คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
อันที่จริงแล้ว ปชช.แค่รู้จักแบ่งฝ่าย เป็น 2 ฝั่ง คือ
- ฝั่งของ ปชช. ซึ่งเป็นนายจ้างของ นักการเมืองและข้าราชการทุกองค์กร
- ฝั่งลูกจ้าง ของ ปชช. ซึ่งก็คือ นักการเมืองทุกพรรค และข้าราชการทุกกรมกอง
โดยมุ่งที่ผลประโยชน์อันจะเกิดมีกับ ประเทศชาติและ ปชช.โดยส่วนรวม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยร่วมมือกันกำจัด ลูกจ้างที่ไร้ฝีมือ ไร้ผลงาน และคดโกง
แต่ทุกวันนี้ ปชช. แบ่งฝ่ายเป็น
- พรรคการเมืองเก่าแก่ เป็นตัวนำ โดยมี ปชช.ที่นิยมชมชอบ เป็นผู้ตาม และให้การสนับสนุน
- พรรคการเมืองอีกฝ่าย เป็นตัวนำ โดยมี ปชช.ที่นิยมชมชอบ เป็นผู้ตาม และให้การสนับสนุน
- ข้าราชการ หมุนไปตามอำนาจของรัฐบาลในขณะนั้น ๆ อย่างไร้จุดยืนที่มั่นคง
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักการเมืองจึงมีความรู้สึกว่า ตนเป็นเจ้าของ ปชช. และมีอำนาจในการชักจูง ปชช.ให้หมุนไปตามตนได้ดังใจชอบ
การโกหกโป้ปดมดเท็จเพื่อหลอก ปชช.จึงมีเป็นปรกติ เพื่อชักจูงให้เชื่อและเดินตาม
ผลสุดท้าย คนที่ได้รับความเสียหายก็คือ ตัว ปชช.เอง.....แทนที่จะทำตัวให้สมกับฐานะที่ควรเป็นคือ "นายจ้าง"
แต่กลับทำตัวไปเป็น "เบี้ย" ของนักการเมืองและข้าราชการ......ความเสียหายนั้น ๆ มันคือผลประโยชน์ที่นักการเมืองและข้าราชการตักตวงเอาไป
เมื่อไหร่ที่ ปชช.รู้จักแบ่งฝ่ายใหม่ การกำจัดนักการเมืองและข้าราชการที่ไร้ฝีมือและคดโกง ก็จะง่ายขึ้น
- ฝั่งของ ปชช. ซึ่งเป็นนายจ้างของ นักการเมืองและข้าราชการทุกองค์กร
- ฝั่งลูกจ้าง ของ ปชช. ซึ่งก็คือ นักการเมืองทุกพรรค และข้าราชการทุกกรมกอง
โดยมุ่งที่ผลประโยชน์อันจะเกิดมีกับ ประเทศชาติและ ปชช.โดยส่วนรวม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยร่วมมือกันกำจัด ลูกจ้างที่ไร้ฝีมือ ไร้ผลงาน และคดโกง
แต่ทุกวันนี้ ปชช. แบ่งฝ่ายเป็น
- พรรคการเมืองเก่าแก่ เป็นตัวนำ โดยมี ปชช.ที่นิยมชมชอบ เป็นผู้ตาม และให้การสนับสนุน
- พรรคการเมืองอีกฝ่าย เป็นตัวนำ โดยมี ปชช.ที่นิยมชมชอบ เป็นผู้ตาม และให้การสนับสนุน
- ข้าราชการ หมุนไปตามอำนาจของรัฐบาลในขณะนั้น ๆ อย่างไร้จุดยืนที่มั่นคง
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักการเมืองจึงมีความรู้สึกว่า ตนเป็นเจ้าของ ปชช. และมีอำนาจในการชักจูง ปชช.ให้หมุนไปตามตนได้ดังใจชอบ
การโกหกโป้ปดมดเท็จเพื่อหลอก ปชช.จึงมีเป็นปรกติ เพื่อชักจูงให้เชื่อและเดินตาม
ผลสุดท้าย คนที่ได้รับความเสียหายก็คือ ตัว ปชช.เอง.....แทนที่จะทำตัวให้สมกับฐานะที่ควรเป็นคือ "นายจ้าง"
แต่กลับทำตัวไปเป็น "เบี้ย" ของนักการเมืองและข้าราชการ......ความเสียหายนั้น ๆ มันคือผลประโยชน์ที่นักการเมืองและข้าราชการตักตวงเอาไป
เมื่อไหร่ที่ ปชช.รู้จักแบ่งฝ่ายใหม่ การกำจัดนักการเมืองและข้าราชการที่ไร้ฝีมือและคดโกง ก็จะง่ายขึ้น
แสดงความคิดเห็น
เรื่องการเมืองไทย ที่ใครหลายๆคนได้ยินแล้วถึงกับหัวเสีย
ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย ท่านสามารถ ตำหนิ ติเตียน ผมได้ หากผมพูดบางสิ่งไม่ถูกต้อง
ขออนุญาติตั้งเป็นกระทู้ถาม ทั้งที่จริงเป็นเชิงสนทนามากกว่า
1.เมื่อหากผมตั้งใจจะเริ่มพูด เรื่องการเมือง ขึ้นมา
หลายคน อาจจะต้องตั้งคำถามทันทีเลยว่า พวกไหน เสื้อสีไร
ถ้าเสื้อเดียวกัน กูเห็นด้วย กูสนับสนุน พูดไรก็พูดมา
ถ้าคนละสี ก็อาจถูกด่ากลับ บางทีอาจไม่คุยด้วยเลยก็เป็นได้
2.หลายคน อาจจะถึงกับอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อพูดถึงผู้นำของอีกเสื้อสีนึง(ไอ้แม้ว ไอ้เทือก)
เนื่องด้วย ความโกรธแค้น เนื่องจาก เคยได้ยินมาว่า มัน ทำชั่วทำเลวมายังไง
ทำความอิบหายต่อบ้านเมือง มามากมายแค่ไหน
3.หากใครพูดการเมืองแล้วไม่เข้าหูละก็ มีเคือง มีด่ากลับแน่
ละก็เป็นประจำที่ต่างฝ่ายก็มักด่ากันไปมา อยาบคาย ไร้เหตุผล (hate speech)
เน้นความสะใจที่ได้ด่าเป็นหลัก จริงไม่จริงไม่สำคัญ
ขอให้ได้ชี้หน้าด่าคนอื่นได้ ถือว่า ทำเพื่อชาติแล้ว
4.ต่างฝั่งต่างฝ่ายมักจะบอกว่าฝั่งตัวเองถูก และอีกฝั่งผิดเสมอ
การพูด การชุมนุม มักจะเน้นหนักไปที่ ข้อเสียหรือความชั่ว ของอีกพวกนึงเสมอ
ฝั่งเดียวกันแม่มดีทุกคน ฝั่งศัตรูแม่มชั่วทุกคน
5.เมื่อการชุมนุมทางการเมืองถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลักๆ ซึ่งมีความขัดแย้งกัน
คนที่ทะเลาะกันนั้นคือประชาชน คนที่เหนื่อยคือประชาชน คนที่เจ็บคือประชาชน
คนที่ตายคือประชาชน คนที่แทบไม่ต้องรับเคราะห์กรรม
คือ พวกแกนนำ หรือ พวกปลุกระดม ที่ให้ทุกคนทะเลาะกัน
6.มีคนบางกลุ่มสร้างความขัดแย้งในกลุ่มประชาชน จากการปลุกระดมต่างๆนาๆ
จริงบ้างเท็จบ้างใส่สีบ้าง ปะปนกันไป เมื่อความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น
คนกลุ่มนั้น ก็ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากความขัดแย้งนั้นๆ
เนื่องจาก อำนาจของภาคประชาชนไม่เข้มแข็งพอ (ทะเลาะเบาะแว้งกัน)
ก็เลยเปลี่ยนอำนาจมาเป็นของพวกเราซะสิ ในที่สุดอำนาจในการบริหารประเทศ
ก็ตกเป็นของคนเพียงบางกลุ่ม ไม่ใช่ของประชาชน
7.อย่างที่หลายๆคนรู้ การเมืองมีหลังม่าน เบื้องหน้าเบื้องหลังไม่เหมือนกัน
คนที่บอกว่า ทำเพื่อชาติ รักชาติ แต่ เราก็ไม่รู้จริงๆ เขาทำเพื่อใครอยู่หรือเปล่า
หรือ แกนนำต่างๆที่ด่ากันไปมาๆ ที่จริงแล้วเขาเกลียดกันจริงๆ หรือ เป็นแค่การแสดง
หน้าฉากเท่านั้น หลังฉากเขา เป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า เราก็ไม่รู้แน่ชัด
8.การขจัดคนโกง หรือแก้ปัญหาการคอรัปชั่นจริงๆ
ควรแก้ที่สังคมไทย ไม่ใช่เพียงแค่ขับไล่คนโกงออกไป
หากสังคมไทยไม่ปรับปรุง คนเหล่านี้ก็จะขึ้นมาบริหารประเทศอีก
-ในโรงเรียนยังมีการโกงข้อสอบ ข้อสอบหลุด เด็กลอกกัน
-ในหน่วยข้าราชการยังมีระบบเส้นสาย ระบบเครือญาติ
-การเข้าเรียนทหารตำรวจ(บางที่)ยังมีการยัดเงินใต้โต๊ะ
-คนมีสกุล มีฐานะ ทำผิดแต่ ไม่ดำเนินคดี เงียบหาย
ทั้งนี้ เราคนไทยควรไม่เห็นด้วยกับการโกงทุกรูปแบบ
ไม่ควรเพิกเฉยหากเห็นใครทำผิด และนี้อาจเป็นวิธีการ
แก้ปัญหาในระยะยาวมากกว่า
9. การชุมนุม เรียกร้อง อะไรต่างๆนาๆ ไม่ควรไปละเมิดสิทธิ
คนอื่น เช่น ไม่ควรปิดถนนหรือทำลายข้าวของราชการ
นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเรากำลังทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
เดือดร้อน ควรแสดงออกอย่างสันติ ทางฝั่งรัฐบาลก็ควรรับฟัง
ปัญหาของประชาชน หาลู่ทางให้เขาแสดงออก ให้มากกว่านี้
ข้อเสนอแนะสุดท้าย
คนไทยควรใช้สติในการรับฟังข้อมูลต่างๆนาๆ ควรหลีกเลี่ยงการฟัง hate speech
คำพูดที่รุนแรง แต่ควรรับฟังคำพูดที่มีเหตุผล พร้อมทั้งหาหลักฐานหรือที่มาของข่าว
ดูว่าข้อมูลน่าเชื่อถือมากแค่ไหน ก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป และ เลิกยึดติดกับ
การแบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย เลิกคิดว่ากลุ่มตัวเองดีหมดกลุ่มนู้นไม่ดีหมด ทั้งที่ จริงแล้วๆ
แต่ละกลุ่ม แต่ละสี ก็ทั้งดีและไม่ดี ปะปนกันไป ดังนั้นเราจึงควรยึดติดกับสิ่งที่เขาพูด
ไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่กลุ่มที่เขาอยู่ ความโกรธแค้นชิงชังกันไม่เคยเป็นผลดีต่อตนเอง
ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น เลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกและคิดให้เสียว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน
บรรพบุรุษของเราเสียเลือดเนื้อมา ปกป้องบ้านเมือง
เพื่อให้คนไทยรักกัน ไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน