คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
เมื่อเราถูกไฟดูด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายของเราจะปรากฏความต่างศักย์ขึ้น 2 จุด
เช่น หากเอามือไปจับสายไฟ ที่มือของเราจะมีความต่างศักย์ที่สูงกว่าเท้าของเราที่เหยียบแนบพื้นดินอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ จะมี " กระแสไฟฟ้า " (Electric Current) ไหลจากมือลงไปสู่เท้า
การไหลของกระแส นี้ ทำให้เกิด " พลังงานไฟฟ้า " (Power) ปรากฏที่เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ
และ อวัยวะภายในที่กระแสไหลผ่าน การที่มี power เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ นี้
จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในกล้ามเนื้อและอื่น ๆ ทำให้ส่วนนั้นถูกทำลาย ตามที่เราเห็นภาพ
แผลไฟดูดเป็นการไหม้ พุพอง ครับ
ส่วนการเสียชีวิตหลัก ๆ เลยก็คือ power ที่เกิดจากวรรคบน จะไปปรากฏเป็นความต่างศักย์ที่บริเวณหัวใจ
โดยความต่างศักย์ที่เกิดขึ้นนี้ มีค่ามากพอที่จะทำให้จุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เรียกว่า Pacemaker Cells
นั้นหยุดทำงาน ซึ่ง pacemaker cells นี้ จะมีอยู่ 2 ส่วนคือ Sinoatrial node (SA node)
และ Atrioventricular node (AV node) ...... การที่ส่วนของ SA , AV node นี้ ถูกแทรกแซง (override)
จากความต่างศักย์ที่ปรากฏนี้ ทำให้การกำเนิดจังหวะไฟฟ้า (กระแสประสาท) สู่กล้ามเนื้อหัวใจ นั้น หยุดลงไป หัวใจจึงหยุดเต้นครับ
สำหรับเรื่องของ Volts Amps และ Power นั้น ขออธิบายยาวสักหน่อยนะครับ
ทั้ง Volts Amps Power ..... 3 อย่างนี้เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันด้วยกฏของ Ohms ธรรมดานี่เอง
ซึ่งอธิบายได้ว่า หากมีไฟฟ้าอยู่ 2 ขั้วที่มี Volts สูงถึง 1,000 Volts แต่กำเนิดมาจากแหล่งที่จ่ายกระแสได้ต่ำมาก ๆๆๆ
เมื่อเราเอามือไปจับ ....... ร่างกาย (มือ) เราก็จะเป็นเหมือน Load ที่ไปต่อกับไฟ 1,000V 2 ขั้วนั้น ทำให้ไฟ 1,000V นั้น
ลดลงเหลือแค่ 30 - 40V ที่มือเรา เพราะมัน " จ่ายไม่ไหว " นั่นเองครับ ซึ่งการที่มันจ่ายไฟออกมาไม่ไหวจน
เหลือแค่ 40V ที่มือเรา นั้น ทำให้เกิดกระแสไหลผ่านร่างกายเราน้อยมาก ๆ จนไม่สามารถเกิด power ที่มากพอ
ที่จะทำอันตรายร่างกายเราได้ เราจึงไม่รู้สึกอะไรเลยครับ
แต่ ..... กรณีที่มีไฟ 2 ขั้ว 220 Volts แต่จ่ายกระแสได้สูงมาก
เมื่อเราเอามือไปจับ .... Volts ขนาด 220 จะไม่ลดลงเลย
ทำให้เกิด " กระแส " (Amps) จำนวนมากไหลผ่านร่างกายเราไป
และเจ้า Amps จำนวนมากนี้เองที่ทำให้เกิด power ในกล้ามเนื้อ - อวัยวะ
สร้างเป็นความร้อนที่สามารถทำลายร่างกายเราได้ครับ
เช่น หากเอามือไปจับสายไฟ ที่มือของเราจะมีความต่างศักย์ที่สูงกว่าเท้าของเราที่เหยียบแนบพื้นดินอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ จะมี " กระแสไฟฟ้า " (Electric Current) ไหลจากมือลงไปสู่เท้า
การไหลของกระแส นี้ ทำให้เกิด " พลังงานไฟฟ้า " (Power) ปรากฏที่เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ
และ อวัยวะภายในที่กระแสไหลผ่าน การที่มี power เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ นี้
จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในกล้ามเนื้อและอื่น ๆ ทำให้ส่วนนั้นถูกทำลาย ตามที่เราเห็นภาพ
แผลไฟดูดเป็นการไหม้ พุพอง ครับ
ส่วนการเสียชีวิตหลัก ๆ เลยก็คือ power ที่เกิดจากวรรคบน จะไปปรากฏเป็นความต่างศักย์ที่บริเวณหัวใจ
โดยความต่างศักย์ที่เกิดขึ้นนี้ มีค่ามากพอที่จะทำให้จุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เรียกว่า Pacemaker Cells
นั้นหยุดทำงาน ซึ่ง pacemaker cells นี้ จะมีอยู่ 2 ส่วนคือ Sinoatrial node (SA node)
และ Atrioventricular node (AV node) ...... การที่ส่วนของ SA , AV node นี้ ถูกแทรกแซง (override)
จากความต่างศักย์ที่ปรากฏนี้ ทำให้การกำเนิดจังหวะไฟฟ้า (กระแสประสาท) สู่กล้ามเนื้อหัวใจ นั้น หยุดลงไป หัวใจจึงหยุดเต้นครับ
สำหรับเรื่องของ Volts Amps และ Power นั้น ขออธิบายยาวสักหน่อยนะครับ
ทั้ง Volts Amps Power ..... 3 อย่างนี้เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันด้วยกฏของ Ohms ธรรมดานี่เอง
ซึ่งอธิบายได้ว่า หากมีไฟฟ้าอยู่ 2 ขั้วที่มี Volts สูงถึง 1,000 Volts แต่กำเนิดมาจากแหล่งที่จ่ายกระแสได้ต่ำมาก ๆๆๆ
เมื่อเราเอามือไปจับ ....... ร่างกาย (มือ) เราก็จะเป็นเหมือน Load ที่ไปต่อกับไฟ 1,000V 2 ขั้วนั้น ทำให้ไฟ 1,000V นั้น
ลดลงเหลือแค่ 30 - 40V ที่มือเรา เพราะมัน " จ่ายไม่ไหว " นั่นเองครับ ซึ่งการที่มันจ่ายไฟออกมาไม่ไหวจน
เหลือแค่ 40V ที่มือเรา นั้น ทำให้เกิดกระแสไหลผ่านร่างกายเราน้อยมาก ๆ จนไม่สามารถเกิด power ที่มากพอ
ที่จะทำอันตรายร่างกายเราได้ เราจึงไม่รู้สึกอะไรเลยครับ
แต่ ..... กรณีที่มีไฟ 2 ขั้ว 220 Volts แต่จ่ายกระแสได้สูงมาก
เมื่อเราเอามือไปจับ .... Volts ขนาด 220 จะไม่ลดลงเลย
ทำให้เกิด " กระแส " (Amps) จำนวนมากไหลผ่านร่างกายเราไป
และเจ้า Amps จำนวนมากนี้เองที่ทำให้เกิด power ในกล้ามเนื้อ - อวัยวะ
สร้างเป็นความร้อนที่สามารถทำลายร่างกายเราได้ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
จำนวนกระแสไฟฟ้าที่ทำให้เสียชีวิตคือปริมาณกระแสไฟฟ้า 100 มิลลิแอมแปร์ในเวลา 5 วินาทีเนื่องจากกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะทำให้ หัวใจเต้นริก (ventricular fibrillation) แต่ถ้าได้รับกระแสไฟฟ้าในปริมาณที่สูงมากเช่นได้รับกระแสไฟฟ้าถึง 2 แอมแปร์หรือมากกว่าหัวใจอาจจะหยุดเต้นทันที
ตามสูตรการคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้าตามหลักฟิสิกส์ คือ
I= V/R
I=กระแสไฟฟ้า หน่วยเป็น แอมแปร์
V=ความต่างศักย์ไฟฟ้า หน่วยเป็นโวลต์,
R=ความต้านทานไฟฟ้า หน่วยเป็นโอห์ม
กระแสไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าส่งมาให้ใช้ตามบ้านเรือนในขณะนี้ ประเทศไทยใช้ส่งกระแสโดยความต่างศักย์ 220 โวลต์ กระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่ร่างกายจึงขึ้นอยู่กับความต้านทานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้าผ่านก่อนรั่วออกมาบวกกับความต้านทานของร่างกาย ความต้านทานของร่างกายมีเฉพาะที่ผิวหนังเท่านั้น แต่ผิวหนังร่างกายของคนเรานั้นมีความต้านทานสูงมาก โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่แห้งและหยาบกร้านอาจจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสูงถึง 100,000 โอห์ม หากลองคำนวณโดยใช้สูตรดังกล่าว จะได้กระแสไฟฟ้าเพียง 2.2 มิลลิแอมแปร์เท่านั้น คือ
กระแสไฟฟ้า(แอมแปร์) = ความต่างศักย์ (220 โวลต์)/ ความต้านทาน(100,000 โอห์ม)
= 220/100,000
= .0022 แอมแปร์
= .0022 x 1,000 มิลลิแอมแปร์
= 2.2 มิลลิแอมแปร์
ซึ่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่านี้เพียงทำให้ร่างกายพอรู้สึกได้เท่านั้น แต่ในบริเวณที่ผิวหนังอ่อนนุ่มหรือยิ่งถ้าเปียกชื้นแล้วละก็ ความต้านทานกระแสไฟฟ้าจะลดลงเป็นร้อยเท่าเพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ร่างกายได้รับจะกลายเป็น 220 มิลลิแอมแปร์ และทำให้ถึงตายในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้ารั่วเข้าสู่ร่างกายเมื่อสัมผัสให้เรารู้สึกกระตุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ทำอันตรายอะไร อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเราพึ่งออกจากห้องน้ำ ตัวยังเปียกๆอยู่เกิดไปสัมผัสมันเข้ากลับทำให้เสียชีวิต
กระแสไฟฟ้าระดับน้อยๆมีผลต่อร่างกายดังนี้
5 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อกระตุก
15 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
50 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้ผิวหนังไหม้พองเล็กน้อย
75-100 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้หัวใจเต้นริกและตายได้
การที่มีคนจับสายไฟฟ้าและเกิดไฟฟ้าลัดวงจรเข้าสู่ฝ่ามือ ทำให้ปล่อยมือจากสายไฟฟ้าไม่ได้จนถูกไฟฟ้าดูดตาย ซึ่งก็เพราะการที่กระแสไฟฟ้าทำให้กล้ามเนื้อหดตัวนี่เอง ไม่ใช่เกิดจากการตกใจจนลนลานไม่ ซึ่งจะเป็นผลให้กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายจำนวนมากพอที่ทำให้เกิดหัวใจเต้น ริก
ลอกมาจาก สถาบันนิติเวช
ตามสูตรการคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้าตามหลักฟิสิกส์ คือ
I= V/R
I=กระแสไฟฟ้า หน่วยเป็น แอมแปร์
V=ความต่างศักย์ไฟฟ้า หน่วยเป็นโวลต์,
R=ความต้านทานไฟฟ้า หน่วยเป็นโอห์ม
กระแสไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าส่งมาให้ใช้ตามบ้านเรือนในขณะนี้ ประเทศไทยใช้ส่งกระแสโดยความต่างศักย์ 220 โวลต์ กระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่ร่างกายจึงขึ้นอยู่กับความต้านทานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้าผ่านก่อนรั่วออกมาบวกกับความต้านทานของร่างกาย ความต้านทานของร่างกายมีเฉพาะที่ผิวหนังเท่านั้น แต่ผิวหนังร่างกายของคนเรานั้นมีความต้านทานสูงมาก โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่แห้งและหยาบกร้านอาจจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสูงถึง 100,000 โอห์ม หากลองคำนวณโดยใช้สูตรดังกล่าว จะได้กระแสไฟฟ้าเพียง 2.2 มิลลิแอมแปร์เท่านั้น คือ
กระแสไฟฟ้า(แอมแปร์) = ความต่างศักย์ (220 โวลต์)/ ความต้านทาน(100,000 โอห์ม)
= 220/100,000
= .0022 แอมแปร์
= .0022 x 1,000 มิลลิแอมแปร์
= 2.2 มิลลิแอมแปร์
ซึ่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่านี้เพียงทำให้ร่างกายพอรู้สึกได้เท่านั้น แต่ในบริเวณที่ผิวหนังอ่อนนุ่มหรือยิ่งถ้าเปียกชื้นแล้วละก็ ความต้านทานกระแสไฟฟ้าจะลดลงเป็นร้อยเท่าเพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ร่างกายได้รับจะกลายเป็น 220 มิลลิแอมแปร์ และทำให้ถึงตายในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้ารั่วเข้าสู่ร่างกายเมื่อสัมผัสให้เรารู้สึกกระตุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ทำอันตรายอะไร อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเราพึ่งออกจากห้องน้ำ ตัวยังเปียกๆอยู่เกิดไปสัมผัสมันเข้ากลับทำให้เสียชีวิต
กระแสไฟฟ้าระดับน้อยๆมีผลต่อร่างกายดังนี้
5 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อกระตุก
15 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
50 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้ผิวหนังไหม้พองเล็กน้อย
75-100 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้หัวใจเต้นริกและตายได้
การที่มีคนจับสายไฟฟ้าและเกิดไฟฟ้าลัดวงจรเข้าสู่ฝ่ามือ ทำให้ปล่อยมือจากสายไฟฟ้าไม่ได้จนถูกไฟฟ้าดูดตาย ซึ่งก็เพราะการที่กระแสไฟฟ้าทำให้กล้ามเนื้อหดตัวนี่เอง ไม่ใช่เกิดจากการตกใจจนลนลานไม่ ซึ่งจะเป็นผลให้กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายจำนวนมากพอที่ทำให้เกิดหัวใจเต้น ริก
ลอกมาจาก สถาบันนิติเวช
แสดงความคิดเห็น
เวลาเราถูไฟดูด สิ่งที่ทำให้เราตายคืออะไรครับ กระเเส(I) ความต่างศักดิ์(V) หรือพลังงานไฟฟ้า(P)
ช่วยตอบคำถามเด็กตาดำๆคนนึงด้วยเถิด..
ปล.เเก้ไข (P)เป็นกำลังไฟฟ้านะครับ