Asset Allocation การกระจายการลงทุน
เป็นการกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งตลาดเงิน และตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นไม่จำกัดเฉพาะตลาดหุ้นไทย ควรจะนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย เพราะอย่าลืมว่าตลาดหุ้นไทยมีขนาดแค่ 0.6% ของตลาดหุ้นทั่วโลก !!!
แล้วไฉนคุณจึงจำกัดตนเองอยู่แค่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ยังมีตลาดอื่นอีกมากมายให้ลงทุน การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งหาลงทุนได้ทั่วไปในท้องตลาด มีให้เลือกหลาย บลจ. ส่วนตัวผมชอบกองทุน Index fund ที่ลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นนั่นๆ ไปเลย และปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนครับ เช่น ตลาดหุ้น US ก็ SCBS&P500, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็ SCBNKY225
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ ยามที่เศรษฐกิจไทยไม่ดี มีปัญหาการเมือง ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน แต่ตลาดหุ้นบางประเทศกลับวิ่งเอาๆ นั้นเป็นเพราะตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ได้รับกระทบกับปัจจัยภายในประเทศเหล่านี้นั่นเอง
ตัวเลข YTD (Year to date) หมายถึง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ผลตอบแทนแต่ละพอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไรไปดูกันครับ !
Conservative การลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 80% และตลาดหุ้น 20% (แบ่งเป็น US 5%, Europe 5%, Thai 10%) ได้ผลตอบแทน 1.55%
Balance การลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 50% และตลาดหุ้น 50% (แบ่งเป็น US 10%, Europe 10%, Thai 10%, China 10%, Japan 10%) ได้ผลตอบแทน 5.25%
Growth การลงทุนแบบความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 20% และตลาดหุ้น 80% (แบ่งเป็น US 20%, Europe 15%, Thai 15%, China 15%, Japan 15%) ได้ผลตอบแทน 7.46%
ตารางผลตอบแทนแต่ละ Asset Class ตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนอันดับ 1 รองมาคือ จีน และยุโรป ขณะที่ KFSPLUS คือกองทุนตลาดเงิน Money market ครับ
ดังนั้นหากไม่มีเวลาติดตามการลงทุน การกระจายการลงทุนนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งครับ
"กระจายการลงทุน แล้วไม่ต้องไปมองมัน มารีวิวผลตอบแทนทุกๆ ครึ่งปีพอ"
http://www.facebook.com/newbieinvestor
ผลตอบแทนตลาดหุ้นครึ่งปี จากการจัดพอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไร มาดูกันครับ
เป็นการกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งตลาดเงิน และตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นไม่จำกัดเฉพาะตลาดหุ้นไทย ควรจะนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย เพราะอย่าลืมว่าตลาดหุ้นไทยมีขนาดแค่ 0.6% ของตลาดหุ้นทั่วโลก !!!
แล้วไฉนคุณจึงจำกัดตนเองอยู่แค่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ยังมีตลาดอื่นอีกมากมายให้ลงทุน การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งหาลงทุนได้ทั่วไปในท้องตลาด มีให้เลือกหลาย บลจ. ส่วนตัวผมชอบกองทุน Index fund ที่ลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นนั่นๆ ไปเลย และปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนครับ เช่น ตลาดหุ้น US ก็ SCBS&P500, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็ SCBNKY225
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ ยามที่เศรษฐกิจไทยไม่ดี มีปัญหาการเมือง ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน แต่ตลาดหุ้นบางประเทศกลับวิ่งเอาๆ นั้นเป็นเพราะตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ได้รับกระทบกับปัจจัยภายในประเทศเหล่านี้นั่นเอง
ตัวเลข YTD (Year to date) หมายถึง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ผลตอบแทนแต่ละพอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไรไปดูกันครับ !
Conservative การลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 80% และตลาดหุ้น 20% (แบ่งเป็น US 5%, Europe 5%, Thai 10%) ได้ผลตอบแทน 1.55%
Balance การลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 50% และตลาดหุ้น 50% (แบ่งเป็น US 10%, Europe 10%, Thai 10%, China 10%, Japan 10%) ได้ผลตอบแทน 5.25%
Growth การลงทุนแบบความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในตลาดสารหนี้ 20% และตลาดหุ้น 80% (แบ่งเป็น US 20%, Europe 15%, Thai 15%, China 15%, Japan 15%) ได้ผลตอบแทน 7.46%
ตารางผลตอบแทนแต่ละ Asset Class ตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนอันดับ 1 รองมาคือ จีน และยุโรป ขณะที่ KFSPLUS คือกองทุนตลาดเงิน Money market ครับ
ดังนั้นหากไม่มีเวลาติดตามการลงทุน การกระจายการลงทุนนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งครับ
"กระจายการลงทุน แล้วไม่ต้องไปมองมัน มารีวิวผลตอบแทนทุกๆ ครึ่งปีพอ"
http://www.facebook.com/newbieinvestor