เลือก " รอ " มิตรภาพดีๆ หรือ เลือก " คว้า " โอกาสที่ผ่านเข้ามา???

นี้เป็นกระทู้แรกนะครับที่ผมได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง

      เรื่องมันเริ่มจากผมเป็นเด็ก ต่างอำเภอ ย้ายเข้ามาเรียนในตัวเมือง (ม.ต้น) ตอนนั้นแม่ผมบ่นหนักเลยว่า "สังคมใหม่ อะไรก็ต้องเปลี่ยนตาม" ผมก็ไม่ได้อะไรมากนัก เพราะคิดว่าบ่นตามประสาคนแก่ จนมาถึงวันเปิดภาคเรียน ผมเชื่อนะว่าหลายๆคนคงคิดเหมือนผมนะ ว่า "เพื่อนเรา จะเป็นแบบไหนกัน...." ส่วนตัวผมก็คิดหนักพอสมควร เพราะว่าผมเป็นคนติดเพื่อนนิดหนึ่ง แต่แล้วอยู่ไปได้สักพัก ก็ไม่มีใครหน้าไหนโพล่มาสักคน.......
หากแต่มี นักเรียนหญิงคนหนึ่ง ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ปรึกษาปัญหาชีวิต ผมถามเธอว่า "เหนื่อยบ้างไหม??" เธอมักจะตอบทุกๆครั้งว่า สำหรับเธอเพื่อนแล้ว เธอทำได้ทุกอย่าง จนผมรู้สึกว่าเธอคนนี้ คือ "เพื่อนแท้" ทำให้เราสองคนสนิทกันมากถึงมากที่สุด ไปไหนมาไหนไปด้วยกัน กอดคอร้องไห้กันก็มี โดยแซวโดนล้อบ้าง เขินกันไปตามๆกัน เธอมักจะคอยเตือนผมไม่ให้ผมนอกลู่นอกทาง เธอมักจะปลอบใจผมตลอดเวลา
และเธอมักจะอยู่เคียงข้างผมเสมอเมื่อไม่มีใคร
ผมรู้สึกมีความสุขมาก เมื่อได้อยู่ใกล้เพื่อนคนนี้ ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว...

แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นมาทั้งๆที่เราไม่ได้ทันตั้งตัว
    จนอยู่มาได้พักใหญ่ๆ ความรู้สึกของเธอที่ผมรู้สึก คือเธอไม่ได้คิดแค่ว่าผมเป็นเพื่อน แต่ว่าคิดมากกว่านั้น เข้าให้ ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเลยไปมากกว่านั้น เพราะผมเห็นว่า "สิ่งที่แฟนไม่มีแต่เพื่อนมี คือคำว่า ตลอดไป"
วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของภาคเรียน ก่อนที่จะปิดเทอมใหญ่ไป ผมได้เข้าไปหาเธอในห้อง อยู่กันสองต่อสอง
ผม   :  คิดยังไงกับเรา?
เธอ  : ก็คิดเเบบที่คนเป็นแฟนกันคิด...
ผม   :  อะไรนะ! เธออย่างบอกนะ
เธอ  : เอ่อ! ใช่กูชอบเมิงอ่ะ จบป่ะ!!
ผม   :  เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ ยังไงซะเพื่อนก็อยู่ด้วยกันตลอดไป
เธอ  : แต่กูรู้สึกหวั่นไหวกะเมิงอ่ะ ไม่รู้ดิไม่เห็นหน้าก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
ผม   :  แต่ถ้าถามเรา ความรักเกิดจากคนสองคน...
     เธอตรงเข้ามากอดผม "กูชอบเมิง" เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า จนความอดทนของผมทะลักออกมา ผมผลักเธอออกห่างจนล้มลง พร้อมกับชี้หน้าตะคอกใส่ว่า "กูไม่ได้ชอบเมิง!! แต่เมิงคือเพื่อนกู เพื่อนที่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง เพื่อนที่กูไว้ใจได้ เพื่อนที่คอยอยู่ข้างกูเวลาไม่มีใคร สุดท้ายเมิงก็ทำลายมันลง" ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นคอที่เต็มไปด้วยน้ำตาอาบแก้ม ผมพูดออกมาจากใจตรงๆ เหตุไฉนจะไปโกหก ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เธอลุกขึ้นทันที เดินชนไหล่ผม พร้อมกับจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งให้ผมยืนหน้าชาอยู่คนเดียว ความรู้สึกตอนนั้นคือใครเป็นคนผิดกันแน่? ผมหรือเธอ??.........

จนมาถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ (ปี57)
     จากเรื่องราวทุกๆอย่างในวันนั้น ทำให้ผมพิจารณาตัวเองอย่างหนัก พยายามปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้มากที่สุด ความรู้สึกเหมือนตอนนั้นว่า "เพื่อนเรา จะเป็นแบบไหนกัน...."  แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งคำว่า "ไม่มีใคร" ต่างคนต่างเรียน ต่างคนต่างแย่งชิง ชิงดีชิงเด่นกัน ไร้ซึ่งมิตรภาพ ทำให้ผมต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด บ่อยนักที่ร้องไห้ ท้อแท้ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเหมือนครั้งเก่า บวกกับปัญหาทางครอบครัว นั้นยิ่งทำให้ผมทุกข์ใจหนัก
เดินไปไหนมาไหนก็ตัวคนเดียว นั่งเหงาคนเดียวบ้าง บางครั้งเห็นเพื่อนๆ ต่างห้อง ขี่รถพากันไปเที่ยวหรือเห็นคู่รักนั่งสนิทสนมกันอยู่ ก็แอบน้ำตาคลอเบ้านิดๆอ่ะครับ ว่าทำไมเราถึงต้องโดดเดี่ยวอย่างนี้ ถ้าถามว่ามีเพื่อนไหม ผมขอตอบไปเลยว่า "มี แต่พวกเขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่านี้คือเพื่อนแท้" มาแล้วก็หน่ายหนี  แทบจะไม่เหลือใครอีกเลย ผมอยู่ได้สักพักใหญ่ๆ แทบจะไม่มีความสุขเลย เช่นเหตุการณ์ครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืมไปจนตาย!!
  "หลังจากเสร็จกิจกรรมโรงเรียน ผมเดินไปเพื่อไปเอาสิ่งของสำภาระ เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน
ผมรีบวิ่งด้วยความเร่งรีบ จนไปชนกับ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินลงบันได จนข้าวของกระจัดกระจาย เธอคนนั้นก็คือเพื่อน(สนิท)ผมเอง ผมจึงรีบเข้าไปช่วยเก็บของๆเธอ แต่เธอกลับมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกรียจ เเล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า "อย่ามาให้ความหวังกูอีก!!" และแล้วก็มีรุ่นพี่ชายคนหนึ่งวิ่งลงมาเหมือนกัน เขาถามว่านี้ใคร เธอก็ตอบไปว่า "แค่คนรู้จัก!!" นั้นทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ไม่เชื่อในสิ่งที่หูได้ยิน ผมทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือ? เหตุไฉนถึงได้ตัดความเยื่อใยของผมทิ้งไป? เหลือไว้เพียงคำว่ารังเกียจ?  เกิดคำถามมากมายวิ่งอยู่ในหัว"
วัฏจักรชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือ ไม่มีเพื่อน นั่งเหงา กลับบ้าน ตัวคนเดียว ร้องไห้ แล้วก็นอน.... สิ่งเดิมๆยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิต ผมเคยคิดนะว่า ถ้าผมหายไป คงจะมีใครเห็นคุณค่าของผมหรือเปล่า?? ทั้งๆที่ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้าถามว่ามีครอบครัวไหม ผมขอตอบว่า "มี หากแต่พวกเขาไม่เคยคิด จะถามความเป็นอยู่ของเราเลย ได้แต่ตั้งเป้าหมายให้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่พวกเขาไม่นึกถึงความรู้สึกของบุตรเลย ร้องไห้ก็หาว่าไม่เข้มแข็ง ท้อแท้ก็หาว่าไม่สู้คน ตัวคนเดียวก็หาว่าไม่มีเพื่อนคบ จะหันไปทางไหนก็ไม่เหลือใครเลย จากชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ทุกอย่างกลับเป็นศูนย์ จนเวลาผ่านไปประมาณ1 ปีกว่า ผมสงสัยว่าผม ผ่านมันมาได้อย่างไร ทนกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เรื่องบางเรื่องเด็กวัยอย่างผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และแล้วมันจบลง เหลือเพียง1ปีสุดท้ายที่ต้องอยู่กับมัน(เรื่องราวต่างๆ) ผมตั้งความหวังอย่างมาก ว่า ขอให้ได้เจอคนจริงใจสักคนยังดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกเวลา แต่ขอให้เคียงคู่กันตลอดไป........

จนมาถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ (ปี58)
      มาโรงเรียนในวันแรกสำหรับผม เต็มไปด้วยความเศร้าหมองครับ อันด้วยเรื่องราวในครั้งก่อนๆมากระทบประสานกันเป็นก้อนแข็งๆฝังในใจ
ผมคิดว่าชีวิตนี้คงจะไม่ได้เจอเพื่อนแล้ว สิ่งเดิมๆก็ยังคงวนเวียนของมันอยู่ ผ่านมา2อาทิตย์แล้ว ก็ยังไม่เห็นวี้แววใครสักคน ถ้าถามว่า เคยเข้าหาเขาไหม?
ผมขอตอบว่า เคย แล้วก็บ่อยด้วย แต่ด้วยนิสัย บุคคลิกของผมกับเขาคนละขั้วกัน  เป็นเพราะผมเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก แต่เอาความจริงเป็นหลัก ต่างจากพวกชอบสร้างโลกส่วนตัวหรือรักสันโดษ (ส่วนใหญ่)  จึงไม่ได้สนิทกับคนเหล่านี้จริงจังนัก ทุกวันนี้ก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดครับ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วด้วย ที่กำลังจะเลือกทางเดินชีวิต(ม.4) จะให้รอมิตรภาพดีๆเพื่อเป็นกำลังใจหรือว่าเลือกโอกาสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ผมเองก็ยังลังเลพอสมควร อย่างน้อยก็ไม่ได้มีเพียงผมคนเดียว ยังมีคนอีกเป็นร้อยคน พันคน ที่เป็นแบบนี้อยู่ ที่สำคัญที่สุดผมไม่รู้ว่าผมไม่ดียังไงถึงไม่มีคนคบ ทั้งๆที่ผมก็ยึดความถูกต้องในความจริงเป็นหลัก
สุดท้ายอยากขอแค่ ให้ปีนี้มีแต่ความสุขในชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่มันจะผ่านไป โดยไม่มีวันหวนคืนมาอีกเลย........
อมยิ้ม08อมยิ้ม08อมยิ้ม08อมยิ้ม08อมยิ้ม08

ป.ล.ขอบคุณสำหรับทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน ยาวไปหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้เป็นเลือกจริงที่ผมต้องเผชิญกับมันมา
ผมทั้งนั่งพิมพ์ทั้งร้องไห้เป็นสิบกว่ารอบแล้ว ที่สำคัญที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะครับที่เป็นห่วงเป็นใยกัน ขอบคุณจริงๆครับ
พาพันขอบคุณพาพันขอบคุณพาพันขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่