สวัสดีค่ะกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ได้จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงของเรา แล้วเต่ความเชื่อส่วนบุคคลใครที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็เอาเป็นว่าอ่านเพลินๆแล้วกันเนาะ ขอเกริ่นก่อนนะคะทุกเรื่องที่เราจะมาเล่าไม่มีการแต่งเติมแต่อย่างใดผีก็คือผีจริงๆไม่ได้เมกขึ้นมาขอแทนตัว จขกท ว่า "เรา" นะคะ หากพิมพ์ผิดตกหล่น พิมพ์เล่าไม่มีอรรถรสก็ขออภัย
เอาล่ะมาเริ่มกันเลยเนอะชีวิตหลังความตายหลังจากที่เราประสบอุบัติเหตุเมื่อปี 2554 จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นเราประสบอุบัติเหตุรถชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดิบพอดี น็อคไปเกือบ 1 อาทิตย์ แม่เราบอกว่าตอนนำตัวส่ง รพ เราหยุดหายใจไปแล้ว 2 นาที แต่เราไม่รู้สึกว่าไปสวรรค์ไปนรกหรืออย่างใดนะคะ เหมือนนอนหลับไปเฉยๆตื่นมาก็จำหน้าทุกคนได้ไม่ได้สมองเลอะเลือนความจำเสื่อมแต่อย่างใด แล้วหลังจากนี้เราก็พบกับอะไรที่แปลกๆ เรื่อยมา จากเมื่อก่อนเราไม่เคยสัมผัสกับสิ่งลี้ลับแบบนี้มาก่อน
*** มือปริศนา ???? ***
มือปริศนานี่เจอบ่อยแบบสุดๆ จนเกือบจะชินก็ว่าได้เหตุจะเกิดตอนหลังจากตี 1 เราเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วค่ะอ่านนิยาย เล่นกีต้าหาอะไรทำเรื่อยเปื่อยพอถึงเวลาจะนอนห้องเราจะเป็นห้องเดี่ยว มีโต๊ะหมู่บูชาด้วย พอล้มตัวลงนอนสะลึมสะลือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ เราก็จะมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนเอานิ้วมาจิ้มเบาๆตามขาเรา ประมาณว่า จึ๋ก.. จึ๋กๆ เหมือนมีคนสะกิดแหละค่ะ แต่มันจะแผ่วๆจิ้มเบาๆ จิ้มๆหยุดๆ ด้วยความง่วงใกล้จะเข้าสู่ภวังค์ขี้เกียจด้วยแหละ พอเริ่มนานๆเข้า เห้ยยย อะไรมาจิ้มตูฟะ ตัดสินใจลุกขึ้นเปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์จะส่องไปที่ขา ก็ปรากฏว่าไม่เห็นอะไรเลยไม่มีแม้แต่เงาและเสียง -*- เอาวะนอนต่อแล้วกัน จิ้มอีกแล้วค่าพี่น้องคราวนี้ถี่ๆเลย กลัวก็กลัว เลยนอนสวดมนต์พึมพำๆไปเรื่อย จนความรู้สึกว่าโดนจิ้มหายไปเหลือเพียงความเย็นละเยือกเหมือนลมหนาวพัดมาเบาๆทีนึง หลังจากนี้เราก็โดนจิ้มอยู่กลางดึกเรื่อยๆ ถ้าโดนทีนึงก็จะโดนถี่ๆเลย 2-3 วันติดกัน แล้วก็จะหายไปพักใหญ่ๆ นึกว่าจะหายไปเลยแต่มันไม่ใช่ก็ยังมาจิ้มเราอยู่เรื่อยๆ ... มีบางครั้งเพื่อนมานอนบ้านนอนอัดกันในห้อง 3 คน (เราและเพื่อน 2 คน) มีคนนึงโดนจิ้มเหมือนกันกลัวจนไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ก็ไม่กล้าปลุกเรา หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยมานอนบ้านเราอีกเลยนางเข็ด
*** ความหวังดีจากใครก็ไม่รู้ ***
อันนี้จะเป็นเรื่องดีน่ารักๆ (มั้งนะ) เราไม่รู้ว่าเค้าคือใครอาจจะเป็นผีบ้านผีเรือน ญาติพี่น้อง หรือเทวดา ที่ไหนเค้ามาแบบเหมือนคนทั่วไปเหตุการณ์แรกอยู่ในช่วงเราทำงานพิเศษจนลืมวันลืมเดือนไปเลย ลืมสนิทว่าวันพรุ่งนี้คือวันเกิดของเรา ปกติที่บ้านจะไม่มีใครจำวันเกิดเราได้อยู่แล้วบางทีเราก็จำไม่ได้แต่ถ้านึกได้จะตื่นมาใส่บาตรตอนเช้า เช้ามืดของวันเกิดรู้สึกได้ว่ามีคนเรียกชื่อเรา 2-3 ครั้ง ไอเราก็สะลึมสะลือแต่ไม่ได้ลืมตานะเพราะง่วงมากและขี้เกียจมากกกกกกก เสียงนั้นเค้าพูดข้างๆหูเราเลยว่า "ตื่นมาใส่บาตรได้แล้ว" ไอเราตกใจจนตาเหลือกมองนาฬิกา 04.00 น. อือหือปลุกตูซะเช้าเลยพระออกบิณบาตตอน 6 โมงนะ แต่เอาเถอะเค้าคงจะเผื่อเวลาให้เราหุงข้าวทำกับข้าวมั้ง (คิดเองเออเอง) เราไม่รอช้าลงมาอาบน้ำหุงข้าว ทำกับข้าวไม่เป็นค่ะรอไปซื้อร้านข้าวแกงเค้าจัดเตรียมไว้สำหรับชุดใส่บาตร อืมมมม... ดีจังปลุกหนูแต่เช้าออกมาดูพระอาทิตย์ยามเช้าอากาศมันดีแบบนี้นี่เอง = =
เรื่องที่สอง
เค้ามาอีกแล้วจ้าาาาา มาปลุกเราแบบเดิมเลยแต่นี่เป็นวันครบรอบวันเสียของปู่ ปีนั้นรู้สึกจะปี56 ครบรอบปู่เสีย 10 ปี เค้ามาอีกแล้ววววว มากระซิบแผ่วเบาข้างๆหูเรา "ตื่นนะ...ตื่นไปใส่บาตร" เราตกใจตื่นมางองูสิบตัว งง งงมาก ใส่อะไรฟะวันนี้ไม่ใช่วันเกิด คิดไปว่าสงสัยตูจะเพี้ยไปละ นอนต่อค่ะไม่ตื่น ตื่นมาอีกที 10 โมงลงมาข้างล่างกินข้าวกินปลากับพ่อ พ่อมองปฏิทินแล้วพูดเสียงดังว่า "ตายแล้ววววววววววว วันนี้วันครบรอบพ่อลืมใส่บาตรได้ยังไงวะเนี่ย" เราอึ้งมองหน้าพ่อแล้วถาม "ป๊าวันนี้ครบรอบปู่หรอ" พ่อตอบ "อืมวันนี้ครบ 10 ปีพอดีดูสิอุส่าเขียนไว้ที่ปฏิทินทำไมถึงลืมได้" เอิ่ม... ไม่กล้าบอกพ่อว่าเมื่อเช้าก็มีผู้หวังดีมาเตือนเราเรื่องให้ตื่นมาใส่บาตร ทำให้เรามั่นใจเลยว่าคนที่มาปลุกเราตอนวันเกิดมีตัวตนจริงๆไม่ใช่เราคิดเองเออเองคนเดียว
จะมาต่อเรื่อยๆนะคะยังไงก็ติดตามกันด้วยน้าาาาาา เรื่องหลอนมหาลัยดังย่านเจริญกรุงเดี๋ยวมาเล่าต่อเลย กระทู้แรกไม่รู้เขียนโอเครึป่าวแต่จะพยายามเรียบเรียงคำพูดเล่าออกมาให้ได้อารมณ์มากที่สุดนะ
ประสบการณ์ตรงมีเยอะเลย แต่ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับมหาลัยแล้วกันเนาะ เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะคุ้นๆกับมหาลัยเก่าแก่ที่นึงย่านเจริญกรุง หรือสาทรนั่นเองค่ะ พอจะคุ้นมั้ย5555 ใกล้มอมีป่าช้าวัดดอน อิๆ เราสอบติดมหาลัยแห่งนี้ขอไม่ระบุสาขาแล้วกันเนาะ อีก 1 เดือนจะมีกำหนดการรับน้องที่มหาลัยตื่นเต้นมากๆเลย จะได้เป็นเฟรชชี่ใสใส อิๆ ตอนนั้นก็ไปเดินเล่นเอเชียทิคค่ะแล้วเห็นพี่เราเช็คอินว่าอยู่ที่มอ พี่เราเรียนสาขาเดียวกับเราเลย เรานัดเจอกันเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ววางแผนจะไปเที่ยวกันต่อเค้าเลยบอก อืม... งั้นเข้ามารอที่มออีกครึ่ง ชม ค่อยไป ตอนนั้นเราเข้ามอประมาณเกือบๆ 4 ทุ่ม มีพวกรุ่นพี่นั่งทำอุปกรณ์ทำของที่จะใช้รับน้องคือรุ่นของเราในเดือนหน้า คิดในใจเออขยันจังอยู่มอกันถึงดึกๆดื่นๆไม่กลัวกันเลยหรอ พลางมองรอบๆคือบรรยากาศวังเวงมากอ่ะ TT คิดในใจคงน่ากลัวแค่ตอนดึกๆแหละมั้ง เรานั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยตึกเก่าๆ มืดๆ อืม... คิดถูกคิดผิดฟะมาเรียนที่นี่ ขออธิบายก่อนนะใต้ตึกที่เรานั่งจะเป็นลานกว้างโอ่โถง มีโต๊ะไม้จัดไว้ให้นั่ง แล้วตรงกลางจะมีเวทีใหญ่ๆ ข้างๆเวทีจะมีม่านทั้ง2 ด้านปิดไว้นิดนึง ในขณะที่มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ เราเห็น!! ใช่ค่ะเราเห็นคนอยู่หลังม่านฝั่งขวามือไม่ใช่คนแต่งชุดธรรมดานะ แต่ใส่ชุดไทยค่ะ สวมชฏา คือเป็นชุดนางรำเลยเรารีบก้มฟุบกับโต๊ะ หันไปมองใหม่เค้ายังอยู่ค่ะ เลยรีบเดินไปนั่งกับกลุ่มพี่ที่เค้าทำอุปกรณ์เราไม่ได้เล่าให้พี่ฟังตอนนั้น กลับมาเล่าให้ฟังตอนเที่ยวเสร็จแล้วนั่งเท็กซี่กลับบ้าน พี่เราบอกว่าเห็นของดีเลยนะมาครั้งแรก เค้าบอกว่ามีอยู่จริง มีคนเห็นหลายคนเหมือนกันพี่บอกหลังเวทีจะมีหิ้งนางรำอยู่ เรานี่ขนลุกไปหมดกลัวก็กลัวกลับไปนอนคิดว่าจะเรียนต่อดีไหม แต่จ่ายค่าเทอมแล้วนี่ดิบ้านเราก็ไม่ได้มีตังสรุปคือเรียนที่นี่ต่อ
มหาลัยชื่อดังย่านเจริญกรุงขึ้นชื่อเรื่องความหลอน
เอาล่ะมาเริ่มกันเลยเนอะชีวิตหลังความตายหลังจากที่เราประสบอุบัติเหตุเมื่อปี 2554 จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นเราประสบอุบัติเหตุรถชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดิบพอดี น็อคไปเกือบ 1 อาทิตย์ แม่เราบอกว่าตอนนำตัวส่ง รพ เราหยุดหายใจไปแล้ว 2 นาที แต่เราไม่รู้สึกว่าไปสวรรค์ไปนรกหรืออย่างใดนะคะ เหมือนนอนหลับไปเฉยๆตื่นมาก็จำหน้าทุกคนได้ไม่ได้สมองเลอะเลือนความจำเสื่อมแต่อย่างใด แล้วหลังจากนี้เราก็พบกับอะไรที่แปลกๆ เรื่อยมา จากเมื่อก่อนเราไม่เคยสัมผัสกับสิ่งลี้ลับแบบนี้มาก่อน
*** มือปริศนา ???? ***
มือปริศนานี่เจอบ่อยแบบสุดๆ จนเกือบจะชินก็ว่าได้เหตุจะเกิดตอนหลังจากตี 1 เราเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วค่ะอ่านนิยาย เล่นกีต้าหาอะไรทำเรื่อยเปื่อยพอถึงเวลาจะนอนห้องเราจะเป็นห้องเดี่ยว มีโต๊ะหมู่บูชาด้วย พอล้มตัวลงนอนสะลึมสะลือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ เราก็จะมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนเอานิ้วมาจิ้มเบาๆตามขาเรา ประมาณว่า จึ๋ก.. จึ๋กๆ เหมือนมีคนสะกิดแหละค่ะ แต่มันจะแผ่วๆจิ้มเบาๆ จิ้มๆหยุดๆ ด้วยความง่วงใกล้จะเข้าสู่ภวังค์ขี้เกียจด้วยแหละ พอเริ่มนานๆเข้า เห้ยยย อะไรมาจิ้มตูฟะ ตัดสินใจลุกขึ้นเปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์จะส่องไปที่ขา ก็ปรากฏว่าไม่เห็นอะไรเลยไม่มีแม้แต่เงาและเสียง -*- เอาวะนอนต่อแล้วกัน จิ้มอีกแล้วค่าพี่น้องคราวนี้ถี่ๆเลย กลัวก็กลัว เลยนอนสวดมนต์พึมพำๆไปเรื่อย จนความรู้สึกว่าโดนจิ้มหายไปเหลือเพียงความเย็นละเยือกเหมือนลมหนาวพัดมาเบาๆทีนึง หลังจากนี้เราก็โดนจิ้มอยู่กลางดึกเรื่อยๆ ถ้าโดนทีนึงก็จะโดนถี่ๆเลย 2-3 วันติดกัน แล้วก็จะหายไปพักใหญ่ๆ นึกว่าจะหายไปเลยแต่มันไม่ใช่ก็ยังมาจิ้มเราอยู่เรื่อยๆ ... มีบางครั้งเพื่อนมานอนบ้านนอนอัดกันในห้อง 3 คน (เราและเพื่อน 2 คน) มีคนนึงโดนจิ้มเหมือนกันกลัวจนไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ก็ไม่กล้าปลุกเรา หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยมานอนบ้านเราอีกเลยนางเข็ด
*** ความหวังดีจากใครก็ไม่รู้ ***
อันนี้จะเป็นเรื่องดีน่ารักๆ (มั้งนะ) เราไม่รู้ว่าเค้าคือใครอาจจะเป็นผีบ้านผีเรือน ญาติพี่น้อง หรือเทวดา ที่ไหนเค้ามาแบบเหมือนคนทั่วไปเหตุการณ์แรกอยู่ในช่วงเราทำงานพิเศษจนลืมวันลืมเดือนไปเลย ลืมสนิทว่าวันพรุ่งนี้คือวันเกิดของเรา ปกติที่บ้านจะไม่มีใครจำวันเกิดเราได้อยู่แล้วบางทีเราก็จำไม่ได้แต่ถ้านึกได้จะตื่นมาใส่บาตรตอนเช้า เช้ามืดของวันเกิดรู้สึกได้ว่ามีคนเรียกชื่อเรา 2-3 ครั้ง ไอเราก็สะลึมสะลือแต่ไม่ได้ลืมตานะเพราะง่วงมากและขี้เกียจมากกกกกกก เสียงนั้นเค้าพูดข้างๆหูเราเลยว่า "ตื่นมาใส่บาตรได้แล้ว" ไอเราตกใจจนตาเหลือกมองนาฬิกา 04.00 น. อือหือปลุกตูซะเช้าเลยพระออกบิณบาตตอน 6 โมงนะ แต่เอาเถอะเค้าคงจะเผื่อเวลาให้เราหุงข้าวทำกับข้าวมั้ง (คิดเองเออเอง) เราไม่รอช้าลงมาอาบน้ำหุงข้าว ทำกับข้าวไม่เป็นค่ะรอไปซื้อร้านข้าวแกงเค้าจัดเตรียมไว้สำหรับชุดใส่บาตร อืมมมม... ดีจังปลุกหนูแต่เช้าออกมาดูพระอาทิตย์ยามเช้าอากาศมันดีแบบนี้นี่เอง = =
เรื่องที่สอง
เค้ามาอีกแล้วจ้าาาาา มาปลุกเราแบบเดิมเลยแต่นี่เป็นวันครบรอบวันเสียของปู่ ปีนั้นรู้สึกจะปี56 ครบรอบปู่เสีย 10 ปี เค้ามาอีกแล้ววววว มากระซิบแผ่วเบาข้างๆหูเรา "ตื่นนะ...ตื่นไปใส่บาตร" เราตกใจตื่นมางองูสิบตัว งง งงมาก ใส่อะไรฟะวันนี้ไม่ใช่วันเกิด คิดไปว่าสงสัยตูจะเพี้ยไปละ นอนต่อค่ะไม่ตื่น ตื่นมาอีกที 10 โมงลงมาข้างล่างกินข้าวกินปลากับพ่อ พ่อมองปฏิทินแล้วพูดเสียงดังว่า "ตายแล้ววววววววววว วันนี้วันครบรอบพ่อลืมใส่บาตรได้ยังไงวะเนี่ย" เราอึ้งมองหน้าพ่อแล้วถาม "ป๊าวันนี้ครบรอบปู่หรอ" พ่อตอบ "อืมวันนี้ครบ 10 ปีพอดีดูสิอุส่าเขียนไว้ที่ปฏิทินทำไมถึงลืมได้" เอิ่ม... ไม่กล้าบอกพ่อว่าเมื่อเช้าก็มีผู้หวังดีมาเตือนเราเรื่องให้ตื่นมาใส่บาตร ทำให้เรามั่นใจเลยว่าคนที่มาปลุกเราตอนวันเกิดมีตัวตนจริงๆไม่ใช่เราคิดเองเออเองคนเดียว
จะมาต่อเรื่อยๆนะคะยังไงก็ติดตามกันด้วยน้าาาาาา เรื่องหลอนมหาลัยดังย่านเจริญกรุงเดี๋ยวมาเล่าต่อเลย กระทู้แรกไม่รู้เขียนโอเครึป่าวแต่จะพยายามเรียบเรียงคำพูดเล่าออกมาให้ได้อารมณ์มากที่สุดนะ
ประสบการณ์ตรงมีเยอะเลย แต่ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับมหาลัยแล้วกันเนาะ เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะคุ้นๆกับมหาลัยเก่าแก่ที่นึงย่านเจริญกรุง หรือสาทรนั่นเองค่ะ พอจะคุ้นมั้ย5555 ใกล้มอมีป่าช้าวัดดอน อิๆ เราสอบติดมหาลัยแห่งนี้ขอไม่ระบุสาขาแล้วกันเนาะ อีก 1 เดือนจะมีกำหนดการรับน้องที่มหาลัยตื่นเต้นมากๆเลย จะได้เป็นเฟรชชี่ใสใส อิๆ ตอนนั้นก็ไปเดินเล่นเอเชียทิคค่ะแล้วเห็นพี่เราเช็คอินว่าอยู่ที่มอ พี่เราเรียนสาขาเดียวกับเราเลย เรานัดเจอกันเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ววางแผนจะไปเที่ยวกันต่อเค้าเลยบอก อืม... งั้นเข้ามารอที่มออีกครึ่ง ชม ค่อยไป ตอนนั้นเราเข้ามอประมาณเกือบๆ 4 ทุ่ม มีพวกรุ่นพี่นั่งทำอุปกรณ์ทำของที่จะใช้รับน้องคือรุ่นของเราในเดือนหน้า คิดในใจเออขยันจังอยู่มอกันถึงดึกๆดื่นๆไม่กลัวกันเลยหรอ พลางมองรอบๆคือบรรยากาศวังเวงมากอ่ะ TT คิดในใจคงน่ากลัวแค่ตอนดึกๆแหละมั้ง เรานั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยตึกเก่าๆ มืดๆ อืม... คิดถูกคิดผิดฟะมาเรียนที่นี่ ขออธิบายก่อนนะใต้ตึกที่เรานั่งจะเป็นลานกว้างโอ่โถง มีโต๊ะไม้จัดไว้ให้นั่ง แล้วตรงกลางจะมีเวทีใหญ่ๆ ข้างๆเวทีจะมีม่านทั้ง2 ด้านปิดไว้นิดนึง ในขณะที่มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ เราเห็น!! ใช่ค่ะเราเห็นคนอยู่หลังม่านฝั่งขวามือไม่ใช่คนแต่งชุดธรรมดานะ แต่ใส่ชุดไทยค่ะ สวมชฏา คือเป็นชุดนางรำเลยเรารีบก้มฟุบกับโต๊ะ หันไปมองใหม่เค้ายังอยู่ค่ะ เลยรีบเดินไปนั่งกับกลุ่มพี่ที่เค้าทำอุปกรณ์เราไม่ได้เล่าให้พี่ฟังตอนนั้น กลับมาเล่าให้ฟังตอนเที่ยวเสร็จแล้วนั่งเท็กซี่กลับบ้าน พี่เราบอกว่าเห็นของดีเลยนะมาครั้งแรก เค้าบอกว่ามีอยู่จริง มีคนเห็นหลายคนเหมือนกันพี่บอกหลังเวทีจะมีหิ้งนางรำอยู่ เรานี่ขนลุกไปหมดกลัวก็กลัวกลับไปนอนคิดว่าจะเรียนต่อดีไหม แต่จ่ายค่าเทอมแล้วนี่ดิบ้านเราก็ไม่ได้มีตังสรุปคือเรียนที่นี่ต่อ