บทสัมภาษณ์หนุ่มไทยที่แต่งงานกับสาวญี่ปุ่น
เรื่องโดย : เกตุวดี www.marumura.com
วันก่อนพี่เอก (นามสมมติ) รุ่นพี่คนไทยที่ทำงานที่โตเกียวบินกลับมาประชุมที่ไทย เราเลยได้นัดคุยกินข้าวอัพเดทชีวิตกันและกัน พี่เอกเรียนปริญญาตรี โท แล้วทำงานที่ญี่ปุ่นต่อเลย รวมระยะเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นก็กว่า 15 ปีแล้วค่ะ ระหว่างนั่งคุยกันไปคุยกันมา อีท่าไหนไม่รู้ กลายมาเป็นบทสนทนาเรื่องความรัก ...
ที่ผ่านมาดิฉันมักจะเล่าเรื่องราวมุมมองความรักผ่านแง่มุมของผู้หญิง ครั้งนี้ลองมาดูกันนะคะว่าผู้ชายไทย เห็นอย่างไรกับความรักกับคนญี่ปุ่นบ้าง
พี่กับภรรยาเจอกันได้ยังไงคะ
เราเรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน (เกตุวดี: คือ โตได ... มหาลัยเข้ายากที่สุดของญี่ปุ่น) ตอนพี่เรียนปริญญาโท เราทำแล็บห้องเดียวกัน แต่ตอนนั้น ก็แค่คุยๆ กันเป็นเพื่อนครับ
แล้วไปไงมาไง มาคบกันเอ่ย
พอเรียนจบพี่ก็เริ่มทำงานพอมีรายได้แล้วก็เลยรู้สึกว่าอยากลงหลักปักฐานกับใครสักคน ก็เลยนึกถึงเขาขึ้นมา เลยเมลชวนไปทานข้าว พอไปทานอะไรกันได้ 2-3 ครั้ง ก็รู้สึกคุยกันถูกคอ พี่เลยบอกว่าพี่คบใครไม่ได้คบเล่นๆ คบจริงจังเพื่อหาคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน ขอคบได้ไหม เขาก็ตกลง
ง่ายๆ อย่างนี้เลย?
จริงๆ ก็ไม่ง่ายเท่าไร แต่โชคดีที่เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน รู้จักตัวตนของกันและกันในระดับหนึ่งแล้ว อีกอย่างตอนนั้นพี่เอาสมุดเล่มหนึ่งให้เขาดู สมุดเล่มนั้นพี่เขียนตอนพี่อายุ 25 ในนั้น บันทึกความฝันว่า พี่อยากใช้ชีวิตแบบไหน ต้องการอะไรในชีวิต ต้องการคู่ชีวิตแบบไหน และพี่ก็ชี้ให้เขาดูว่าเขามีคุณสมบัติตรงกับที่พี่ต้องการเลยอยากคบกับเขา ซึ่งพี่คิดว่านี่อาจเป็นหลักฐานพิสูจน์ชั้นดีว่าพี่จริงจังกับเขาจริงๆ
ส่วนแฟนพี่เขามาบอกทีหลังว่ายอมคบกับพี่เพราะพี่ดูจริงจัง และน่าจะเลี้ยงดูเขาได้นี่แหละ เลี้ยงดูได้ในที่นี้คือ เขาฝันอยากทำงานเพื่อสังคม ซึ่งรายได้มันไม่เยอะมาก แต่ถ้าแต่งกับพี่ก็น่าจะพอเกาะๆ กันไปรอด เลยตกลงปลงใจกับพี่
สรุปว่า เราสองคนต่างคนต่างมีความฝันที่ชัดเจนและเกื้อกูลกันได้ ก็เลยใช้ชีวิตร่วมกันได้
สมเป็นเด็กโตได... คิดอะไรมีตรรกะ แถมซีเรียสกันทั้งคู่เลย แล้วพอคบกันแล้วเป็นยังไงบ้างคะ
สิ่งที่ตลก คือเรื่องการสื่อสารครับ คู่รักไทยจะส่ง line ส่งอีเมลกันบ่อยมากใช่ไหมครับ แต่สมัยพี่คบกับแฟน แฟนเองก็ทำงานยุ่งมาก เราจะ sms คุยกันวันละ 2 ครั้ง ...แหม่....ไม่อยากเรียกว่า “คุย” เลย เพราะตอนเช้าพี่ก็จะทักเขาว่า “หวัดดี! สู้ๆ กันเถอะ” ตอนกลางคืนก็จะทักอีกครั้งว่า “ฝันดีนะ” แค่นั้นเพราะถึงส่ง sms ไปเวลาอื่น เธอก็ไม่มีเวลาอ่านอยู่ดี บางครั้งพี่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันว่า เออ... นี่เราคบเป็นแฟนกันจริงๆ หรือเปล่า 555…
เนื่องจากพี่ทำงานอยู่ฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ ต้องเดินทางไปไหนมาไหนตลอด เรื่องครอบครัวจัดการกันอย่างไรคะ
ตอนนี้ใน 1 เดือน พี่อยู่ต่างประเทศ 3 อาทิตย์ อยู่ญี่ปุ่นแค่อาทิตย์เดียว พอกลับไปญี่ปุ่นทีไรก็ต้องพยายามเอาอกเอาใจพาครอบครัวไปเที่ยวนู่นนี่ ทั้งๆ ที่ตัวพี่เองก็อยากจะหยุดพักอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอคิดว่าในช่วง 3 อาทิตย์ ภรรยาต้องเหนื่อยกับการดูแลลูกคนเดียวแค่ไหน พี่ก็เกรงใจเลยต้องพาครอบครัวออกไปเที่ยวบ้าง
ที่ญี่ปุ่นเราไม่มีการจ้างพี่เลี้ยงนะครับ เพราะค่าจ้างแพงมาก ถ้าไม่รวยจริงทำไม่ได้ ขนาดพี่มีลูก 2 คน ภรรยายังต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยเลี้ยงลูกด้วย พอทำงานเสร็จกลับบ้านมาก็ต้องทำงานบ้าน เลี้ยงลูกทำกับข้าวดูชีวิตหนักหน่วงใช่ย่อยเลยครับ
เขาไม่ฝากบ้านพ่อแม่สามีหรือพ่อแม่ภรรยากันเหรอคะ
เราจะรู้สึกเกรงใจน่ะครับเหมือนรบกวนผู้ใหญ่ ถ้าฝากให้ดูแลเป็นครั้งคราวบ้างก็ยังไม่เป็นไร เพราะคุณตาคุณยายก็จะดีใจที่ได้เจอหลานๆ แต่ถ้าฝากตลอดเราก็เกรงใจเหมือนกัน เพราะท่านทั้งสองคงออกไปไหนไม่ได้เลย แถมเด็กๆ ก็แรงเยอะ วิ่งซน คุณตาคุณยายคงจะเลี้ยงดูเหนื่อยแย่ คนญี่ปุ่นเขาคิดกันแบบนี้นะ
สุดท้ายนี้รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น
พี่ก็รู้สึกขอบคุณภรรยานะ คือพี่ฝันอยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น กลับบ้านไปมีคนที่เรารักรออยู่ ตัวพี่เองทำงานหนักมาก โชคดีที่แฟนพี่เขาเสียสละ ไม่ทุ่มเททำงานเหมือนแต่ก่อน ยอมรับเงินเดือนน้อย เพื่อจะได้รีบกลับบ้านเร็วมาทำกับข้าวดูแลลูก
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าเขาญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คือไม่ว่าพี่จะกลับบ้านกี่โมง ดึกแค่ไหน เขาก็ยังตื่นและรอคอยเราเสมอ ด้วยอาชีพของพี่ พี่ต้องไปพบลูกค้า พาลูกค้าไปกินดื่มและเอนเตอร์เทน คือที่ญี่ปุ่นเวลาทานข้าวเลี้ยงลูกค้าเสร็จ เราก็มักไปโฮสเตสบาร์หรือบาร์คาราโอเกะต่อ ก็จะมีสาวๆ มานั่งร้องเพลง มาชวนคุยเฮฮาปาร์ตี้แหละ แต่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างอื่นนะ แค่นั่งคุยนั่งดื่มกันจริงๆ ทีนี้บางทีกว่าจะเลิกดริ๊งก์ก็ตี 2 ตี 3 พอกลับบ้านไปภรรยาก็จะคอยเตรียมน้ำให้อาบ เตรียมชุดนอนคอยดูแล
สิ่งที่แตกต่างกับผู้หญิงไทยมากๆ คือ ไม่ว่าจะกลับบ้านดึกยังไง ภรรยาไม่โทรเช็คหรือโทรจิกเลย ตอนกลับบ้านมา เธอก็คงได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงหรือกลิ่นบุหรี่แหละ และพี่ก็เดาว่าเธอก็น่าจะรู้ว่าพี่ไปไหนมา แต่ข้อดีของเธอ คือ เธอไม่เคยถาม เธอเคารพพี่ตลอดและเข้าใจว่าด้วยเนื้องานพี่ มันต้อง entertain ลูกค้า ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่พี่สบายใจที่สุดและรู้สึกขอบคุณเธอที่สุด
=================================================
จากบทสัมภาษณ์นี้ เราคงได้เห็นแล้วว่าผู้ชายญี่ปุ่น หรือผู้ชายที่ทำงานในญี่ปุ่นอย่างพี่เอก ต้องทำงานหนักแค่ไหนเลิกดึกเพียงใด และคงเห็นว่าภรรยามีหน้าที่ต้องสนับสนุนฝ่ายชายให้ถึงที่สุด และต้องคอยดูแลครอบครัวเพื่อให้ผู้ชายสบายใจ และโฟกัสกับการทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ที่สุด
สาวไทยท่านใดจะแต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่น ลองพิจารณาตรงนี้นะคะว่าเรารักเขาและพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาทุกอย่างไหม พร้อมที่จะดูแลครอบครัวไหม
ส่วนหนุ่มไทยท่านใดที่แต่งงานกับสาวญี่ปุ่น คุณโชคดีมากที่จะไม่โดนโทรจิกค่ะ...เอ้ย ... แม้ว่าภรรยาญี่ปุ่นพร้อมที่จะสนับสนุนคุณทุกอย่าง แต่อย่าลืมขอบคุณเธอ และให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับเธอบ้าง เช่น พาไปเที่ยว พาไปทานอาหารดีๆ เพื่อขอบคุณความเหนื่อยยากที่เธอคอยดูแลครอบครัวระหว่างที่คุณทำงานนะคะ ☺
เรื่องแถม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Japan mini-gossip: "ขอสามีรวย...รวยประมาณไหน?"
วันก่อน เพื่อนสาววัย 3X ปีรำพึงออกมา...
"แก...เบื่องานแล้ว ไม่อยากทำงาน เมื่อไรชั้นจะมีสามีรวยๆ ซะทีวะ"
ดิฉัน: "ที่ว่ารวย รวยเท่าไรเจ๊"
เจ๊: "รวยๆ น่ะ"
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างหญิงไทยกับหญิงญี่ปุ่ที่ดิฉันเพิ่งค้นพบ!!!
ไม่ว่าสาวไทยหรือสาวญี่ปุ่น ก็อยากได้แฟนรายได้สูงแหละ
แต่!!
สาวไทยเราอาจจะคิดเบลอๆ แฟนรวยคือ ขับเบนซ์? เป็นเจ้าของธุรกิจ?
แต่สาวญี่ปุ่นเขาจะกำหนดเป็นตัวเลข
เขาจะตั้งเป้าไว้เลยว่า อยากได้แฟนที่มีรายได้ต่อปีประมาณสักเท่าไร
(น่ากลัวไหมคะ..555)
หรืออย่างน้อย เขารุ้แหละว่า เงินเดือนประมาณเท่านี้ แปลว่า
ผู้ชายคนนี้รายได้เยอะหรือน้อย
ถ้าผู้ชายอายุสัก 30 ปี แล้วรายได้ 8 ล้านเยนต่อปี ถือว่าเป็นผู้ชายเกรด A
ถ้าสัก 10 ล้านเยนต่อปี ถือว่าเกรด A+ ชะนีจะตอมเยอะมาก
ใครหวังน้อย รายได้ต่อปีสัก 6-7 ล้านเยนก็โอเคแล้ว
อะไรประมาณนี้
ที่ทำแบบนี้ได้ เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน
ไม่ค่อยประกอบธุรกิจกันสักเท่าไร
ถ้ารู้ชื่อบริษัท หรือรู้วงการธุรกิจ ก็พอจะเดาๆ เงินเดือนฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว
เช่น ถ้าทำบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป เงินเดือนสตาร์ทประมาณเดือนละ 2.5 แสนเยน (8 หมื่นบาท) แต่ถ้าเป็นพวกบริษัทค้าขาย Trading company เงินจะสตาร์ท 4 แสนเยน ถ้าเป็นบริษัท IT ใหญ่ๆ ดังๆ หรือพวก Consult เงินอาจพุ่งไปที่ 6 แสนเยนก็ได้
ส่วนบริษัทเล็กๆ ที่ได้ยินชื่อแล้วต้องถามซ้ำว่า "ที่ไหนนะ"
เงินเดือนก็จะลดหลั่นลงมา
เพราะฉะนั้น แค่ถามชื่อบริษัทและตำแหน่งที่ผู้ชายทำอยู่
ผู้หญิงญี่ปุ่นก็พอจะเดารายได้ได้ของผู้ชายได้แล้วค่ะ
(หรือถ้าอยากให้ชัวร์ มันมีวิธีสังเกต วิธีหลอกถามเหมือนกัน)
หลังจากนั้น เธอจะพิจารณาว่า ระดับประมาณนี้พอผ่านเกณฑ์การคัดเลือกแฟนไหม
ดิฉันบอกแล้ว คนญี่ปุ่นบ้าตัวเลข..ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก
อีโมติคอน tongue
ป.ล. ไม่ใช่ผู้หญิงญี่ปุ่นทุกคนที่จะเลือกแฟนเพราะรายได้นะ รายได้เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น (ที่สำคัญ....555)
เรื่องโดย : เกตุวดี www.marumura.com
www.marumura.com/talkative/?id=7345
บทสัมภาษณ์หนุ่มไทยที่แต่งงานกับสาวญี่ปุ่น
เรื่องโดย : เกตุวดี www.marumura.com
วันก่อนพี่เอก (นามสมมติ) รุ่นพี่คนไทยที่ทำงานที่โตเกียวบินกลับมาประชุมที่ไทย เราเลยได้นัดคุยกินข้าวอัพเดทชีวิตกันและกัน พี่เอกเรียนปริญญาตรี โท แล้วทำงานที่ญี่ปุ่นต่อเลย รวมระยะเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นก็กว่า 15 ปีแล้วค่ะ ระหว่างนั่งคุยกันไปคุยกันมา อีท่าไหนไม่รู้ กลายมาเป็นบทสนทนาเรื่องความรัก ...
ที่ผ่านมาดิฉันมักจะเล่าเรื่องราวมุมมองความรักผ่านแง่มุมของผู้หญิง ครั้งนี้ลองมาดูกันนะคะว่าผู้ชายไทย เห็นอย่างไรกับความรักกับคนญี่ปุ่นบ้าง
พี่กับภรรยาเจอกันได้ยังไงคะ
เราเรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน (เกตุวดี: คือ โตได ... มหาลัยเข้ายากที่สุดของญี่ปุ่น) ตอนพี่เรียนปริญญาโท เราทำแล็บห้องเดียวกัน แต่ตอนนั้น ก็แค่คุยๆ กันเป็นเพื่อนครับ
แล้วไปไงมาไง มาคบกันเอ่ย
พอเรียนจบพี่ก็เริ่มทำงานพอมีรายได้แล้วก็เลยรู้สึกว่าอยากลงหลักปักฐานกับใครสักคน ก็เลยนึกถึงเขาขึ้นมา เลยเมลชวนไปทานข้าว พอไปทานอะไรกันได้ 2-3 ครั้ง ก็รู้สึกคุยกันถูกคอ พี่เลยบอกว่าพี่คบใครไม่ได้คบเล่นๆ คบจริงจังเพื่อหาคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน ขอคบได้ไหม เขาก็ตกลง
ง่ายๆ อย่างนี้เลย?
จริงๆ ก็ไม่ง่ายเท่าไร แต่โชคดีที่เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน รู้จักตัวตนของกันและกันในระดับหนึ่งแล้ว อีกอย่างตอนนั้นพี่เอาสมุดเล่มหนึ่งให้เขาดู สมุดเล่มนั้นพี่เขียนตอนพี่อายุ 25 ในนั้น บันทึกความฝันว่า พี่อยากใช้ชีวิตแบบไหน ต้องการอะไรในชีวิต ต้องการคู่ชีวิตแบบไหน และพี่ก็ชี้ให้เขาดูว่าเขามีคุณสมบัติตรงกับที่พี่ต้องการเลยอยากคบกับเขา ซึ่งพี่คิดว่านี่อาจเป็นหลักฐานพิสูจน์ชั้นดีว่าพี่จริงจังกับเขาจริงๆ
ส่วนแฟนพี่เขามาบอกทีหลังว่ายอมคบกับพี่เพราะพี่ดูจริงจัง และน่าจะเลี้ยงดูเขาได้นี่แหละ เลี้ยงดูได้ในที่นี้คือ เขาฝันอยากทำงานเพื่อสังคม ซึ่งรายได้มันไม่เยอะมาก แต่ถ้าแต่งกับพี่ก็น่าจะพอเกาะๆ กันไปรอด เลยตกลงปลงใจกับพี่
สรุปว่า เราสองคนต่างคนต่างมีความฝันที่ชัดเจนและเกื้อกูลกันได้ ก็เลยใช้ชีวิตร่วมกันได้
สมเป็นเด็กโตได... คิดอะไรมีตรรกะ แถมซีเรียสกันทั้งคู่เลย แล้วพอคบกันแล้วเป็นยังไงบ้างคะ
สิ่งที่ตลก คือเรื่องการสื่อสารครับ คู่รักไทยจะส่ง line ส่งอีเมลกันบ่อยมากใช่ไหมครับ แต่สมัยพี่คบกับแฟน แฟนเองก็ทำงานยุ่งมาก เราจะ sms คุยกันวันละ 2 ครั้ง ...แหม่....ไม่อยากเรียกว่า “คุย” เลย เพราะตอนเช้าพี่ก็จะทักเขาว่า “หวัดดี! สู้ๆ กันเถอะ” ตอนกลางคืนก็จะทักอีกครั้งว่า “ฝันดีนะ” แค่นั้นเพราะถึงส่ง sms ไปเวลาอื่น เธอก็ไม่มีเวลาอ่านอยู่ดี บางครั้งพี่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันว่า เออ... นี่เราคบเป็นแฟนกันจริงๆ หรือเปล่า 555…
เนื่องจากพี่ทำงานอยู่ฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ ต้องเดินทางไปไหนมาไหนตลอด เรื่องครอบครัวจัดการกันอย่างไรคะ
ตอนนี้ใน 1 เดือน พี่อยู่ต่างประเทศ 3 อาทิตย์ อยู่ญี่ปุ่นแค่อาทิตย์เดียว พอกลับไปญี่ปุ่นทีไรก็ต้องพยายามเอาอกเอาใจพาครอบครัวไปเที่ยวนู่นนี่ ทั้งๆ ที่ตัวพี่เองก็อยากจะหยุดพักอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอคิดว่าในช่วง 3 อาทิตย์ ภรรยาต้องเหนื่อยกับการดูแลลูกคนเดียวแค่ไหน พี่ก็เกรงใจเลยต้องพาครอบครัวออกไปเที่ยวบ้าง
ที่ญี่ปุ่นเราไม่มีการจ้างพี่เลี้ยงนะครับ เพราะค่าจ้างแพงมาก ถ้าไม่รวยจริงทำไม่ได้ ขนาดพี่มีลูก 2 คน ภรรยายังต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยเลี้ยงลูกด้วย พอทำงานเสร็จกลับบ้านมาก็ต้องทำงานบ้าน เลี้ยงลูกทำกับข้าวดูชีวิตหนักหน่วงใช่ย่อยเลยครับ
เขาไม่ฝากบ้านพ่อแม่สามีหรือพ่อแม่ภรรยากันเหรอคะ
เราจะรู้สึกเกรงใจน่ะครับเหมือนรบกวนผู้ใหญ่ ถ้าฝากให้ดูแลเป็นครั้งคราวบ้างก็ยังไม่เป็นไร เพราะคุณตาคุณยายก็จะดีใจที่ได้เจอหลานๆ แต่ถ้าฝากตลอดเราก็เกรงใจเหมือนกัน เพราะท่านทั้งสองคงออกไปไหนไม่ได้เลย แถมเด็กๆ ก็แรงเยอะ วิ่งซน คุณตาคุณยายคงจะเลี้ยงดูเหนื่อยแย่ คนญี่ปุ่นเขาคิดกันแบบนี้นะ
สุดท้ายนี้รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น
พี่ก็รู้สึกขอบคุณภรรยานะ คือพี่ฝันอยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น กลับบ้านไปมีคนที่เรารักรออยู่ ตัวพี่เองทำงานหนักมาก โชคดีที่แฟนพี่เขาเสียสละ ไม่ทุ่มเททำงานเหมือนแต่ก่อน ยอมรับเงินเดือนน้อย เพื่อจะได้รีบกลับบ้านเร็วมาทำกับข้าวดูแลลูก
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าเขาญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คือไม่ว่าพี่จะกลับบ้านกี่โมง ดึกแค่ไหน เขาก็ยังตื่นและรอคอยเราเสมอ ด้วยอาชีพของพี่ พี่ต้องไปพบลูกค้า พาลูกค้าไปกินดื่มและเอนเตอร์เทน คือที่ญี่ปุ่นเวลาทานข้าวเลี้ยงลูกค้าเสร็จ เราก็มักไปโฮสเตสบาร์หรือบาร์คาราโอเกะต่อ ก็จะมีสาวๆ มานั่งร้องเพลง มาชวนคุยเฮฮาปาร์ตี้แหละ แต่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างอื่นนะ แค่นั่งคุยนั่งดื่มกันจริงๆ ทีนี้บางทีกว่าจะเลิกดริ๊งก์ก็ตี 2 ตี 3 พอกลับบ้านไปภรรยาก็จะคอยเตรียมน้ำให้อาบ เตรียมชุดนอนคอยดูแล
สิ่งที่แตกต่างกับผู้หญิงไทยมากๆ คือ ไม่ว่าจะกลับบ้านดึกยังไง ภรรยาไม่โทรเช็คหรือโทรจิกเลย ตอนกลับบ้านมา เธอก็คงได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงหรือกลิ่นบุหรี่แหละ และพี่ก็เดาว่าเธอก็น่าจะรู้ว่าพี่ไปไหนมา แต่ข้อดีของเธอ คือ เธอไม่เคยถาม เธอเคารพพี่ตลอดและเข้าใจว่าด้วยเนื้องานพี่ มันต้อง entertain ลูกค้า ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่พี่สบายใจที่สุดและรู้สึกขอบคุณเธอที่สุด
=================================================
จากบทสัมภาษณ์นี้ เราคงได้เห็นแล้วว่าผู้ชายญี่ปุ่น หรือผู้ชายที่ทำงานในญี่ปุ่นอย่างพี่เอก ต้องทำงานหนักแค่ไหนเลิกดึกเพียงใด และคงเห็นว่าภรรยามีหน้าที่ต้องสนับสนุนฝ่ายชายให้ถึงที่สุด และต้องคอยดูแลครอบครัวเพื่อให้ผู้ชายสบายใจ และโฟกัสกับการทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ที่สุด
สาวไทยท่านใดจะแต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่น ลองพิจารณาตรงนี้นะคะว่าเรารักเขาและพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาทุกอย่างไหม พร้อมที่จะดูแลครอบครัวไหม
ส่วนหนุ่มไทยท่านใดที่แต่งงานกับสาวญี่ปุ่น คุณโชคดีมากที่จะไม่โดนโทรจิกค่ะ...เอ้ย ... แม้ว่าภรรยาญี่ปุ่นพร้อมที่จะสนับสนุนคุณทุกอย่าง แต่อย่าลืมขอบคุณเธอ และให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับเธอบ้าง เช่น พาไปเที่ยว พาไปทานอาหารดีๆ เพื่อขอบคุณความเหนื่อยยากที่เธอคอยดูแลครอบครัวระหว่างที่คุณทำงานนะคะ ☺
เรื่องแถม[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรื่องโดย : เกตุวดี www.marumura.com
www.marumura.com/talkative/?id=7345