ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง พึงหวังพบกันและกัน
ทั้งในปัจจุบัน และในสัมปรายภพ ทั้งสองเทียว
พึงเป็นผู้ มีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน
มีจาคะเสมอกัน
มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในสัมปรายภพ ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำรวมเป็นอยู่โดยธรรม
เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
มีความผาสุกทั้งสองฝ่าย มีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก
ไม่มีใจร้ายต่อกัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
ทั้งสองเป็นผู้มีศีล และวัตร (การปฏิบัติ) เสมอกัน
ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก.
---------------
(บาลี) จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๑/๕๖.
จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ
คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น
อย่างน้อยที่สุดคือร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล
มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง
ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ
ประการแรกคือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ
ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน
นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้
มองด้วยข้อสรุปนี้
คู่บุญตัวจริงก็คือ
คนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน
รวมทั้งมีศรัทธาไปในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน
มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน
และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ
ประเภทใส่บาตรครั้งสองครั้ง
อาจมีผลให้เกิดความรู้สึกปิ๊งๆบ้าง
แต่จะไม่มีเหตุปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ได้พบกันบ่อยๆ
ไม่มีเหตุได้เกื้อกูลกันโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวางอย่างสิ้นเชิง
พูดง่ายๆ ว่าต้องสร้างปัจจัยใหม่กันเหนื่อยพอดู
ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน
คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก
ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน
มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น
ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน
ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ
ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคง
และเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่
วิธีนับคะแนนเกี่ยวกับคู่ คนนี้เป็นคู่แท้หรือคู่บุญหรือไม่?
คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้
คำว่า ‘คู่แท้’
จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ
เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น
ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’
หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน
อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น
เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้
ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป
และนั่นก็แปลว่า
คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป
ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ
มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที
ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา
หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน
เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้
อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก
ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย
หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา
กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ
ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น
เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ
ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน
เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่
บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน
เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน
เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน
เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น
เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน
เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน
เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว
อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น
ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลย
ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน
ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน
คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน
เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน
พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้
แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมีย
กับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต
อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว
และนั่นก็เช่นเดียวกัน
ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน
ไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น
ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อ
ถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว
ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้ว
ย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน
สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง
ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด
เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น
การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล
ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น
เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี
อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ
ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้ว
ร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น
จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียง
ย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่
เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน
ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง
กล่าวทางธรรมคือ
มีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน
หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน
ไม่ใช่พูดคนละภาษา
ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ
หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา
หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง
ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย
แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อย
ก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง
ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกัน
ย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา
และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน
หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ
(อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้
ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด
เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง
และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง
อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง
ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง
และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที
แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้
แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา
โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่า
เหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น
รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร
ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง
ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรม
จากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก
แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ
เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้
"บุพเพสันนิวาส" ตามความหมายอันแท้จริง จะต้องเคยครองคู่
ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันแล้วสุขสมด้วยกันมาก่อน
มีลูกให้ช่วยกันเลี้ยงดูด้วยกันมาก่อน
มีความจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสำคัญอย่างสูงคือ
เคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกันมาก่อน
(จะทำบุญร่วมกันในศาสนาไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ลัทธิความเชื่ออันนำไปสู่อบาย
แต่การทำบุญร่วมกันในพุทธเขต มีกำลัง มีความสว่างสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด)
ศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะ วิธีดูว่าคู่เรานั้นเสมอ (สม)กันหรือไม่
ทั้งในปัจจุบัน และในสัมปรายภพ ทั้งสองเทียว
พึงเป็นผู้ มีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน
มีจาคะเสมอกัน
มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในสัมปรายภพ ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำรวมเป็นอยู่โดยธรรม
เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
มีความผาสุกทั้งสองฝ่าย มีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก
ไม่มีใจร้ายต่อกัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
ทั้งสองเป็นผู้มีศีล และวัตร (การปฏิบัติ) เสมอกัน
ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก.
---------------
(บาลี) จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๑/๕๖.
จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ
คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น
อย่างน้อยที่สุดคือร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล
มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง
ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ
ประการแรกคือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ
ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน
นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้
มองด้วยข้อสรุปนี้
คู่บุญตัวจริงก็คือ
คนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน
รวมทั้งมีศรัทธาไปในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน
มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน
และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ
ประเภทใส่บาตรครั้งสองครั้ง
อาจมีผลให้เกิดความรู้สึกปิ๊งๆบ้าง
แต่จะไม่มีเหตุปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ได้พบกันบ่อยๆ
ไม่มีเหตุได้เกื้อกูลกันโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวางอย่างสิ้นเชิง
พูดง่ายๆ ว่าต้องสร้างปัจจัยใหม่กันเหนื่อยพอดู
ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน
คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก
ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน
มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น
ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ
ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคง
และเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่
คำว่า ‘คู่แท้’
จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ
เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น
ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’
อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น
เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้
ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป
และนั่นก็แปลว่า
คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป
ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ
ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา
หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน
เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้
อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก
ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย
หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา
กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ
เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ
ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน
เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ
หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่
บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน
เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน
เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น
เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน
เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน
เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว
อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น
ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลย
ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน
ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน
เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน
พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้
แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมีย
กับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต
อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว
และนั่นก็เช่นเดียวกัน
ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน
ไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น
ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อ
ถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว
ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้ว
ย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน
สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง
ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด
เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น
การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล
ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น
เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี
อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ
ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้ว
ร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น
จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียง
ย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่
เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน
ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง
กล่าวทางธรรมคือ
มีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน
หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน
ไม่ใช่พูดคนละภาษา
ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ
หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา
หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง
ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย
แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อย
ก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง
ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกัน
ย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา
และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน
หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ
(อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้
ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด
เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง
อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง
ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง
และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที
แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้
โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่า
เหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น
รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร
ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง
ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรม
จากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก
แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ
เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้
ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันแล้วสุขสมด้วยกันมาก่อน
มีลูกให้ช่วยกันเลี้ยงดูด้วยกันมาก่อน
มีความจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสำคัญอย่างสูงคือ
เคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกันมาก่อน
(จะทำบุญร่วมกันในศาสนาไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ลัทธิความเชื่ออันนำไปสู่อบาย
แต่การทำบุญร่วมกันในพุทธเขต มีกำลัง มีความสว่างสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด)
http://dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=63:true-love-are-exist&Itemid=278
หนังสือกรรมพยากรณ์ตอนชนะกรรม ,หนังสือทางนฤพาน