เจาะสนาม "ทรูวิชั่นส์" เตรียมชิงดำ พรีเมียร์ลีก
หลังจากที่“ทรูวิชั่นส์” ต้องพ่ายแพ้ประมูลถ่ายทอดสดลิขสิทธิ์ ฟุตบอล“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” หรือ EPL ที่ถือว่าเป็นแมกเน็ทสำคัญ ไปให้กับ CTH ถึง 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2013-2016 หลังจากที่เคยครองลิขสิทธิ์นี้ยาวนานนับสิบปี
แต่การที่ CTH คว้า EPL ไปครอง ต้องแลกกับเม็ดเงินเฉียดหมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่ทรูเอง “ถอยดีกว่า” เพราะมองว่าไม่คุ้มเสียเท่าไหร่ เมื่อแลกกับจำนวนสมาชิกที่อาจจะเพิ่มขึ้นเพียงแค่หลักแสน (เพราะส่วนใหญ่เป็นลูกค้าพรีเมี่ยม) ทำให้ทรูวิชั่นส์ ต้องพยายามหาคอนเท้นต์อื่นๆเข้ามา เพื่อให้โพซิชั่นที่วางไว้ว่าหลายสิบปีว่าเป็น “คิงส์ ออฟ สปอร์ต” ยังคงอยู่
ทั้งการเพิ่มคอนเทนต์รายการกีฬาประเภทต่างๆ จากต่างประเทศ ภาพยนตร์ และเริ่มมาลงล็อคที่ “กีฬาในประเทศ” ที่ถือว่าเป็นโลคอล คอนเทนต์อย่างฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก วอลเลย์บอล แบดมินตัน เพราะคนไทยหันมาเชียร์กีฬาไทยมากขึ้น
"ไทยพรีเมียร์ลีก" ฮีโร่คอนเทนต์"
สำหรับ “ไทยพรีเมียร์ลีก” หรือ TPL ที่มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับทรูได้ไม่นอย ล่าสุดทรูได้ถือลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2014-2016 ด้วยมูลค่าลิขสิทธิ์ปีละ 600 ล้านบาท โดยที่ทรูทำการกระจายคอนเทนต์ทั้งในส่วนของเพย์ทีวี และช่องดิจิตอลทีวี ทรูโฟร์ยู
ประจวบเหมาะกับกระแส “บอลไทยฟีเวอร์” ที่กำลังมา ณ ขณะนี้ ทำให้ทรูเหมือนอยู่ในสถานการณ์ส้มหล่นพอดี เพราะคนเริ่มหันมาดูไทยพรีเมียร์ลีกมากขึ้น จากตัวเลขสมาชิกที่หายไปจาก EPL ก็เพิ่มขึ้นจากไทยพรีเมียร์ลีกเฉลี่ยไตรมาสละ 1 แสนราย (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2557) ทำให้ตอนนี้ทรูวิชั่นมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 2.62 ล้านราย และที่สำคัญยังเป็นรายการที่สร้างเรตติ้งอันดับหนึ่งของช่องทรูโฟร์ยู
"ไทยพรีเมียร์ลีกหรือ TPL เพิ่งมาบูมไม่นานมานี้ แฟนยังไม่ครอบคลุม แต่เรามองว่ากระแสของโลคอลคอนเทนต์สำคัญกว่า เพราะเข้าถึงคนได้ดีกว่า ไทยพรีเมียร์ลีกจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์แมสขึ้น กลุ่มลูกค้าที่เพิ่มเข้ามาก็เพราะไทยพรีเมียร์ลีกเป็นกลุ่มแมส จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าจะอยู่ในกลุ่มพรีเมี่ยมเพื่อดู EPL อีกทั้งเรื่องเวลาก็เอื้ออำนวยกว่าด้วย อย่างลีกต่างประเทศมีเตะกันตีหนึ่งตีสอง ลีกไทยเตะทุกเสาร์อาทิตย์เป็นประจำ และทีมชาติไทยก็ทำให้กระแสบอลไทยกลับมาฮิตอีกครั้ง”
นอกจากทรูจะได้ลิขสิทธิ์ในการฉายไทยพรีเมียร์ลีกแล้ว ทรูยังเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมรสรแบ็งคอก ยูไนเต็ด และสุพรรณบุรี เอฟซี รวมทั้งมีการดึงนักเตะซูเปอร์สตาร์ลูกหนังขวัญใจสาวๆ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก ของทรูวิชั่นส์ ได้แก่ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, กวิน ธรรมสัจจานันท์, ชาริล ชัปปุยส์ และมิก้า ชูนวลศรี พร้อมทั้งมีสติ๊กเกอร์ไลน์เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภค
แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ไทยพรีเมียร์ลีกได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ลูกรัก” ของทรูแล้วหรือยัง พีรธนยังพูดไม่เต็มปากว่าเป็นลูกรักเสียทีเดียว แต่ค่อนข้างจะให้น้ำหนักความสำคัญ และพยายามปั้นอย่างเต็มที่ “ไทยพรีเมียร์ลีกตอนนี้ยังไม่ได้ติดตลาดมากนัก ต้องอาศัยเวลาอีกสักพัก แต่ยังมีโอกาสโตอีกเยอะ เพราะไทยลีกมีการพัฒนามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีบางสโมสรได้ไปแข่งขันในระดับเอเชีย"
ตอนนี้พีรธนก็ได้ประเมินการแข่งขันในคอนเทนต์ไทยพรีเมียร์ในอนาคตว่าจะดุเดือดขึ้นแน่ เพราะเริ่มได้รับความนิยมขึ้น ถ้ามีการประมูลครั้งหน้า เชื่อว่าจะมีช่องจากทีวีดิจิตอลเข้าประมูลอีกหลายช่อง เพื่อใช้เป็นคอนเทนต์ดึงดูด ซึ่งทรูก็จะไม่ปล่อยแน่นอน
ต้องมาจับตาดูกันอีกทีว่าคอนเทนต์ไทยพรีเมียร์ ลีกจะสามารถเบียดขึ้นมาเป็นลูกรักของทรูในอนาคตได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าต้องนี้จะเป็น “คอนเทนต์ ฮีโร่” ช่วยกู้วิกตให้ทรู แต่ถึงอย่างไร ไทยพรีเมียร์ลีกก็อาจจะยังไม่ใช่ “คอนเทนต์ คิลเลอร์(Content Killer)” ของทรู ในการดึงผู้บริโภคให้เข้าหาเหมือนกับ EPL
เตรียมชิงดำ “พรีเมียร์ลีก”
ในปีนี้ทรูวิชั่นส์ ประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ อังกฤษ เพื่อให้กลับมาเป็นคอนเทนต์ลูกรักอีกครั้ง แม้ว่าจะประเมินแล้วว่าการแข่งขันจะดุเดือดเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน แต่ทรูวิชั่นไม่ทุ่มงบเกินตัว
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “EPL อยู่กับคนไทยมานานมาก ทั้งคนไทย และทรูเองก็เติบโตมากับ EPL ในปีนี้จะมีการประมูลก่อนเดือนสิงหาคม ทรูเข้าร่วมประมูลแน่นอน เราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากครั้งที่แล้วพอสมควร EPL เป็นสิ่งที่ดี เรารักมันสุดขีด เป็นลูกรักของเรา เราโตมากับ EPL ตลอด พนักงานทุกคนผูกพันกับมัน แต่ในการประมูลก็มีลิมิตอยู่ คงไม่หวือหวามาก เพราะที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นแล้วว่าไม่ได้สูญเสียหนักมาก ไม่สาหัส สามารถผ่านวิกฤตตรงนั้นมาได้
พีรธนมองการแข่งขันในการประมูลลิขสิทธิ์ EPL ในปีนี้ต่อว่า จะแข่งขันรุนแรงขึ้นแน่ๆ เพราะมีผู้เล่นทั้งเพย์ทีวี และทีวีดิจิตอลเพิ่มเข้ามา แต่ผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลจริงๆ อาจจะแค่เจ้าเดิมๆ ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด และมูลค่าลิขสิทธิ์ก็จะสูงขึ้นด้วย แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ในตอนนี้
ที่มา
http://www.positioningmag.com/content/60639
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ส่วนตัวคิดว่า ออกมาปั่นราคาให้คู่แข่งต้องจ่ายแพงขึ้นมากกว่า
ทรูและสมาชิกทรูในปัจจุบันก็คงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ถ้าไม่มีพรีเมียร์ลีก ขณะที่คอบอลส่วนใหญ่ในนี้เท่าที่เห็น รวมทั้งเจ้าของกระทู้ ก็ยังแฮปปี้กับการจัด Package กีฬา บอล และบันเทิง ของเจ้าปัจจุบัน ถึงอะไรๆหลายอย่างมันจะกากก็เถอะ (ยกเว้นสมาชิกบางคนที่ต้องติดหลายเจ้า แล้วเป็นคนมีอันจะกิน ติด Gold Platinum ได้แต่ไม่อยากติดหลายกล่อง หรือ พวกที่ติดวิธีพิเศษ ก๊วนชายสามชายสี่ ที่เขาคงหาทางดูทุยถูกๆได้แล้วอยากดูพรีเมียร์ในก่องทุย...)
เพราะฉะนั้น.....สำหรับเรา ขอเถอะ ใครก็ได้ยกเว้นมัน
จากข่าวนี้ คิดว่า True จริงจังกับการประมูลบอลพรีเมียร์ลีกครั้งหน้าแค่ไหน
หลังจากที่“ทรูวิชั่นส์” ต้องพ่ายแพ้ประมูลถ่ายทอดสดลิขสิทธิ์ ฟุตบอล“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” หรือ EPL ที่ถือว่าเป็นแมกเน็ทสำคัญ ไปให้กับ CTH ถึง 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2013-2016 หลังจากที่เคยครองลิขสิทธิ์นี้ยาวนานนับสิบปี
แต่การที่ CTH คว้า EPL ไปครอง ต้องแลกกับเม็ดเงินเฉียดหมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่ทรูเอง “ถอยดีกว่า” เพราะมองว่าไม่คุ้มเสียเท่าไหร่ เมื่อแลกกับจำนวนสมาชิกที่อาจจะเพิ่มขึ้นเพียงแค่หลักแสน (เพราะส่วนใหญ่เป็นลูกค้าพรีเมี่ยม) ทำให้ทรูวิชั่นส์ ต้องพยายามหาคอนเท้นต์อื่นๆเข้ามา เพื่อให้โพซิชั่นที่วางไว้ว่าหลายสิบปีว่าเป็น “คิงส์ ออฟ สปอร์ต” ยังคงอยู่
ทั้งการเพิ่มคอนเทนต์รายการกีฬาประเภทต่างๆ จากต่างประเทศ ภาพยนตร์ และเริ่มมาลงล็อคที่ “กีฬาในประเทศ” ที่ถือว่าเป็นโลคอล คอนเทนต์อย่างฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก วอลเลย์บอล แบดมินตัน เพราะคนไทยหันมาเชียร์กีฬาไทยมากขึ้น
"ไทยพรีเมียร์ลีก" ฮีโร่คอนเทนต์"
สำหรับ “ไทยพรีเมียร์ลีก” หรือ TPL ที่มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับทรูได้ไม่นอย ล่าสุดทรูได้ถือลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2014-2016 ด้วยมูลค่าลิขสิทธิ์ปีละ 600 ล้านบาท โดยที่ทรูทำการกระจายคอนเทนต์ทั้งในส่วนของเพย์ทีวี และช่องดิจิตอลทีวี ทรูโฟร์ยู
ประจวบเหมาะกับกระแส “บอลไทยฟีเวอร์” ที่กำลังมา ณ ขณะนี้ ทำให้ทรูเหมือนอยู่ในสถานการณ์ส้มหล่นพอดี เพราะคนเริ่มหันมาดูไทยพรีเมียร์ลีกมากขึ้น จากตัวเลขสมาชิกที่หายไปจาก EPL ก็เพิ่มขึ้นจากไทยพรีเมียร์ลีกเฉลี่ยไตรมาสละ 1 แสนราย (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2557) ทำให้ตอนนี้ทรูวิชั่นมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 2.62 ล้านราย และที่สำคัญยังเป็นรายการที่สร้างเรตติ้งอันดับหนึ่งของช่องทรูโฟร์ยู
"ไทยพรีเมียร์ลีกหรือ TPL เพิ่งมาบูมไม่นานมานี้ แฟนยังไม่ครอบคลุม แต่เรามองว่ากระแสของโลคอลคอนเทนต์สำคัญกว่า เพราะเข้าถึงคนได้ดีกว่า ไทยพรีเมียร์ลีกจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์แมสขึ้น กลุ่มลูกค้าที่เพิ่มเข้ามาก็เพราะไทยพรีเมียร์ลีกเป็นกลุ่มแมส จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าจะอยู่ในกลุ่มพรีเมี่ยมเพื่อดู EPL อีกทั้งเรื่องเวลาก็เอื้ออำนวยกว่าด้วย อย่างลีกต่างประเทศมีเตะกันตีหนึ่งตีสอง ลีกไทยเตะทุกเสาร์อาทิตย์เป็นประจำ และทีมชาติไทยก็ทำให้กระแสบอลไทยกลับมาฮิตอีกครั้ง”
นอกจากทรูจะได้ลิขสิทธิ์ในการฉายไทยพรีเมียร์ลีกแล้ว ทรูยังเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมรสรแบ็งคอก ยูไนเต็ด และสุพรรณบุรี เอฟซี รวมทั้งมีการดึงนักเตะซูเปอร์สตาร์ลูกหนังขวัญใจสาวๆ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก ของทรูวิชั่นส์ ได้แก่ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, กวิน ธรรมสัจจานันท์, ชาริล ชัปปุยส์ และมิก้า ชูนวลศรี พร้อมทั้งมีสติ๊กเกอร์ไลน์เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภค
แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ไทยพรีเมียร์ลีกได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ลูกรัก” ของทรูแล้วหรือยัง พีรธนยังพูดไม่เต็มปากว่าเป็นลูกรักเสียทีเดียว แต่ค่อนข้างจะให้น้ำหนักความสำคัญ และพยายามปั้นอย่างเต็มที่ “ไทยพรีเมียร์ลีกตอนนี้ยังไม่ได้ติดตลาดมากนัก ต้องอาศัยเวลาอีกสักพัก แต่ยังมีโอกาสโตอีกเยอะ เพราะไทยลีกมีการพัฒนามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีบางสโมสรได้ไปแข่งขันในระดับเอเชีย"
ตอนนี้พีรธนก็ได้ประเมินการแข่งขันในคอนเทนต์ไทยพรีเมียร์ในอนาคตว่าจะดุเดือดขึ้นแน่ เพราะเริ่มได้รับความนิยมขึ้น ถ้ามีการประมูลครั้งหน้า เชื่อว่าจะมีช่องจากทีวีดิจิตอลเข้าประมูลอีกหลายช่อง เพื่อใช้เป็นคอนเทนต์ดึงดูด ซึ่งทรูก็จะไม่ปล่อยแน่นอน
ต้องมาจับตาดูกันอีกทีว่าคอนเทนต์ไทยพรีเมียร์ ลีกจะสามารถเบียดขึ้นมาเป็นลูกรักของทรูในอนาคตได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าต้องนี้จะเป็น “คอนเทนต์ ฮีโร่” ช่วยกู้วิกตให้ทรู แต่ถึงอย่างไร ไทยพรีเมียร์ลีกก็อาจจะยังไม่ใช่ “คอนเทนต์ คิลเลอร์(Content Killer)” ของทรู ในการดึงผู้บริโภคให้เข้าหาเหมือนกับ EPL
เตรียมชิงดำ “พรีเมียร์ลีก”
ในปีนี้ทรูวิชั่นส์ ประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ อังกฤษ เพื่อให้กลับมาเป็นคอนเทนต์ลูกรักอีกครั้ง แม้ว่าจะประเมินแล้วว่าการแข่งขันจะดุเดือดเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน แต่ทรูวิชั่นไม่ทุ่มงบเกินตัว
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “EPL อยู่กับคนไทยมานานมาก ทั้งคนไทย และทรูเองก็เติบโตมากับ EPL ในปีนี้จะมีการประมูลก่อนเดือนสิงหาคม ทรูเข้าร่วมประมูลแน่นอน เราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากครั้งที่แล้วพอสมควร EPL เป็นสิ่งที่ดี เรารักมันสุดขีด เป็นลูกรักของเรา เราโตมากับ EPL ตลอด พนักงานทุกคนผูกพันกับมัน แต่ในการประมูลก็มีลิมิตอยู่ คงไม่หวือหวามาก เพราะที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นแล้วว่าไม่ได้สูญเสียหนักมาก ไม่สาหัส สามารถผ่านวิกฤตตรงนั้นมาได้
พีรธนมองการแข่งขันในการประมูลลิขสิทธิ์ EPL ในปีนี้ต่อว่า จะแข่งขันรุนแรงขึ้นแน่ๆ เพราะมีผู้เล่นทั้งเพย์ทีวี และทีวีดิจิตอลเพิ่มเข้ามา แต่ผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลจริงๆ อาจจะแค่เจ้าเดิมๆ ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด และมูลค่าลิขสิทธิ์ก็จะสูงขึ้นด้วย แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ในตอนนี้
ที่มา http://www.positioningmag.com/content/60639
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้