ฉลุยแตะขอบฟ้า - เหมือนดูสุดเขตฯ+กวนมึนโฮ+Suckseed ผสมแบบไม่เข้ากัน พล็อตพอได้ ความเป็นฉลุยพอมี แต่เฉียบคมไม่พอและสไตล์ดูเก่าเกิน
สวัสดีครับ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "ฉลุย แตะขอบฟ้า" ในรอบสื่อมวลชน ต้องขอขอบคุณทาง Tranformation Films มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
"ฉลุย แตะขอบฟ้า" เป็นหนังไทยเรื่องล่าสุดจากทางค่าย Tranformation Films ที่เป็นการ "รีไซเคิล" (ผกก. เข้าว่างั้น) หนังไทยวัยรุ่นระดับตำนานอีกเรื่องหนึ่งคือ "ฉลุย" ที่สร้างชื่อให้กับดารานักแสดงนักร้อง 2 ท่าน นั่นคือ บิลลี่ โอแกน และ เอ็ม – สุรศักดิ์ วงไทย ผลงานการกำกับของ พี่อังเคิ้ล - อดิเรก วัฏลีลา ผู้กำกับ "ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย" "ปลื้ม" ซึ่ง "ฉลุย" เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเมื่อตอนยังเด็ก แต่จริงๆคือผมชอบเพลง "ก็มันเป็นอย่างนั้น" ของบิลลี่ โอแกน มากๆ เลยได้ย้อนหาหนังมาดูว่าเพลงนี้อยู่ในหนัง "ฉลุย" โดย "ฉลุย แตะขอบฟ้า" ก็ยังคงใช้ชื่อตัวละครแบบเดิม โต้ง ป๋อง และตุ๊กตา นำแสดงโดย เจสซี่ - เมฆ เมฆวัฒนา / นิกกี้ - ณฉัตร จันทพันธ์ / ใบเตย - สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ / นิชคุณ หรเวชกุล และกำกับโดยเจ้าเก่าคนเดิม อังเคิล - อดิเรก วัฏลีลา ร่วมกับผู้กำกับหน้าใหม่ หนึ่ง - สุชาติ มัฆวิมาลย์
ตัวอย่างหนัง ครั้งแรกที่เห็น เกิดอาการเหนื่อยใจ คือมันไม่ชวนให้อยากดูหนังมากสักเท่าไรนัก ยิ่งเพลงประกอบที่มีในตัวอย่างกลายเป็นเพลง “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ของ Body Slam ก็ยิ่งไม่ได้นึกถึง "ฉลุย" แต่อย่างใด จนกระทั่งได้มาดูตัวอย่างที่ 2 ก็เลยได้ยินเพลง "ก็มันเป็นอย่างนั้น" เฮ้อ ค่อยเป็น "ฉลุย" ขึ้นมาหน่อย
ช่วงแรกหนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบใช้เสียงเล่าซ้อนกับการเดินเรื่องแบบสลับไปมา สับขาหลอกคนดูไปเรื่อยๆ มันก็ฮาดีอยู่นะครับ แต่ผมว่ามันแปลกไปหน่อยที่พาคนดูให้คิดอย่างนั้น เดาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ช่วงแรกนี้ดูเป็นสไตล์ Under Dog ชักเจนมากๆ หลายจังหวะทำให้คิดถึงหนัง “SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” แต่ความรู้สึกของสไตล์หนังที่รับรู้ได้คือ ผมว่ามันค่อนข้างจะเป็นแนวคลาสิก (เกือบๆโบราณ) มีกลิ่นอายของฉลุย และเน้นเรื่องราวของการทำตามฝันมากเสียเหลือเกิน แต่ฝันของทั้งสองนั้น ผมว่ามันดูไม่เจาะจงยังไงไม่รู้
ช่วงกลางเมื่อหนังพาเรื่องเดินไปสู่เกาหลี แปลกอีกเหมือนกันที่หลายๆจังหวะหวนทำให้คิดถึงอารมณ์ของเกาหลีใน "กวน มึน โฮ" แต่หนังกล้าที่จะพาไปสู่มุมที่แตกต่าง ด้านที่เราไม่ได้เห็นของเกาหลี ผมว่าช่วงเกาหลีนี่สนุกดีครับ เรื่องการมาตามฝันบางช่วง ผมก็นึกถึง "สุดเขตสเลดเป็ด" ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรมาลอกหรือก๊อบหนังไทยทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมานะครับ ผมว่าแค่มาล้อๆ นิดหน่อย มีกลิ่นอายติดมาบ้าง ผมว่าการผูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นพอใช้ได้
ช่วงท้าย หนังหาเข้าสู่การจบแบบตามสูตร แต่ค่อนข้างขาดพลังในการพลักดันให้เกิดความประทับใจ เพราะดูเหมือนมันเป็น "ความบังเอิญ" มากกว่า"ความพยายามสู้" เพลงที่ใช้ตอนฉากสำคัญ ผมว่ามันก็ดีแต่ก็แปลกๆ แต่สำหรับรอบสื่อมวลชนนั้น มีสิ่งที่เหนือความคากหมายรออยู่คือ หนังนำเสนอตอนอีกแบบ ให้ดูต่อหลัง End Credit ซึ่งได้ข่าวว่าในรอบฉายจริงจะมีการปรับปรุงตัดต่อใหม่ และตัดตอนจบอีกแบบนี้ออกไป ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วครับ เพราะมันเข้าขั้นหายนะเลยทีเดียวในมุมของผม ทำหนังทั้งเรื่องพังได้เลย ตัดออกไปน่ะดีแล้ว จบแบบที่สองแถวๆพันทิบเรียกว่า "ปาหมอน" ครับ
การแสดงผมว่าทั้งเจซซี่และนิกกี้ แสดงได้ดีแต่ผมมองว่าความล้นที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะอยู่ที่การกำกับมากกว่า ใบเตยใน part มีฮา เป็นส่วนที่ดีมากๆของหนัง แสดงได้ดีครับ นิชคุณ..ก็แสดงเป็น นิชคุณ ผมว่าไม่เห็นต้องแสดงอะไรนะครับ แสดงเป็นตัวเองแบบนี้ เหมือนมาโคโตะในฟินสุโค่ยนั่นแหล่ะ นักแสดงไทยสมทบท่านอื่นก็ตามมาตรฐาน แต่ผมชอบบรรดานักแสดงเกาหลีนะ ผมว่าทำได้ทุกคน คุณตำรวจนี่ผมชอบเป็นพิเศษ
แต่ปัญหาใหญ่ของหนังคือการพยายามพลักดันเรื่องความฝันในแบบตะบี้ตะบัน เอะอะก็ทำตามฝัน จนมันล้นในความรู้สึกของคนดู ทั้งป๋องและโต้ง ดูขาดมิติ ขาดสติ ขาดความคิด ไร้สมอง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอยากดัง อยากเป็นศิลปิน นั้นจะมุ่งไปเป็นศิลปินแบบไหน เพลงแนวอะไร หนังไม่ชัดเจนมากๆในประเด็นนี้ ประเด็นแรงจูงใจที่ย้ำนักหนามาจากคนคนหนึ่ง ผมว่าก็ปูพื้นมาไม่แน่นพอในช่วงต้นๆ การที่หนังจะทำให้คนรู้สึกมีกำลังใจและอยากทำตามฝันแบบในหนัง ก็ย่อมต้องปูพื้นฐานมาให้แน่น ไม่ใช่มีแต่ตลกแบบขาดการเตรียมตัวและวางแผนแบบนี้ เป็นตัวอย่างทีถ้าใครทำตามคงล่มจม
การที่หนังมีเส้นเรื่องย่อยของตัวละครหลายตัว แต่เปิดเส้นมาแล้วปล่อยมันจางหายไป ผมว่ายิ่งแปลก เหมือนคุมทิศทางและจังหวะของหนังไม่ได้ เน้นในสิ่งที่ไม่ควรเน้น ขาดการเล่าเรื่องที่เหมาะสมของแต่ละเส้นเรื่อง เยอะไป น้อยไป ปัญหาเหล่านี้ถ้าหากตัดต่อใหม่ ผมคาดว่า "น่าจะ" ดีขึ้นกว่าที่ผมได้ดู ผมไม่อยากให้หนังที่มี Production ที่ดี กล้าลงทุน พลาดเพราะการเล่าเรื่องและการตัดต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ของหนังก่อนฉาย
ที่แย่จริงๆ ก็คงเป็นการ Tie-in ที่ยอมเลยครับ มันดูไร้ชั้นเชิงมากๆ อีกทั้งการนำบุคคลระดับตำนานมาเซอไพรซ์ในหนังนั้น ผมว่าเข้าข่ายเอามาย่ำยีเสียมากกว่า แถมประโยคปลุกใจให้รักชาติอะไรนั่น จะย้ำอะไรนักหนา มันไม่ได้เหมาะและดูเข้ากับสถานการณ์ที่ทำตลกไปเสียทั้งหมดของหนัง ความจริงจังมันต้องมีบ้างสิครับ อันนี้เล่นมันทุกจังหวะทั้งเรื่อง สุดท้ายถ้าดูแล้วลองนึกดูว่าแน่ใจนะว่าจะได้เป็นศิลปิน ถ้าสิ่งที่ทำไว้ในคลับนั้นเผยแพร่ออกไป คือเอาขำอย่างเดียวชัดๆ ไม่ได้คิดถึงโลกความจริงที่ควรจะเป็นเลย
สรุป - หนังเรื่องนี้ถ้าดูเอาสนุก ขำ และดูนิชคุณ ถือว่าใช้ได้ครับ แต่ถ้าดูเอาแรงบันดาลใจ อย่างที่เคยได้จาก "ฉลุย" ผมว่าหลายอย่างมันเปลี่ยนไป สังคมมันเปลี่ยนไป หนังยังขาดความชัดเจนในการนำเสนอตรงจุดนี้มากๆ ผมไม่เห็นแรงบันดาลใจ ความพยายาม การต่อสู้ไปให้ถึงฝันมากนัก ผมเห็นแต่ Under Dog ที่บังเอิญดวงดีมากกว่า หวังว่าความพยายามในการตัดต่อใหม่และแก้ไข จะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นนะครับ เอาใจช่วยละกันครับ ยอมรับว่า ผมหวังไว้กับหนังของ Transformation Films ไว้มากกว่านี้นะ
ความคาดหวังก่อน / หลังชม – คาดหวังค่อนข้างสูง / แย่กว่าที่หวังไว้
เกรดหนัง – พอไหว
คะแนน 5.75 /10
ป.ล. ถ้าใครที่ดูแล้วได้อยู่ในกลุ่มที่ยังได้ดูตอนจบแบบที่ 2 ก็ขอให้โชคดีแล้วกันครับ ส่วนตัวผมเฟลสุดๆ
[SR] [Mr. Coffee รีวิว 10/2558] ฉลุย แตะขอบฟ้า (ไม่สปอยล์) : เพราะบังเอิญดวงดี จึงฉลุย
สวัสดีครับ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "ฉลุย แตะขอบฟ้า" ในรอบสื่อมวลชน ต้องขอขอบคุณทาง Tranformation Films มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
"ฉลุย แตะขอบฟ้า" เป็นหนังไทยเรื่องล่าสุดจากทางค่าย Tranformation Films ที่เป็นการ "รีไซเคิล" (ผกก. เข้าว่างั้น) หนังไทยวัยรุ่นระดับตำนานอีกเรื่องหนึ่งคือ "ฉลุย" ที่สร้างชื่อให้กับดารานักแสดงนักร้อง 2 ท่าน นั่นคือ บิลลี่ โอแกน และ เอ็ม – สุรศักดิ์ วงไทย ผลงานการกำกับของ พี่อังเคิ้ล - อดิเรก วัฏลีลา ผู้กำกับ "ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย" "ปลื้ม" ซึ่ง "ฉลุย" เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเมื่อตอนยังเด็ก แต่จริงๆคือผมชอบเพลง "ก็มันเป็นอย่างนั้น" ของบิลลี่ โอแกน มากๆ เลยได้ย้อนหาหนังมาดูว่าเพลงนี้อยู่ในหนัง "ฉลุย" โดย "ฉลุย แตะขอบฟ้า" ก็ยังคงใช้ชื่อตัวละครแบบเดิม โต้ง ป๋อง และตุ๊กตา นำแสดงโดย เจสซี่ - เมฆ เมฆวัฒนา / นิกกี้ - ณฉัตร จันทพันธ์ / ใบเตย - สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ / นิชคุณ หรเวชกุล และกำกับโดยเจ้าเก่าคนเดิม อังเคิล - อดิเรก วัฏลีลา ร่วมกับผู้กำกับหน้าใหม่ หนึ่ง - สุชาติ มัฆวิมาลย์
ตัวอย่างหนัง ครั้งแรกที่เห็น เกิดอาการเหนื่อยใจ คือมันไม่ชวนให้อยากดูหนังมากสักเท่าไรนัก ยิ่งเพลงประกอบที่มีในตัวอย่างกลายเป็นเพลง “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ของ Body Slam ก็ยิ่งไม่ได้นึกถึง "ฉลุย" แต่อย่างใด จนกระทั่งได้มาดูตัวอย่างที่ 2 ก็เลยได้ยินเพลง "ก็มันเป็นอย่างนั้น" เฮ้อ ค่อยเป็น "ฉลุย" ขึ้นมาหน่อย
ช่วงแรกหนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบใช้เสียงเล่าซ้อนกับการเดินเรื่องแบบสลับไปมา สับขาหลอกคนดูไปเรื่อยๆ มันก็ฮาดีอยู่นะครับ แต่ผมว่ามันแปลกไปหน่อยที่พาคนดูให้คิดอย่างนั้น เดาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ช่วงแรกนี้ดูเป็นสไตล์ Under Dog ชักเจนมากๆ หลายจังหวะทำให้คิดถึงหนัง “SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” แต่ความรู้สึกของสไตล์หนังที่รับรู้ได้คือ ผมว่ามันค่อนข้างจะเป็นแนวคลาสิก (เกือบๆโบราณ) มีกลิ่นอายของฉลุย และเน้นเรื่องราวของการทำตามฝันมากเสียเหลือเกิน แต่ฝันของทั้งสองนั้น ผมว่ามันดูไม่เจาะจงยังไงไม่รู้
ช่วงกลางเมื่อหนังพาเรื่องเดินไปสู่เกาหลี แปลกอีกเหมือนกันที่หลายๆจังหวะหวนทำให้คิดถึงอารมณ์ของเกาหลีใน "กวน มึน โฮ" แต่หนังกล้าที่จะพาไปสู่มุมที่แตกต่าง ด้านที่เราไม่ได้เห็นของเกาหลี ผมว่าช่วงเกาหลีนี่สนุกดีครับ เรื่องการมาตามฝันบางช่วง ผมก็นึกถึง "สุดเขตสเลดเป็ด" ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรมาลอกหรือก๊อบหนังไทยทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมานะครับ ผมว่าแค่มาล้อๆ นิดหน่อย มีกลิ่นอายติดมาบ้าง ผมว่าการผูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นพอใช้ได้
ช่วงท้าย หนังหาเข้าสู่การจบแบบตามสูตร แต่ค่อนข้างขาดพลังในการพลักดันให้เกิดความประทับใจ เพราะดูเหมือนมันเป็น "ความบังเอิญ" มากกว่า"ความพยายามสู้" เพลงที่ใช้ตอนฉากสำคัญ ผมว่ามันก็ดีแต่ก็แปลกๆ แต่สำหรับรอบสื่อมวลชนนั้น มีสิ่งที่เหนือความคากหมายรออยู่คือ หนังนำเสนอตอนอีกแบบ ให้ดูต่อหลัง End Credit ซึ่งได้ข่าวว่าในรอบฉายจริงจะมีการปรับปรุงตัดต่อใหม่ และตัดตอนจบอีกแบบนี้ออกไป ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วครับ เพราะมันเข้าขั้นหายนะเลยทีเดียวในมุมของผม ทำหนังทั้งเรื่องพังได้เลย ตัดออกไปน่ะดีแล้ว จบแบบที่สองแถวๆพันทิบเรียกว่า "ปาหมอน" ครับ
การแสดงผมว่าทั้งเจซซี่และนิกกี้ แสดงได้ดีแต่ผมมองว่าความล้นที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะอยู่ที่การกำกับมากกว่า ใบเตยใน part มีฮา เป็นส่วนที่ดีมากๆของหนัง แสดงได้ดีครับ นิชคุณ..ก็แสดงเป็น นิชคุณ ผมว่าไม่เห็นต้องแสดงอะไรนะครับ แสดงเป็นตัวเองแบบนี้ เหมือนมาโคโตะในฟินสุโค่ยนั่นแหล่ะ นักแสดงไทยสมทบท่านอื่นก็ตามมาตรฐาน แต่ผมชอบบรรดานักแสดงเกาหลีนะ ผมว่าทำได้ทุกคน คุณตำรวจนี่ผมชอบเป็นพิเศษ
แต่ปัญหาใหญ่ของหนังคือการพยายามพลักดันเรื่องความฝันในแบบตะบี้ตะบัน เอะอะก็ทำตามฝัน จนมันล้นในความรู้สึกของคนดู ทั้งป๋องและโต้ง ดูขาดมิติ ขาดสติ ขาดความคิด ไร้สมอง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอยากดัง อยากเป็นศิลปิน นั้นจะมุ่งไปเป็นศิลปินแบบไหน เพลงแนวอะไร หนังไม่ชัดเจนมากๆในประเด็นนี้ ประเด็นแรงจูงใจที่ย้ำนักหนามาจากคนคนหนึ่ง ผมว่าก็ปูพื้นมาไม่แน่นพอในช่วงต้นๆ การที่หนังจะทำให้คนรู้สึกมีกำลังใจและอยากทำตามฝันแบบในหนัง ก็ย่อมต้องปูพื้นฐานมาให้แน่น ไม่ใช่มีแต่ตลกแบบขาดการเตรียมตัวและวางแผนแบบนี้ เป็นตัวอย่างทีถ้าใครทำตามคงล่มจม
การที่หนังมีเส้นเรื่องย่อยของตัวละครหลายตัว แต่เปิดเส้นมาแล้วปล่อยมันจางหายไป ผมว่ายิ่งแปลก เหมือนคุมทิศทางและจังหวะของหนังไม่ได้ เน้นในสิ่งที่ไม่ควรเน้น ขาดการเล่าเรื่องที่เหมาะสมของแต่ละเส้นเรื่อง เยอะไป น้อยไป ปัญหาเหล่านี้ถ้าหากตัดต่อใหม่ ผมคาดว่า "น่าจะ" ดีขึ้นกว่าที่ผมได้ดู ผมไม่อยากให้หนังที่มี Production ที่ดี กล้าลงทุน พลาดเพราะการเล่าเรื่องและการตัดต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ของหนังก่อนฉาย
ที่แย่จริงๆ ก็คงเป็นการ Tie-in ที่ยอมเลยครับ มันดูไร้ชั้นเชิงมากๆ อีกทั้งการนำบุคคลระดับตำนานมาเซอไพรซ์ในหนังนั้น ผมว่าเข้าข่ายเอามาย่ำยีเสียมากกว่า แถมประโยคปลุกใจให้รักชาติอะไรนั่น จะย้ำอะไรนักหนา มันไม่ได้เหมาะและดูเข้ากับสถานการณ์ที่ทำตลกไปเสียทั้งหมดของหนัง ความจริงจังมันต้องมีบ้างสิครับ อันนี้เล่นมันทุกจังหวะทั้งเรื่อง สุดท้ายถ้าดูแล้วลองนึกดูว่าแน่ใจนะว่าจะได้เป็นศิลปิน ถ้าสิ่งที่ทำไว้ในคลับนั้นเผยแพร่ออกไป คือเอาขำอย่างเดียวชัดๆ ไม่ได้คิดถึงโลกความจริงที่ควรจะเป็นเลย
สรุป - หนังเรื่องนี้ถ้าดูเอาสนุก ขำ และดูนิชคุณ ถือว่าใช้ได้ครับ แต่ถ้าดูเอาแรงบันดาลใจ อย่างที่เคยได้จาก "ฉลุย" ผมว่าหลายอย่างมันเปลี่ยนไป สังคมมันเปลี่ยนไป หนังยังขาดความชัดเจนในการนำเสนอตรงจุดนี้มากๆ ผมไม่เห็นแรงบันดาลใจ ความพยายาม การต่อสู้ไปให้ถึงฝันมากนัก ผมเห็นแต่ Under Dog ที่บังเอิญดวงดีมากกว่า หวังว่าความพยายามในการตัดต่อใหม่และแก้ไข จะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นนะครับ เอาใจช่วยละกันครับ ยอมรับว่า ผมหวังไว้กับหนังของ Transformation Films ไว้มากกว่านี้นะ
ความคาดหวังก่อน / หลังชม – คาดหวังค่อนข้างสูง / แย่กว่าที่หวังไว้
เกรดหนัง – พอไหว
คะแนน 5.75 /10
ป.ล. ถ้าใครที่ดูแล้วได้อยู่ในกลุ่มที่ยังได้ดูตอนจบแบบที่ 2 ก็ขอให้โชคดีแล้วกันครับ ส่วนตัวผมเฟลสุดๆ