพ่งมองเท่าไร ก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านม่านหมอกนี้ได้เลย อีกทั้งยังหนาวเหน็บ และเดียวดายยิ่งนัก
เพราะนับตั้งแต่เสียงร่ำไห้ของบิลโบได้เลือนหายไป รอบตัวก็จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดและเงียบงัน วันคืนล่วงเลยมานานเพียงใดไม่สามารถคาดประมาณได้ ยาวนานราวกับความมืดนั้นไม่มีวันสิ้นสุด
จนกระทั่งเวลาหนึ่ง แสงสลัวได้เล็ดลอดเข้ามาในประสาทสัมผัส ทำให้เขาค่อยๆปรือตามองรอบตัว แล้วรับรู้ว่าตนได้หลุดหลงมาอยู่ในทะเลหมอกสีเทาแห่งนี้
…..ที่นี่คือที่ใดกัน…
ธอรินก้าวเดินทีละก้าวอย่างไร้จุดหมาย พลางยกมือขึ้นลูบแขนทั้งสองข้างเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตนเอง
….หนาวงั้นหรือ…. นึกแปลกใจที่ตนกลับมามีความรู้สึกราวมีชีวิตอีกครั้ง ทว่าความหนาวกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความอ้างว้างที่เกาะกุมหัวใจ
….เอเรบอร์ ยามนี้จะเป็นเช่นไร…..
….เหล่าสหายจักปกครองกันเองได้หรือไม่….
….ประชาชนของข้าอยู่กันอย่างสงบสุขดีหรือไม่….
ห้วงความคิดวนเวียนไปมาอย่างเป็นกังวล แต่สิ่งที่เด่นชัดและกระหวัดถึงมากที่สุดในใจของธอรินนั้นคือ
…..บิลโบ มาสเตอร์แบ็กกินส์ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…
….คิดถึงเหลือเกิน ฮอบบิทน้อยของข้า….
ภาพใบหน้ากลมอาบไปด้วยน้ำตา ร่างเล็กๆที่สั่นเทาตามแรงสะอื้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ นึกอยากดึงตัวมากอดปลอบประโลมใจแทบขาด หากแต่ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ธอรินจึงทำได้แค่เพียงกอดแขนตนเองแน่นขึ้น พร่ำภาวนาคำขอเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจตน
…องค์มาฮัล หรือทวยเทพใดที่ได้ยินเสียงข้า
… ได้โปรด ให้ข้าพระองค์ได้ชดใช้สิ่งที่ข้าได้กระทำกับเขา
… บิลโบ แบ็กกินส์ ผู้ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับข้า…
สองขาหยุดก้าวเดินพลันทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างอ่อนล้า เจ็บปลาบที่กลางอกยิ่งกว่าต้องคมดาบศัตรู เจ็บใจที่ตนรู้ตัวเมื่อสาย ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา หาใช่อาร์เคนสโตนที่เฝ้าตามหามาตลอดชีวิตไม่
แต่กลับเป็นฮอบบิทตัวเล็กๆ ที่เขาเคยดูแคลนในครั้งแรกที่ได้พบกัน
….ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้มีโอกาสทำเพื่อคนที่ข้ารัก…
… ได้โปรด ให้ข้าได้ดูแลฮาล์ฟลิ่งน้อยผู้นั้น….
….หรือแม้ได้เพียงเฝ้ามอง ข้าก็ยินดี……
น้ำตาของอดีตกษัตริย์ใต้ขุนเขาที่ไม่มีใครเคยเห็นหยดร่วงลงสู่พื้นดิน ทันใดนั้นเอง หมอกสีเทาปริศนาพลันหายไปในพริบตาราวปาฏิหาริย์ ความหนาวเหน็บที่เคยมีเริ่มบรรเทาลง และถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นค่อยๆไล้ผิวกาย
ธอรินเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ พลันพบกับแสงสว่างจากเบื้องบนส่องทะลุผ่านผืนเมฆหนาทำให้ความมืดมัวหายไปสิ้น
แม้มีคำถามผุดขึ้นในใจมากมาย ทว่าสัญชาติญาณของเขากลับบอกให้ตนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และมุ่งตรงไปยังแสงแห่งความหวังนั้นอย่างไม่หวั่นเกรง
*******************
**********
*****
**
นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงเพราะแสงเจิดจ้ารอบตัว สายลมอุ่นที่วูบผ่านกายอย่างรวดเร็วจนต้องยกมือขึ้นป้องกันตนเอง อากาศที่เคยให้ความรู้สึกอึดอัดพลันสดชื่นปลอดโปร่งในพริบตา เสียงนกร้องและคลื่นลมผ่านแมกไม้ดังแว่วมาทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆลืมตาทีละนิดจนสามารถปรับสภาพรับแสงได้ ภาพผืนหญ้าสีเขียวขจีบนเนินดินชุ่มชื้น แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกล พ้นจากเนินดินไปนั้นเป็นที่ลาดต่ำ ต้นหญ้าถูกถางออกกลายเป็นแนวถนนลูกรังทอดยาวและลัดเลาะไปตามเนินดินลูกอื่นๆ โดยแต่ละลูกถูกขุดเป็นโพรงและต่อเติมด้วยหน้าต่างและประตู้ไม้หลากสีสัน แสงอาทิตย์ที่พาดผ่านมาจากฝั่งตะวันออกทำให้รู้ได้ว่ายังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ ผู้เป็นเจ้าของบ้านโพรงดินต่างๆส่วนมากจึงยังคงพักผ่อนกันอยู่ในแหล่งพำนักตน มีบางส่วนที่เริ่มออกมาจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน ด้วยรูปลักษณ์ของผู้คนละแวกนี้ ทั้งใบหน้ากลม หูแหลม ตัวเล็กป้อม เดินเท้าเปล่าที่ปกคลุมไปด้วยขนปุย รวมทั้งบรรยากาศโดยรอบทั้งหมดที่คุ้นตาที่ให้ธอรินระลึกได้ในเวลาไม่นานว่านี่คือที่แห่งใด
พร้อมกันกับคำตอบที่ผุดขึ้นในใจ เสียงฝีเท้าย่ำลงบนผืนหญ้าก็ดังขึ้นใกล้ตัว อดีตราชันย์หนุ่มจึงรีบหันกลับไปทันที
ราวกับกาลเวลาหยุดหมุน …. หัวใจของธอรินพลันกระตุกวูบเมื่อได้เห็นบุคคลที่ยืนตรงหน้า ผมหยักศกสีน้ำผึ้งล้อมกรอบใบหน้าน่ารัก ดวงตาสีเขียวที่เริ่มฉายประกายสดใส จมูกกลมรับกันกับริมฝีปากเล็กบางที่กำลังคลี่ยิ้มทีละน้อย
รอยยิ้ม…. ที่ธอรินคิดถึงมากที่สุด
…… บิลโบ …..
หัวใจที่เคยแตกสลายจากการพลัดพราก ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยมีมลายหายไปสิ้นในเสี้ยววินาที น้ำตาที่เคยหลั่งออกมาด้วยความทุกข์ทรมานแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ ทุกอย่างยิ่งทวีคูณเมื่ออดีตหัวขโมยคนสำคัญได้มอบรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา สุขล้นจนอยากจะคว้าตัวฮอบบิทน้อยตรงหน้ามากอดเสียเดี๋ยวนี้
“โตไวกว่าที่คิดนะ…ดีจังเลย” คำพูดของบิลโบทำให้ธอรินชะงัก ก่อนจะเริ่มสังเกตความผิดปรกติบางอย่าง นัยน์ตาสีเขียวใสของคนตัวเล็กแม้มีประกายแห่งความสุข ทว่ายังระคนความเศร้าอยู่ไม่น้อย
ทั้งยังเหมือนมองผ่านทะลุตัวเขาไปเสียอย่างนั้น
….บิลโบ นี่เจ้า…..มองไม่เห็นข้า…
อิริยาบถต่อมาของอีกฝ่ายนั้นแทนคำตอบได้อย่างดี ฮอบบิทน้อยเดินผ่านร่างของอดีตราชันย์หนุ่มราวกับเป็นอากาศธาตุ ทำให้ธอรินต้องเบิกตากว้าง ความปวดร้าวและสับสนต่างๆนานาผุดขึ้นในใจทันที แต่ก่อนที่คนแคระหนุ่มจะหาคำตอบได้ให้กับตนเองได้ เสียงเหมือนคนตัวเล็กนั่งลงคุกเข่าอยู่เบื้องหลังทำให้เขาต้องหันกลับไปสังเกตการกระทำของเจ้าหัวขโมยอีกครั้ง
บิลโบนั่งลงพร้อมกับวางถังรดน้ำต้นไม้อันเล็กไว้ข้างตัว พลางก้มลงมองสิ่งที่อยู่บนผืนดิน
ผืนดิน…ที่มีต้นอ่อนเล็กๆโผล่ยอดออกมาสูงเพียงข้อนิ้ว ใบสีเขียวอ่อนปนน้ำตาลขนาดย่อมที่เพิ่งแตกออกรับสัมผัสกับแสงแดดครั้งแรกทำให้ฮอบบิทน้อยยิ้มอีกครั้ง
ยิ้ม…..แบบที่บิลโบเคยมอบให้กับเขา
ธอรินมองตามบิลโบมายังต้นกล้าน้อย พิจารณาไปตามริ้วขอบใบสีอ่อนเล็กๆสองสามใบนั้น อดีตกษัตริย์และช่างตีดาบอย่างเขาเชี่ยวชาญแต่เพียงงานโลหะและทองคำ หาใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าอย่างอดีตหัวขโมยข้างตัว จึงไม่อาจรู้ในทันทีได้ว่าตรงหน้านั้นคือพืชพันธุ์ชนิดใด
ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกอย่างก็ถูกไขกระจ่าง
“อรุณสวัสดิ์ มาสเตอร์แบกกิ้นส์” ฮอบบิทอีกคนส่งเสียงทักทายขึ้นมาจากด้านล่างของเนินดินตรงหน้ารั้วบ้านแบ็กเอ็นด์ พลางเดินขึ้นมาพร้อมกับขยับตะกร้าเปล่าขึ้นอุ้มให้ถนัดมือ
“คุณแบรนดี้ บักส์ อรุณสวัสดิ์” บิลโบลุกขึ้นทันที ขณะที่แขกผู้มาเยือนเดินเข้ามาใกล้
“โอ้ นั่น กล้าโอ๊คของท่านโผล่พ้นดินแล้ว ข้าจำได้ว่าท่านเพิ่งเอาลงดินไปไม่กี่วันเองนี่ วันนี้เริ่มแตกยอดแล้ว เยี่ยมไปเลย” ผู้มีนามว่าแบรนดี้ บักส์กล่าวอย่างชื่นชม
“โตเร็วอย่างนี้ ข้าว่ามันต้องเป็นต้นโอ๊คที่แข็งแรงและงดงามมากแน่ๆ”
ทว่าคู่สนทนากลับไม่โต้ตอบ ทำให้ผู้เป็นแขกหันกลับมามอง บิลโบยังคงไม่ละสายตาจากต้นไม้ของเขา หลายอึดใจกว่าที่อดีตนักผจญภัยตัวน้อยจะส่งเสียงตอบกลับอย่างเลื่อนลอย
“ใช่ ……ทั้งแข็งแกร่ง …..และสง่างาม”
นัยน์ตาสีเขียวที่เคยสดใสเมื่ออดีตกลับเต็มไปด้วยความหมองเศร้า และนั่นคือสิ่งที่ผู้คนในไชร์สังเกตได้นับตั้งแต่บิลโบ แบ็กกินส์ได้กลับมาหลังจากหายตัวไปนานสิบสามเดือน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะคบค้าสมาคมกับเขาอีกต่อไป มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและช่วยเหลือกันอยู่เสมอ ซึ่งตระกูลแบรนดี้ บักส์ ยังคงเป็นหนึ่งในนั้น
แต่แม้จะมีความสนิทสนม ถึงกระนั้นผู้เป็นเพื่อนบ้านก็รู้ดีว่า ในบางครั้งเขาควรเลือกที่จะไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้เสียจะดีกว่า
“อา….ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงแล้ว ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ มาสเตอร์แบ็กกินส์” แบรนดี้ บักส์กล่าวพร้อมชูตระกร้า “ยังมีอาหารมื้อถัดไปอีกหลายมื้อที่ข้าต้องเก็บเกี่ยว”
“ ขอให้โชคดี คุณแบรนดี้ บักส์” บิลโบส่งยิ้มให้เป็นเชิงลา ขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินลงเนินดินจากไป
เมื่อได้กลับมาอยู่เพียงลำพัง ฮาล์ฟลิ่งหนุ่มจึงหันมายังต้นกล้าพลันทรุดนั่งลงใกล้ๆอีกครั้ง เหม่อมองอยู่เนิ่นนานโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีอีกสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่ตน
…. กล้าโอ๊คงั้นหรือ …..
ผู้ที่แอบฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆรู้สึกอุ่นอิ่มในใจ หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาเคยเคลือบแคลงสิ่งต้องสงสัยในมือของหัวขโมยน้อย สุดท้ายพบว่ามันเป็นเพียงลูกโอ๊คลูกหนึ่งเท่านั้น
……. “ ของด้อยค่าที่เจ้าปรารถนานำติดตัวกลับมาที่ไชร์ ” ….
…… “ ปลูกต้นไม้ที่เจ้ารัก แล้วเฝ้ามองมันเติบโต ” ….
……. เจ้ายังคงจดจำทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่ข้าไม่มีวันลืมเจ้า ใช่หรือไม่ มาสเตอร์แบ็กกินส์ ……
ธอรินไม่อาจละสายตาจากฮอบบิทน้อยได้ นัยน์ตาสีเขียวที่แสนเศร้า ร่างเล็กๆที่ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสาร ทำให้อดีตราชันย์รู้สึกปวดร้าว อยากดึงคนตัวเล็กตรงหน้ามากอดแนบอก แต่กลับทำได้เพียงนั่งลงข้างกายแล้วเฝ้ามองกิริยาของอีกฝ่ายเท่านั้น
ในที่สุด ริมฝีปากบางน่ารักเริ่มมีรอยยิ้มจาง มือน้อยๆเอื้อมสัมผัสใบอ่อนอย่างทะนุถนอม
“ท่านจะต้องแข็งแรง…..และงดงาม…….อย่างที่ท่านเคยเป็น”
วินาทีนั้นเองที่ทำให้ธอรินขมวดคิ้ว สิ่งที่สร้างความแปลกใจหาใช่คำพูดที่บิลโบกล่าวกับต้นไม้ต้นเล็กนั่น หากกลับเป็นความรู้สึกสัมผัสอ่อนโยนที่เกิดขึ้นผิวหน้าของตน จนคนแคระหนุ่มต้องลูบข้างแก้มตัวเองเบาๆอย่างไม่แน่ใจ
และการกระทำต่อมาของฮอบบิทน้อยทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น
บิลโบเอื้อมหยิบถังรดน้ำต้นไม้ข้างกาย ก่อนจะค่อยๆเอียงเข้าใกล้ให้น้ำสะอาดที่บรรจุอยู่ภายในไหลรินรดลงบนต้นกล้าอ่อนช้าๆจนหยดสุดท้าย
ความเย็นสบายถูกซึมซับทั่วผิวกาย รวมทั้งความอ่อนล้าโรยแรงที่สะสมนามานานมลายหายไปราวกับถูกชะล้างผ่านสายน้ำ ทำให้ธอรินต้องก้มลงมองตนเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
….. หรือว่า ….
[Fanfiction The Hobbit][Bagginshield][Thorin/Bilbo] ==== Grow Together ==== อัพบทที่สองแล้วค่า
******เป็นแฟนฟิคแบบ Yaoi และมีสปอยล์เนื้อหา The Battle of The Five Armies นะคะ!!!******
เรื่องราวคาบเกี่ยวและต่อเนื่องจาก BOFA ไปจนถึง The Lord of the ring ค่ะ ฝากติดตามและติชมด้วยนะคะ
รักคนอ่านทุกคนค่า
บทที่หนึ่ง ย้อนอ่านได้ที่นี่ค่ะ http://ppantip.com/topic/33321251
และสามารถติดตามอ่านในเด็กดี ที่ลิ้งก์นี้ได้เลยค่า >>>>> http://my.dek-d.com/kipling/writer/view.php?id=1296282
ขอบคุณล่วงหน้านะค้าาาาาาา
…หนาว….หนาวเหลือเกิน….
อดีตราชันย์แห่งหุบเขาสีเงินหรี่ตามองรอบกาย พบเพียงกลุ่มหมอกสีเทาหนาทึบรายล้อม ไม่ว่าพยายามเพ่งมองเท่าไร ก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านม่านหมอกนี้ได้เลย อีกทั้งยังหนาวเหน็บ และเดียวดายยิ่งนัก
เพราะนับตั้งแต่เสียงร่ำไห้ของบิลโบได้เลือนหายไป รอบตัวก็จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดและเงียบงัน วันคืนล่วงเลยมานานเพียงใดไม่สามารถคาดประมาณได้ ยาวนานราวกับความมืดนั้นไม่มีวันสิ้นสุด
จนกระทั่งเวลาหนึ่ง แสงสลัวได้เล็ดลอดเข้ามาในประสาทสัมผัส ทำให้เขาค่อยๆปรือตามองรอบตัว แล้วรับรู้ว่าตนได้หลุดหลงมาอยู่ในทะเลหมอกสีเทาแห่งนี้
…..ที่นี่คือที่ใดกัน…
ธอรินก้าวเดินทีละก้าวอย่างไร้จุดหมาย พลางยกมือขึ้นลูบแขนทั้งสองข้างเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตนเอง
….หนาวงั้นหรือ…. นึกแปลกใจที่ตนกลับมามีความรู้สึกราวมีชีวิตอีกครั้ง ทว่าความหนาวกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความอ้างว้างที่เกาะกุมหัวใจ
….เอเรบอร์ ยามนี้จะเป็นเช่นไร…..
….เหล่าสหายจักปกครองกันเองได้หรือไม่….
….ประชาชนของข้าอยู่กันอย่างสงบสุขดีหรือไม่….
ห้วงความคิดวนเวียนไปมาอย่างเป็นกังวล แต่สิ่งที่เด่นชัดและกระหวัดถึงมากที่สุดในใจของธอรินนั้นคือ
…..บิลโบ มาสเตอร์แบ็กกินส์ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…
….คิดถึงเหลือเกิน ฮอบบิทน้อยของข้า….
ภาพใบหน้ากลมอาบไปด้วยน้ำตา ร่างเล็กๆที่สั่นเทาตามแรงสะอื้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ นึกอยากดึงตัวมากอดปลอบประโลมใจแทบขาด หากแต่ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ธอรินจึงทำได้แค่เพียงกอดแขนตนเองแน่นขึ้น พร่ำภาวนาคำขอเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจตน
…องค์มาฮัล หรือทวยเทพใดที่ได้ยินเสียงข้า
… ได้โปรด ให้ข้าพระองค์ได้ชดใช้สิ่งที่ข้าได้กระทำกับเขา
… บิลโบ แบ็กกินส์ ผู้ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับข้า…
สองขาหยุดก้าวเดินพลันทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างอ่อนล้า เจ็บปลาบที่กลางอกยิ่งกว่าต้องคมดาบศัตรู เจ็บใจที่ตนรู้ตัวเมื่อสาย ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา หาใช่อาร์เคนสโตนที่เฝ้าตามหามาตลอดชีวิตไม่
แต่กลับเป็นฮอบบิทตัวเล็กๆ ที่เขาเคยดูแคลนในครั้งแรกที่ได้พบกัน
….ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้มีโอกาสทำเพื่อคนที่ข้ารัก…
… ได้โปรด ให้ข้าได้ดูแลฮาล์ฟลิ่งน้อยผู้นั้น….
….หรือแม้ได้เพียงเฝ้ามอง ข้าก็ยินดี……
น้ำตาของอดีตกษัตริย์ใต้ขุนเขาที่ไม่มีใครเคยเห็นหยดร่วงลงสู่พื้นดิน ทันใดนั้นเอง หมอกสีเทาปริศนาพลันหายไปในพริบตาราวปาฏิหาริย์ ความหนาวเหน็บที่เคยมีเริ่มบรรเทาลง และถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นค่อยๆไล้ผิวกาย
ธอรินเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ พลันพบกับแสงสว่างจากเบื้องบนส่องทะลุผ่านผืนเมฆหนาทำให้ความมืดมัวหายไปสิ้น
แม้มีคำถามผุดขึ้นในใจมากมาย ทว่าสัญชาติญาณของเขากลับบอกให้ตนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และมุ่งตรงไปยังแสงแห่งความหวังนั้นอย่างไม่หวั่นเกรง
**********
*****
**
นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงเพราะแสงเจิดจ้ารอบตัว สายลมอุ่นที่วูบผ่านกายอย่างรวดเร็วจนต้องยกมือขึ้นป้องกันตนเอง อากาศที่เคยให้ความรู้สึกอึดอัดพลันสดชื่นปลอดโปร่งในพริบตา เสียงนกร้องและคลื่นลมผ่านแมกไม้ดังแว่วมาทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆลืมตาทีละนิดจนสามารถปรับสภาพรับแสงได้ ภาพผืนหญ้าสีเขียวขจีบนเนินดินชุ่มชื้น แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกล พ้นจากเนินดินไปนั้นเป็นที่ลาดต่ำ ต้นหญ้าถูกถางออกกลายเป็นแนวถนนลูกรังทอดยาวและลัดเลาะไปตามเนินดินลูกอื่นๆ โดยแต่ละลูกถูกขุดเป็นโพรงและต่อเติมด้วยหน้าต่างและประตู้ไม้หลากสีสัน แสงอาทิตย์ที่พาดผ่านมาจากฝั่งตะวันออกทำให้รู้ได้ว่ายังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ ผู้เป็นเจ้าของบ้านโพรงดินต่างๆส่วนมากจึงยังคงพักผ่อนกันอยู่ในแหล่งพำนักตน มีบางส่วนที่เริ่มออกมาจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน ด้วยรูปลักษณ์ของผู้คนละแวกนี้ ทั้งใบหน้ากลม หูแหลม ตัวเล็กป้อม เดินเท้าเปล่าที่ปกคลุมไปด้วยขนปุย รวมทั้งบรรยากาศโดยรอบทั้งหมดที่คุ้นตาที่ให้ธอรินระลึกได้ในเวลาไม่นานว่านี่คือที่แห่งใด
พร้อมกันกับคำตอบที่ผุดขึ้นในใจ เสียงฝีเท้าย่ำลงบนผืนหญ้าก็ดังขึ้นใกล้ตัว อดีตราชันย์หนุ่มจึงรีบหันกลับไปทันที
ราวกับกาลเวลาหยุดหมุน …. หัวใจของธอรินพลันกระตุกวูบเมื่อได้เห็นบุคคลที่ยืนตรงหน้า ผมหยักศกสีน้ำผึ้งล้อมกรอบใบหน้าน่ารัก ดวงตาสีเขียวที่เริ่มฉายประกายสดใส จมูกกลมรับกันกับริมฝีปากเล็กบางที่กำลังคลี่ยิ้มทีละน้อย
รอยยิ้ม…. ที่ธอรินคิดถึงมากที่สุด
…… บิลโบ …..
หัวใจที่เคยแตกสลายจากการพลัดพราก ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยมีมลายหายไปสิ้นในเสี้ยววินาที น้ำตาที่เคยหลั่งออกมาด้วยความทุกข์ทรมานแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ ทุกอย่างยิ่งทวีคูณเมื่ออดีตหัวขโมยคนสำคัญได้มอบรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา สุขล้นจนอยากจะคว้าตัวฮอบบิทน้อยตรงหน้ามากอดเสียเดี๋ยวนี้
“โตไวกว่าที่คิดนะ…ดีจังเลย” คำพูดของบิลโบทำให้ธอรินชะงัก ก่อนจะเริ่มสังเกตความผิดปรกติบางอย่าง นัยน์ตาสีเขียวใสของคนตัวเล็กแม้มีประกายแห่งความสุข ทว่ายังระคนความเศร้าอยู่ไม่น้อย
ทั้งยังเหมือนมองผ่านทะลุตัวเขาไปเสียอย่างนั้น
….บิลโบ นี่เจ้า…..มองไม่เห็นข้า…
อิริยาบถต่อมาของอีกฝ่ายนั้นแทนคำตอบได้อย่างดี ฮอบบิทน้อยเดินผ่านร่างของอดีตราชันย์หนุ่มราวกับเป็นอากาศธาตุ ทำให้ธอรินต้องเบิกตากว้าง ความปวดร้าวและสับสนต่างๆนานาผุดขึ้นในใจทันที แต่ก่อนที่คนแคระหนุ่มจะหาคำตอบได้ให้กับตนเองได้ เสียงเหมือนคนตัวเล็กนั่งลงคุกเข่าอยู่เบื้องหลังทำให้เขาต้องหันกลับไปสังเกตการกระทำของเจ้าหัวขโมยอีกครั้ง
บิลโบนั่งลงพร้อมกับวางถังรดน้ำต้นไม้อันเล็กไว้ข้างตัว พลางก้มลงมองสิ่งที่อยู่บนผืนดิน
ผืนดิน…ที่มีต้นอ่อนเล็กๆโผล่ยอดออกมาสูงเพียงข้อนิ้ว ใบสีเขียวอ่อนปนน้ำตาลขนาดย่อมที่เพิ่งแตกออกรับสัมผัสกับแสงแดดครั้งแรกทำให้ฮอบบิทน้อยยิ้มอีกครั้ง
ยิ้ม…..แบบที่บิลโบเคยมอบให้กับเขา
ธอรินมองตามบิลโบมายังต้นกล้าน้อย พิจารณาไปตามริ้วขอบใบสีอ่อนเล็กๆสองสามใบนั้น อดีตกษัตริย์และช่างตีดาบอย่างเขาเชี่ยวชาญแต่เพียงงานโลหะและทองคำ หาใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าอย่างอดีตหัวขโมยข้างตัว จึงไม่อาจรู้ในทันทีได้ว่าตรงหน้านั้นคือพืชพันธุ์ชนิดใด
ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกอย่างก็ถูกไขกระจ่าง
“อรุณสวัสดิ์ มาสเตอร์แบกกิ้นส์” ฮอบบิทอีกคนส่งเสียงทักทายขึ้นมาจากด้านล่างของเนินดินตรงหน้ารั้วบ้านแบ็กเอ็นด์ พลางเดินขึ้นมาพร้อมกับขยับตะกร้าเปล่าขึ้นอุ้มให้ถนัดมือ
“คุณแบรนดี้ บักส์ อรุณสวัสดิ์” บิลโบลุกขึ้นทันที ขณะที่แขกผู้มาเยือนเดินเข้ามาใกล้
“โอ้ นั่น กล้าโอ๊คของท่านโผล่พ้นดินแล้ว ข้าจำได้ว่าท่านเพิ่งเอาลงดินไปไม่กี่วันเองนี่ วันนี้เริ่มแตกยอดแล้ว เยี่ยมไปเลย” ผู้มีนามว่าแบรนดี้ บักส์กล่าวอย่างชื่นชม
“โตเร็วอย่างนี้ ข้าว่ามันต้องเป็นต้นโอ๊คที่แข็งแรงและงดงามมากแน่ๆ”
ทว่าคู่สนทนากลับไม่โต้ตอบ ทำให้ผู้เป็นแขกหันกลับมามอง บิลโบยังคงไม่ละสายตาจากต้นไม้ของเขา หลายอึดใจกว่าที่อดีตนักผจญภัยตัวน้อยจะส่งเสียงตอบกลับอย่างเลื่อนลอย
“ใช่ ……ทั้งแข็งแกร่ง …..และสง่างาม”
นัยน์ตาสีเขียวที่เคยสดใสเมื่ออดีตกลับเต็มไปด้วยความหมองเศร้า และนั่นคือสิ่งที่ผู้คนในไชร์สังเกตได้นับตั้งแต่บิลโบ แบ็กกินส์ได้กลับมาหลังจากหายตัวไปนานสิบสามเดือน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะคบค้าสมาคมกับเขาอีกต่อไป มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและช่วยเหลือกันอยู่เสมอ ซึ่งตระกูลแบรนดี้ บักส์ ยังคงเป็นหนึ่งในนั้น
แต่แม้จะมีความสนิทสนม ถึงกระนั้นผู้เป็นเพื่อนบ้านก็รู้ดีว่า ในบางครั้งเขาควรเลือกที่จะไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้เสียจะดีกว่า
“อา….ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงแล้ว ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ มาสเตอร์แบ็กกินส์” แบรนดี้ บักส์กล่าวพร้อมชูตระกร้า “ยังมีอาหารมื้อถัดไปอีกหลายมื้อที่ข้าต้องเก็บเกี่ยว”
“ ขอให้โชคดี คุณแบรนดี้ บักส์” บิลโบส่งยิ้มให้เป็นเชิงลา ขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินลงเนินดินจากไป
เมื่อได้กลับมาอยู่เพียงลำพัง ฮาล์ฟลิ่งหนุ่มจึงหันมายังต้นกล้าพลันทรุดนั่งลงใกล้ๆอีกครั้ง เหม่อมองอยู่เนิ่นนานโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีอีกสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่ตน
…. กล้าโอ๊คงั้นหรือ …..
ผู้ที่แอบฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆรู้สึกอุ่นอิ่มในใจ หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาเคยเคลือบแคลงสิ่งต้องสงสัยในมือของหัวขโมยน้อย สุดท้ายพบว่ามันเป็นเพียงลูกโอ๊คลูกหนึ่งเท่านั้น
……. “ ของด้อยค่าที่เจ้าปรารถนานำติดตัวกลับมาที่ไชร์ ” ….
…… “ ปลูกต้นไม้ที่เจ้ารัก แล้วเฝ้ามองมันเติบโต ” ….
……. เจ้ายังคงจดจำทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่ข้าไม่มีวันลืมเจ้า ใช่หรือไม่ มาสเตอร์แบ็กกินส์ ……
ธอรินไม่อาจละสายตาจากฮอบบิทน้อยได้ นัยน์ตาสีเขียวที่แสนเศร้า ร่างเล็กๆที่ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสาร ทำให้อดีตราชันย์รู้สึกปวดร้าว อยากดึงคนตัวเล็กตรงหน้ามากอดแนบอก แต่กลับทำได้เพียงนั่งลงข้างกายแล้วเฝ้ามองกิริยาของอีกฝ่ายเท่านั้น
ในที่สุด ริมฝีปากบางน่ารักเริ่มมีรอยยิ้มจาง มือน้อยๆเอื้อมสัมผัสใบอ่อนอย่างทะนุถนอม
“ท่านจะต้องแข็งแรง…..และงดงาม…….อย่างที่ท่านเคยเป็น”
วินาทีนั้นเองที่ทำให้ธอรินขมวดคิ้ว สิ่งที่สร้างความแปลกใจหาใช่คำพูดที่บิลโบกล่าวกับต้นไม้ต้นเล็กนั่น หากกลับเป็นความรู้สึกสัมผัสอ่อนโยนที่เกิดขึ้นผิวหน้าของตน จนคนแคระหนุ่มต้องลูบข้างแก้มตัวเองเบาๆอย่างไม่แน่ใจ
และการกระทำต่อมาของฮอบบิทน้อยทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น
บิลโบเอื้อมหยิบถังรดน้ำต้นไม้ข้างกาย ก่อนจะค่อยๆเอียงเข้าใกล้ให้น้ำสะอาดที่บรรจุอยู่ภายในไหลรินรดลงบนต้นกล้าอ่อนช้าๆจนหยดสุดท้าย
ความเย็นสบายถูกซึมซับทั่วผิวกาย รวมทั้งความอ่อนล้าโรยแรงที่สะสมนามานานมลายหายไปราวกับถูกชะล้างผ่านสายน้ำ ทำให้ธอรินต้องก้มลงมองตนเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
….. หรือว่า ….