บทที่ 1 : แรงบันดาลใจ
อยากค้าขาย แล้วถ้าถามว่าอยากขายอะไร สำหรับหลายคนก็คงไม่พ้นธุรกิจเสื้อผ้าซึ่งไม่ต่างจากแม่ค้าคนนี้ เคยมีคำถามว่าทำไมอยากทำเสื้อผ้า ตอนนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรซับซ้อนนอกจากอยากมีเสื้อผ้าใหม่ใส่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องซื้อ (ความจริงการลงทุนก็ไม่ต่างจากการซื้อสินค้านั่นแหละค่ะ แค่บางทีลืมคิดไปว่าต้นทุนค่าผ้า กระดุม ซิป ค่าช่างตัด สำหรับชุดที่เดินไปหยิบมานั่นนะเงินเราทั้งนั้น) และด้วยเหตุผลง่ายๆ นี้ เราก็เลยเริ่มธุรกิจโดยไม่ได้วางแผนอะไรมาก แต่ตอนที่จะเริ่มสร้างธุรกิจนั้น คิดเลยว่าไม่อยากทำแบบซื้อมาขายไป เพราะ 1. เริ่มอ้วนและไม่สามารถใส่เสื้อผ้าแฟชั่นที่ตัวเล็กไซส์ XS ได้อีกต่อไป (เคยมีอดีตผอมแห้ง ตามแฟชั่นอยู่ช่วงหนึ่ง) 2. เริ่มแก่ จะให้ใส่สั้นโชว์หลัง โชว์ขา ก็จะเป็นการทำลายสังคมเกินไป จะเห็นได้ว่าเหตุผลทุกอย่างเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้นเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ไปเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้า เดินไปเดินมาเจอสินค้าถูกใจก็ตรงเข้าไปลอง เรียกว่าเดินเหนื่อยแล้วแถมเป็นผู้หญิงสวยและรวยมาก ราคาไม่เกี่ยงถ้าใส่ได้ก็ซื้อเลย (ไปเดินร้านค้าแนวตลาดนัดนะคะ สนนราคาอย่างแพงมากก็ไม่เดินชิ้นละ 1500 บาท) เราก็เดินเข้าไปถามราคา ถามไซส์ ปรากฏพ่อค้าส่งสายตาเหยียดหยามแล้วบอกว่า “คุณใส่ไม่ได้หรอกแต่จะลองก็ได้” โอ้แม่เจ้าเจ็บจี๊ดไปถึงก้านสมอง มันยอมไม่ได้ จะให้ถอยตั้งแต่ยังไม่สู้ก็ไม่ใช่เรา เลยตอบไปว่า “ขอลองก่อนแล้วกันค่ะ” อีพ่อค้าก็เดินไปหยิบไซส์ที่ใหญ่ที่สุดมาให้ลองแล้วยื่นให้อย่างไม่เต็มใจ ดิฉันก็รับมาแบบมั่นหุ่นมาก ว่าใส่ได้แน่ ปรากฏว่า (ทุกคนคงเดาได้) ใส่ไม่ได้จ้ารูดซิปไม่ผ่านเอวด้วยซ้ำ ด้วยความเซ็งก็คืนชุดไปพร้อมยอมรับว่าใส่ไม่ได้จริงๆ แต่ที่แค้นฝั่งลึกลงไปในเซลล์ยิ่งกว่าก็คือพ่อค้าไม่ยอมปล่อยผ่าน คนล้มแล้วต้องซ้ำสินะ เธอได้กล่าวคำพูดที่ไม่น่าให้อภัยว่า “ก็ลดสัก 10 กิโล ก็ใส่ได้แล้ว คนอื่นเขาอยากสวยลดน้ำหนักกันเยอะแยะไป” คือถ้าไม่ติดว่าฆ่าคนตายแล้วติดคุกนะ เล็บคุณน้องจิกตาคุณพี่หลุดแน่ๆ แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานแล้วแต่ความทรงจำนั้นก็ยังอยู่ คำพูดเนี่ย มันเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดแทงซะจริงๆ หลังจากนั้นเราก็เริ่มเก็บข้อมูล คนอื่นเริ่มอย่างไรไม่รู้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้มีพื้นฐานเสื้อผ้ามาก่อน วาดรูปหมาได้อะมีบา จะหวังให้ออกแบบเอง สร้างมู๊ดบอร์ด (Mood Board) เซตโทนคอลเลคชั่นก็ไม่สามารถ เลยใช้วิธีตัดแปะ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า copy & paste ทำยังไงก็เปิดนิตยสาร แผ่นพับแบรนด์เสื้อผ้า ค้นหาจากอินเตอร์เน็ต ชอบอะไรก็พิมพ์ออกมาแล้ว แปะลงไปบนสมุดภาพ (ประหนึ่งกำลังเขียนสมุด friendship ให้เพื่อนตอนจบ ม. 6 ก็ไม่ปาน)
ขอสารภาพความจริงตรงนี้เลย ว่าตอนนั้นเป็นพวกโลกสวยซะเหลือทน พอสมุดภาพเสร็จก็เพ้อไปใหญ่คิดว่าจะต้องได้ยอดขายถล่มทลาย งานนี้เดินพรมแดง ออกรายการอายุน้อยร้อยล้าน เท่านั้นยังไม่พอ เดี๋ยวธุรกิจขยับขยาย แบรนด์ Marisara ดังเปรี้ยงปร้าง ได้ส่งออกต่างประเทศ นั่งเครื่องบินเฟิร์สคลาสไปกระทบไหล่คนดัง แถมได้เป็นเพื่อนกับเซเลปทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นจัสติน บีเบอร์, บิยองเซ่, รีฮานน่า, เลดี้ กาก้า แบบได้จับเนื้อต้องตัวกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ follower บนเฟสบุค โอ้ยไปกันใหญ่!!! และเพราะความเพ้อเจ้อนั้น ทำให้เรากล้า บ้า อดทน สร้างธุรกิจจากไม่มีอะไรเลยจนถึงทุกวันนี้ร่วม 2 ปี เป็นเวลาที่เราใช้ในการสร้างธุรกิจและแบรนด์สินค้าทั้งขายในประเทศและเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์, ฮ่องกง, มาเลเซีย, อาหรับเอมิเรสต์, และโอมาน แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช้เรื่องยาก เพราะเราแค่ทำธุรกิจไม่ได้สร้างจรวดไปสำรวจกาแลคซี่อื่น ธุรกิจเป็นเรื่องของ Common Sense เราผลิตสินค้า เราตั้งราคา เราสร้างช่องทางการขาย เราโฆษณาสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เราคนเดียวทำไม่ได้ทุกอย่าง สมมติเราเป็นซุปเปอร์แมนทำได้ทุกอย่างก็ใช่ว่าทุกอย่างจะได้ดั่งใจ แค่ทำให้ดีที่สุด ยอมรับความจริง แล้วไปต่อ ก้าวต่อไปคือของแม่ทัพคือการสร้างทัพ …………. เดี๋ยวจะกลับแชร์ต่อว่าเราผลิตสินค้าลอตแรกยังไง เก็บปากบอนๆ ของเราเพื่อง้องอนช่างให้รับงานเล็กๆ น้อยๆ ได้มั้ย (ชิ รู้จักช้านน้อยไปซะแล้ว)
ประสบการณ์สร้างธุรกิจเสื้อผ้า จากปากแม่ค้าโดยตรง (บทที่ 1 : แรงบันดาลใจ)
อยากค้าขาย แล้วถ้าถามว่าอยากขายอะไร สำหรับหลายคนก็คงไม่พ้นธุรกิจเสื้อผ้าซึ่งไม่ต่างจากแม่ค้าคนนี้ เคยมีคำถามว่าทำไมอยากทำเสื้อผ้า ตอนนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรซับซ้อนนอกจากอยากมีเสื้อผ้าใหม่ใส่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องซื้อ (ความจริงการลงทุนก็ไม่ต่างจากการซื้อสินค้านั่นแหละค่ะ แค่บางทีลืมคิดไปว่าต้นทุนค่าผ้า กระดุม ซิป ค่าช่างตัด สำหรับชุดที่เดินไปหยิบมานั่นนะเงินเราทั้งนั้น) และด้วยเหตุผลง่ายๆ นี้ เราก็เลยเริ่มธุรกิจโดยไม่ได้วางแผนอะไรมาก แต่ตอนที่จะเริ่มสร้างธุรกิจนั้น คิดเลยว่าไม่อยากทำแบบซื้อมาขายไป เพราะ 1. เริ่มอ้วนและไม่สามารถใส่เสื้อผ้าแฟชั่นที่ตัวเล็กไซส์ XS ได้อีกต่อไป (เคยมีอดีตผอมแห้ง ตามแฟชั่นอยู่ช่วงหนึ่ง) 2. เริ่มแก่ จะให้ใส่สั้นโชว์หลัง โชว์ขา ก็จะเป็นการทำลายสังคมเกินไป จะเห็นได้ว่าเหตุผลทุกอย่างเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้นเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ไปเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้า เดินไปเดินมาเจอสินค้าถูกใจก็ตรงเข้าไปลอง เรียกว่าเดินเหนื่อยแล้วแถมเป็นผู้หญิงสวยและรวยมาก ราคาไม่เกี่ยงถ้าใส่ได้ก็ซื้อเลย (ไปเดินร้านค้าแนวตลาดนัดนะคะ สนนราคาอย่างแพงมากก็ไม่เดินชิ้นละ 1500 บาท) เราก็เดินเข้าไปถามราคา ถามไซส์ ปรากฏพ่อค้าส่งสายตาเหยียดหยามแล้วบอกว่า “คุณใส่ไม่ได้หรอกแต่จะลองก็ได้” โอ้แม่เจ้าเจ็บจี๊ดไปถึงก้านสมอง มันยอมไม่ได้ จะให้ถอยตั้งแต่ยังไม่สู้ก็ไม่ใช่เรา เลยตอบไปว่า “ขอลองก่อนแล้วกันค่ะ” อีพ่อค้าก็เดินไปหยิบไซส์ที่ใหญ่ที่สุดมาให้ลองแล้วยื่นให้อย่างไม่เต็มใจ ดิฉันก็รับมาแบบมั่นหุ่นมาก ว่าใส่ได้แน่ ปรากฏว่า (ทุกคนคงเดาได้) ใส่ไม่ได้จ้ารูดซิปไม่ผ่านเอวด้วยซ้ำ ด้วยความเซ็งก็คืนชุดไปพร้อมยอมรับว่าใส่ไม่ได้จริงๆ แต่ที่แค้นฝั่งลึกลงไปในเซลล์ยิ่งกว่าก็คือพ่อค้าไม่ยอมปล่อยผ่าน คนล้มแล้วต้องซ้ำสินะ เธอได้กล่าวคำพูดที่ไม่น่าให้อภัยว่า “ก็ลดสัก 10 กิโล ก็ใส่ได้แล้ว คนอื่นเขาอยากสวยลดน้ำหนักกันเยอะแยะไป” คือถ้าไม่ติดว่าฆ่าคนตายแล้วติดคุกนะ เล็บคุณน้องจิกตาคุณพี่หลุดแน่ๆ แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานแล้วแต่ความทรงจำนั้นก็ยังอยู่ คำพูดเนี่ย มันเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดแทงซะจริงๆ หลังจากนั้นเราก็เริ่มเก็บข้อมูล คนอื่นเริ่มอย่างไรไม่รู้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้มีพื้นฐานเสื้อผ้ามาก่อน วาดรูปหมาได้อะมีบา จะหวังให้ออกแบบเอง สร้างมู๊ดบอร์ด (Mood Board) เซตโทนคอลเลคชั่นก็ไม่สามารถ เลยใช้วิธีตัดแปะ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า copy & paste ทำยังไงก็เปิดนิตยสาร แผ่นพับแบรนด์เสื้อผ้า ค้นหาจากอินเตอร์เน็ต ชอบอะไรก็พิมพ์ออกมาแล้ว แปะลงไปบนสมุดภาพ (ประหนึ่งกำลังเขียนสมุด friendship ให้เพื่อนตอนจบ ม. 6 ก็ไม่ปาน)
ขอสารภาพความจริงตรงนี้เลย ว่าตอนนั้นเป็นพวกโลกสวยซะเหลือทน พอสมุดภาพเสร็จก็เพ้อไปใหญ่คิดว่าจะต้องได้ยอดขายถล่มทลาย งานนี้เดินพรมแดง ออกรายการอายุน้อยร้อยล้าน เท่านั้นยังไม่พอ เดี๋ยวธุรกิจขยับขยาย แบรนด์ Marisara ดังเปรี้ยงปร้าง ได้ส่งออกต่างประเทศ นั่งเครื่องบินเฟิร์สคลาสไปกระทบไหล่คนดัง แถมได้เป็นเพื่อนกับเซเลปทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นจัสติน บีเบอร์, บิยองเซ่, รีฮานน่า, เลดี้ กาก้า แบบได้จับเนื้อต้องตัวกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ follower บนเฟสบุค โอ้ยไปกันใหญ่!!! และเพราะความเพ้อเจ้อนั้น ทำให้เรากล้า บ้า อดทน สร้างธุรกิจจากไม่มีอะไรเลยจนถึงทุกวันนี้ร่วม 2 ปี เป็นเวลาที่เราใช้ในการสร้างธุรกิจและแบรนด์สินค้าทั้งขายในประเทศและเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์, ฮ่องกง, มาเลเซีย, อาหรับเอมิเรสต์, และโอมาน แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช้เรื่องยาก เพราะเราแค่ทำธุรกิจไม่ได้สร้างจรวดไปสำรวจกาแลคซี่อื่น ธุรกิจเป็นเรื่องของ Common Sense เราผลิตสินค้า เราตั้งราคา เราสร้างช่องทางการขาย เราโฆษณาสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เราคนเดียวทำไม่ได้ทุกอย่าง สมมติเราเป็นซุปเปอร์แมนทำได้ทุกอย่างก็ใช่ว่าทุกอย่างจะได้ดั่งใจ แค่ทำให้ดีที่สุด ยอมรับความจริง แล้วไปต่อ ก้าวต่อไปคือของแม่ทัพคือการสร้างทัพ …………. เดี๋ยวจะกลับแชร์ต่อว่าเราผลิตสินค้าลอตแรกยังไง เก็บปากบอนๆ ของเราเพื่อง้องอนช่างให้รับงานเล็กๆ น้อยๆ ได้มั้ย (ชิ รู้จักช้านน้อยไปซะแล้ว)