ขออนุญาตแนะนำตัวนะคะ ดิฉันชื่อ แพรว ณัฏฐณิชชา ปารมีสิริกุลธร ปัจจุบันอายุ 42 ปี หลายคนอาจจะรู้จักแพรวในฐานะนักธุรกิจ กูรูด้านความงาม หรืออาจจะรู้จักจากรายการตีสิบในฐานะเจ้าแม่จอมสุดโต่ง หรืออะไรก็ตาม แต่วันนี้ที่อยากจะมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านคือประสบการณ์ส่วนตัว ในการลดน้ำหนักและเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวมถึงผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
อันนี้เป็นกระทู้แรกของแพรวในพันทิป ที่ต้องมาเล่าในนี้ก็สืบเนื่องจากแพรวได้มีโอกาสออกรายการตีสิบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เดิมทีตั้งใจว่าจะไปพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นหลัก เพราะแพรวเองมีประสบการณ์ตรงแต่ทางรายการเขาค่อนข้างสนใจอยากโฟกัสไปในเรื่อง “ความเยอะ/ความสุดโต่ง” ซะมากกว่า สงสัยเขาคงเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก เช่นเรื่องต้องมีคนอาบน้ำให้ บ้าสะสมกระเป๋า หรือ เรื่องบ้าความสะอาดชนิดที่จะต้องลวกผลไม้ก่อนทาน หรือแม้แต่เรื่องยอมให้มีเส้นผมหล่นในบ้านไม่ได้ จนผู้ชมหลายๆคนที่ดูรายการวันนั้นก็คงงงว่า สรุปยัยผู้หญิงคนนี้เธอไปเพ้อเรื่องอะไรในรายการ และอะไรคือสาระของรายการวันนั้นกันแน่ บางคนก็ไปคอมเม้นต์ด่าเสียๆหายๆในเพจรายการ แพรวอ่าน feedback แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ เลยคิดว่า เพื่อให้ตรงกับจุดมุ่งหมายแรกของแพรวจริงๆที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ ก็น่าจะดีซะกว่าถ้ามาเล่าเองซะเลย
[เทปรายการในวันนั้น]
ในอดีตแพรวเป็นคนนึงที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักมาโดยตลอด เพราะเป็นคนที่โครงร่างใหญ่ ประกอบกับไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะต้องทำงานตลอด และที่สำคัญคือ แพรวเป็นคนที่ชอบทานของหวาน และของมันๆมากๆ โดยอาหารโปรดของแพรวก็คือ “ข้าวขาหมู” ที่เรารู้กันดีว่าไขมันเยอะขนาดไหน แต่เพราะความอร่อยของมันนั่นละที่ทำให้ใครหลายๆคน รวมถึงแพรวก็ชอบกินบ่อยๆ อย่างน้อยๆ อาทิตย์นึงต้อง 2-3 มื้อแน่ๆ และกินขาหมูคาวๆเสร็จปุ๊บ ตามนิสัยคนไทยเราก็ต้องตบท้ายด้วยของล้างปาก ถ้าไม่ขนมหวาน ก็ต้องเป็นชานมเย็นๆ อ้วนกันเข้าไป แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอยากสวยอะไร แถมเรายังทำงานเปิดร้านอาหาร เราคุมครัวเอง ก็คิดไปว่ามันก็ต้องอ้วนกันเป็นธรรมดา
แต่จุดพลิกผันของแพรว ที่ทำให้แพรวต้องหันกลับมาดูแลตัวเองนั้นเป็นเรื่องธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก หรืออกหักรักคุดเหมือนคนอื่นๆเขา แต่เกิดจากเมื่อสิบปีที่แล้วแพรวทำธุรกิจความงาม นวดไทย นวดตัว นวดหน้า ตอนนั้นทำเป็นร้านเล็กๆย่านชานเมือง ทำไปทำมาคนเริ่มติด ลูกค้าเยอะ เลยต้องขยายเป็นร้านใหญ่ พอขยายปุ๊บเราก็ต้องมีคอร์ส มีอะไรสารพัดเพื่อดึงให้ลูกค้าเขามาใช้บริการเรื่องความงามกับเรา ทีนี้ลุ๊คแบบป้าอ้วนๆเป็นคนคุมครัวชักไม่ได้การแล้วสิ ตอนนั้นเพื่อนที่เค้าเห็นสารรูปเราเขายังหัวเราะเลยว่าเราท่าจะไปไม่รอด เขายังเคยพูดทำนองว่า “หุ่นยังกะช้างน้ำ หนักเกือบร้อยกิโล แต่ดันมาขายคอร์สกระชับผิว” (ตอนนั้นแพรวหนัก 96 กิโล)
[ลองดูหุ่นกะผิวพรรณของเจ้าของสปาสิคะ 5555++]
และสิ่งที่มาคู่กับความอ้วนเลยก็คือ “หน้าแก่” อันนี้เรื่องจริงมากๆ ลองสังเกตได้เลยว่า เวลาเราอ้วนๆเนี่ย หน้าเราจะไปก่อนอายุจริงเสมอๆ แพรวเจอปัญหานี้หนักมาก ยิ่งแพรวไม่เคยดูแลตัวเองเพราะมัวอยู่แต่ในครัวผิวหยาบกร้าน ก็ยิ่งไปกันใหญ่ สมัยก่อนแพรวไปไหนมาไหนกับแม่ คนนึกว่าเป็นพี่น้อง ไม่ก็เป็นเพื่อนรุ่นไล่ๆกัน หลายครั้งเสียเซลฟ์มาก บอกเลย เพราะเรากับแม่ก็ห่างกันเป็นสิบๆปี เจอใครทักแบบนี้บ่อยๆเข้าเราก็เป๋ แต่หลังจากลดน้ำหนักแล้ว เห็นได้ชัดว่าเราดูอายุน้อยลง(แต่อายุจริงก็ยังเดินหน้านะคะ) ( -_-“) เพราะใบหน้าเราจะเข้ารูปขึ้น กระชับได้สัดส่วน
[ลองสังเกตรูปหน้านะคะ ซ้ายมือคือตอนอายุ 35 ขวามือคืออายุ 42 ]
และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้แพรวคิดว่าต้องลดน้ำหนักเดี๋ยวนั้น ก็เพราะปัญหาด้านสุขภาพ แพรวเป็นโรคความดันต่ำ และเป็นหนักชนิดที่ว่าเดินๆอยู่ถ้าก้มมองอะไรก็สามารถวูบลงไปได้เลย ก้มไปใส่รองเท้า หรือก้มลงไปอาบน้ำล้างเท้า ก็ล้มลงไปตรงนั้นได้ไม่ยาก และเคยล้มในห้องน้ำด้วย จนหมอบอกว่าคุณต้องลดน้ำหนักเลยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณมีสิทธิ์เป็นอัมพาตเพราะหัวฟาดพื้นได้
มาถึงตรงนี้ไม่ลดก็ไม่ได้แล้ว “ของชั้นก็ต้องขาย และชั้นก็ยังไม่อยากตาย” แพรวบอกตัวเองแบบนี้เลยจริงๆ
จากนั้นมาก็เอาเลย แพรวใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะลด ยอมรับว่าค่อนข้างหักดิบมาก ตอนนั้นหยุดทุกอย่างทั้งของหวาน และน้ำหวานทุกชนิด แพรวไม่แตะเลย ลดข้าวลงครึ่งหนึ่ง และหันไปกินข้าวกล้องหอมนิลแทน หยุดกินของมันๆแทบทุกอย่าง กับข้าวตอนนั้นก็เป็นน้ำพริกปลาทู และผักลวกเยอะๆ แต่ก็ยังทานสามมื้ออยู่เป็นปกติ ส่วนเมนูโปรดของแพรวคือ ข้าวขาหมู ยอมให้ได้แค่อาทิตย์ละครั้ง แต่ครึ่งจานและไม่ทานหนังเลย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อาหารทุกมื้อต้องจบที่ 4 โมงเย็นเท่านั้น!
และจะไม่มีการทานอาหารหลังจากนั้น ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น!!!
อันนี้เป็นกฎที่แพรวเคร่งครัดมาก
ถ้าหิวมากก็ยอมได้แค่ผลไม้ เช่น ฝรั่ง หรือ สัปปะรด เท่านั้น ผลไม้อื่นๆแพรวงดหมด กลางคืนก็ทานได้แค่น้ำเปล่า มีหลายช่วงที่แทบจะตะบะแตก แต่ก็ต้องห้ามใจ และบอกให้คนข้างๆเราช่วยให้กำลังใจเรา และที่สำคัญคือให้เค้าช่วยย้ำเป้าหมายเราเสมอว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่นะ
หลายคนลดน้ำหนักไม่สำเร็จก็เพราะคนรอบข้างเรานี่แหละ ตัวดีเลย
ชอบมายุเราว่า “ไม่เป็นไรหรอก” / “ทานหน่อยน่า” / “นิดเดียวไม่อ้วนหรอก”
คำพูดแบบนี้แหละที่ทำให้เราเผลอใจ หลุดจากแผนลดน้ำหนักเราได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ แพรวออกกำลังกายด้วยการตีแบต และเดินลู่วิ่งบ้าง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง (อยากจะออกมากกว่านี้ แต่แพรวไม่ค่อยมีเวลา เรามันคนทำงาน) รวมถึงกินวิตามินรวม+เกลือแร่(ไม่ให้เพลีย) และอาหารเสริมด้วย(เพื่อนที่เป็น R&D เค้าจัดมาให้ พวก L-Carnitine/Q10 ฯลฯ) แต่เรื่องอาหารเสริมนี่สำคัญแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักนะคะ ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายเฉยๆ แต่ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย อาหารเสริมไหนๆก็ช่วยคุณไม่ได้หรอกค่ะ โลกนี้ไม่มีการผอมทางลัด แพรวเนี่ยกล้ายืนยัน อย่างน้อยๆก็ต้องเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง จะแอโรบิค จะวิ่ง หรือจะแกว่งแขนแกว่งขาบ้างเล็กๆน้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำเลยนะคะ
[ลดมาได้ไม่กี่กิโล รูปหน้าเริ่มกระชับนิดนึง]
สิ่งนึงที่เป็นเคล็ดลับเลยก็คือว่า การลดน้ำหนัก หรือ เรื่องความงามอื่นใดนั้น เป็นเรื่องของ “วินัย” คือ ต้องทำซ้ำๆ ต้องอยู่ในกรอบ ต้องควบคุมตัวเอง บังคับตัวเองให้ได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย
ตลอดสองเดือนกว่าๆที่แพรวโหมออกกำลังกายและคุมอาหารนั้น บอกเลยว่าเหนื่อยมาก หลายครั้งท้อ แต่ต้องกัดฟันทน เพื่องานและเพื่อสุขภาพจริงๆ และผลลัพท์ที่ต้องลำบากลำบนฝ่าฟันมาก็คือ...แพรวลดน้ำหนักลงไป 28 กิโลกรัม จาก 96 เหลือเพียงแค่ 68 เท่านั้น นิ่งอยู่ที่ตรงนั้นอยู่นาน จนผ่านมาเรื่อยๆก็ค่อยๆลงทีละนิดๆ ค่อยๆลดแบบไม่เร่งรีบแล้ว ไม่ Cheat day บ่อยขึ้นเพื่อให้รางวัลตัวเอง แต่กฏห้ามกินหลัง 4 โมงเย็นก็ยังมีอยู่ จนต่อมา น้ำหนักแพรวจึงมาหยุดนิ่งอยู่ที่ 47 กิโลเท่านั้น ลดลงไปทั้งสิ้น 49 กิโล ถ้วน!!!
จากนั้นพอน้ำหนักเราอยู่ตัว แพรวก็เริ่มมาจัดการผิวที่หยาบกร้านของตัวเอง พูดเลยว่าทำทุกอย่าง ทั้งสครับขัดผิว ทรีทเม้นต์ ทั้งครีม ทาทุกวัน เช้าเย็นไม่เคยขาด เพราะเรารู้ดีว่าของแบบนี้ถ้าใช้เป็นช่วงๆแล้วหยุดใช้ มันก็กลับมาเหมือนเดิม ผิวคนนะคะ พ่อแม่ให้มา
ไม่มีครีมวิเศษชนิดไหนที่ทาปุ๊บเด้งไปทั้งชาติ ถ้าใครบอกคุณว่าครีมหลอดเดียวเปลี่ยนผิวให้เด้งได้ตลอดกาล อย่าไปเชื่อค่ะ มันไม่มีจริง ถามว่าสีผิวเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนได้ค่ะ แต่ต้องดูแลอยู่ตลอด ไม่ดูแลก็พัง กลับไปเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แพรวอาจจะพูดขวานผ่าซากหรือพูดแรงไปหน่อย แต่เรื่องอันนี้คือเรื่องจริง ฉะนั้นใครก็ตามถ้าคิดจะบำรุงด้วยวิธีนี้ จำไว้เลยว่า เราต้องทำไปตลอด อย่าหยุด คุณจะทาครีมอะไรก็ทาไป แต่ถ้าคิดจะทาแล้ว ก็ต้องทาไปให้ตลอด หยุดเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิมอยู่ดี
....และนี่คือผลลัพท์ของสิ่งที่แพรวทุ่มเท....
[นี่คือภาพตอนแพรวน้ำหนัก 47 กิโลกรัม]
แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มมีคนทักว่าผอมไป รวมถึงเจอซินแสท่านหนึ่งที่เป็นหมอดูชื่อดังมากๆของไทย เขาก็ทักแพรวว่าทำไมปล่อยให้ผอมแบบนี้ ดวงเธอนะจะดีเธอต้องมีน้ำมีเนื้อ ถ้าผอมไปชีวิตจะไม่ราบรื่น ไปกินให้อวบๆหน่อยไป๊ เค้าไล่เราไปกิน เราก็เชื่อของแบบนี้ (ซินแสท่านนี้ดังมาก เป็นซินแสประจำตัวเจ้าสัวดังๆในเมืองไทย) ยิ่งตอนนั้นช่วงที่ลดน้ำหนักจนผอมก็มีแต่เรื่องวุ่นๆในชีวิต จนแล้วจนรอดก็เลยทานเพิ่ม จนน้ำหนักมาหยุดที่ 52 กิโลกรัมในปัจจุบัน
[รูปปัจจุบัน]
ผลลัพท์ที่แพรวได้จากการเปลี่ยนตัวเอง
ทุกวันนี้ชีวิตเปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนในหลายเรื่องมากๆ
ข้อแรกเลยคือ ความมั่นใจ เวลาพรีเซ้นต์นำเสนอ ขายของ หรือทำอะไร เรามั่นใจมากกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เรากล้าออกทีวี เรากล้าพูดเรื่องความงาม ทั้งที่สมัยก่อนตอนทำธุรกิจแรกๆไม่กล้าบอกใครเลยด้วยซ้ำว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ กลัวคนเขาจะหัวเราะเยาะเรา เพราะลุ๊คเราไม่ให้ แต่ทุกวันนี้พูดได้เต็มปาก และก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีกิจการหลายสาขา มีสินทรัพย์มากพอสมควร จนเริ่มเป็นผู้ให้กลับคืนสังคมได้บ้างแล้ว ถ้าโอกาสเหมาะสมคงได้มาแชร์ประสบการณ์อีกเช่นเคย
ข้อที่สองคือ เสื้อผ้าหาง่ายมากกกกก แต่ก่อนนี่แพรวลำบากทุกที เพราะต้องวิ่งไปหาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ เดี๋ยวนี้เจอตรงไหนสวยก็ซื้อได้เลย และคำถามที่มักจะเคยเจอบ่อยๆในอดีตก็คือ “เสื้อผ้าไซส์นี้ไปซื้อที่ไหนมา?” คำถามแบบนี้แม้เจ้าตัวเขาจะอยากรู้จริงๆ แต่มันทำร้ายจิตใจคนหุ่นแบบเรามากนะคะ ใครไม่เคยอ้วนไม่เข้าใจหรอก
ข้อที่สามคือ สุขภาพ อันนี้ถือว่าสำคัญที่สุดแล้วมั๊ง เพราะเงินทองมากมายแค่ไหน ก็เอาสุขภาพเราคืนมาไม่ได้ อาการความดันต่ำและวูบบ่อยๆที่แพรวเคยเป็นบ่อยๆ หายไปเยอะมาก ไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องหาหมอบ่อยๆ จะเดินจะยืนนานๆ ก็ไม่เมื่อยขา ไม่ปวดเข่าง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ยังไงก็อยากเป็นกำลังใจทุกๆคน ที่กำลังลดน้ำหนัก หรือลุกขึ้นมาดูแลตัวเองนะคะ ขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง และมี “วินัย” ในตัวเองให้มากๆ อดทนหน่อยค่ะ No Pain No Gain นะคะ แพรวเชื่อว่าทุกคนทำได้ เพราะขนาดตัวแพรวเองเคยหนักเกือบร้อยกิโล ยังทำได้เลย คนอื่นๆที่หนักน้อยกว่านี้ก็คงทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ ของแบบนี้ต้องใช้ใจล้วนๆ ลองตั้งใจดูสักครั้ง แล้วเชื่อเหอะว่า ผลลัพท์ที่คุณได้มาจากความพยายาม มันจะตอบแทนให้คุณอย่างคุ้มค่าในที่สุด...
ปล. เรื่องศัลยกรรม แพรวทำแค่จมูก นอกนั้นไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม หลักๆคือ ดูแลเรื่องน้ำหนักตัว ผิวพรรณ และปรับการแต่งกาย แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ
แชร์ประสบการณ์เปลี่ยนตัวเอง : ในอดีต ฉัน คือ "ยัยป้าช้างน้ำ" หนัก 100 กิโล!!!
อันนี้เป็นกระทู้แรกของแพรวในพันทิป ที่ต้องมาเล่าในนี้ก็สืบเนื่องจากแพรวได้มีโอกาสออกรายการตีสิบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เดิมทีตั้งใจว่าจะไปพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นหลัก เพราะแพรวเองมีประสบการณ์ตรงแต่ทางรายการเขาค่อนข้างสนใจอยากโฟกัสไปในเรื่อง “ความเยอะ/ความสุดโต่ง” ซะมากกว่า สงสัยเขาคงเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก เช่นเรื่องต้องมีคนอาบน้ำให้ บ้าสะสมกระเป๋า หรือ เรื่องบ้าความสะอาดชนิดที่จะต้องลวกผลไม้ก่อนทาน หรือแม้แต่เรื่องยอมให้มีเส้นผมหล่นในบ้านไม่ได้ จนผู้ชมหลายๆคนที่ดูรายการวันนั้นก็คงงงว่า สรุปยัยผู้หญิงคนนี้เธอไปเพ้อเรื่องอะไรในรายการ และอะไรคือสาระของรายการวันนั้นกันแน่ บางคนก็ไปคอมเม้นต์ด่าเสียๆหายๆในเพจรายการ แพรวอ่าน feedback แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ เลยคิดว่า เพื่อให้ตรงกับจุดมุ่งหมายแรกของแพรวจริงๆที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ ก็น่าจะดีซะกว่าถ้ามาเล่าเองซะเลย
ในอดีตแพรวเป็นคนนึงที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักมาโดยตลอด เพราะเป็นคนที่โครงร่างใหญ่ ประกอบกับไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะต้องทำงานตลอด และที่สำคัญคือ แพรวเป็นคนที่ชอบทานของหวาน และของมันๆมากๆ โดยอาหารโปรดของแพรวก็คือ “ข้าวขาหมู” ที่เรารู้กันดีว่าไขมันเยอะขนาดไหน แต่เพราะความอร่อยของมันนั่นละที่ทำให้ใครหลายๆคน รวมถึงแพรวก็ชอบกินบ่อยๆ อย่างน้อยๆ อาทิตย์นึงต้อง 2-3 มื้อแน่ๆ และกินขาหมูคาวๆเสร็จปุ๊บ ตามนิสัยคนไทยเราก็ต้องตบท้ายด้วยของล้างปาก ถ้าไม่ขนมหวาน ก็ต้องเป็นชานมเย็นๆ อ้วนกันเข้าไป แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอยากสวยอะไร แถมเรายังทำงานเปิดร้านอาหาร เราคุมครัวเอง ก็คิดไปว่ามันก็ต้องอ้วนกันเป็นธรรมดา
แต่จุดพลิกผันของแพรว ที่ทำให้แพรวต้องหันกลับมาดูแลตัวเองนั้นเป็นเรื่องธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก หรืออกหักรักคุดเหมือนคนอื่นๆเขา แต่เกิดจากเมื่อสิบปีที่แล้วแพรวทำธุรกิจความงาม นวดไทย นวดตัว นวดหน้า ตอนนั้นทำเป็นร้านเล็กๆย่านชานเมือง ทำไปทำมาคนเริ่มติด ลูกค้าเยอะ เลยต้องขยายเป็นร้านใหญ่ พอขยายปุ๊บเราก็ต้องมีคอร์ส มีอะไรสารพัดเพื่อดึงให้ลูกค้าเขามาใช้บริการเรื่องความงามกับเรา ทีนี้ลุ๊คแบบป้าอ้วนๆเป็นคนคุมครัวชักไม่ได้การแล้วสิ ตอนนั้นเพื่อนที่เค้าเห็นสารรูปเราเขายังหัวเราะเลยว่าเราท่าจะไปไม่รอด เขายังเคยพูดทำนองว่า “หุ่นยังกะช้างน้ำ หนักเกือบร้อยกิโล แต่ดันมาขายคอร์สกระชับผิว” (ตอนนั้นแพรวหนัก 96 กิโล)
และสิ่งที่มาคู่กับความอ้วนเลยก็คือ “หน้าแก่” อันนี้เรื่องจริงมากๆ ลองสังเกตได้เลยว่า เวลาเราอ้วนๆเนี่ย หน้าเราจะไปก่อนอายุจริงเสมอๆ แพรวเจอปัญหานี้หนักมาก ยิ่งแพรวไม่เคยดูแลตัวเองเพราะมัวอยู่แต่ในครัวผิวหยาบกร้าน ก็ยิ่งไปกันใหญ่ สมัยก่อนแพรวไปไหนมาไหนกับแม่ คนนึกว่าเป็นพี่น้อง ไม่ก็เป็นเพื่อนรุ่นไล่ๆกัน หลายครั้งเสียเซลฟ์มาก บอกเลย เพราะเรากับแม่ก็ห่างกันเป็นสิบๆปี เจอใครทักแบบนี้บ่อยๆเข้าเราก็เป๋ แต่หลังจากลดน้ำหนักแล้ว เห็นได้ชัดว่าเราดูอายุน้อยลง(แต่อายุจริงก็ยังเดินหน้านะคะ) ( -_-“) เพราะใบหน้าเราจะเข้ารูปขึ้น กระชับได้สัดส่วน
และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้แพรวคิดว่าต้องลดน้ำหนักเดี๋ยวนั้น ก็เพราะปัญหาด้านสุขภาพ แพรวเป็นโรคความดันต่ำ และเป็นหนักชนิดที่ว่าเดินๆอยู่ถ้าก้มมองอะไรก็สามารถวูบลงไปได้เลย ก้มไปใส่รองเท้า หรือก้มลงไปอาบน้ำล้างเท้า ก็ล้มลงไปตรงนั้นได้ไม่ยาก และเคยล้มในห้องน้ำด้วย จนหมอบอกว่าคุณต้องลดน้ำหนักเลยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณมีสิทธิ์เป็นอัมพาตเพราะหัวฟาดพื้นได้
มาถึงตรงนี้ไม่ลดก็ไม่ได้แล้ว “ของชั้นก็ต้องขาย และชั้นก็ยังไม่อยากตาย” แพรวบอกตัวเองแบบนี้เลยจริงๆ
จากนั้นมาก็เอาเลย แพรวใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะลด ยอมรับว่าค่อนข้างหักดิบมาก ตอนนั้นหยุดทุกอย่างทั้งของหวาน และน้ำหวานทุกชนิด แพรวไม่แตะเลย ลดข้าวลงครึ่งหนึ่ง และหันไปกินข้าวกล้องหอมนิลแทน หยุดกินของมันๆแทบทุกอย่าง กับข้าวตอนนั้นก็เป็นน้ำพริกปลาทู และผักลวกเยอะๆ แต่ก็ยังทานสามมื้ออยู่เป็นปกติ ส่วนเมนูโปรดของแพรวคือ ข้าวขาหมู ยอมให้ได้แค่อาทิตย์ละครั้ง แต่ครึ่งจานและไม่ทานหนังเลย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อาหารทุกมื้อต้องจบที่ 4 โมงเย็นเท่านั้น!
และจะไม่มีการทานอาหารหลังจากนั้น ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น!!!
อันนี้เป็นกฎที่แพรวเคร่งครัดมาก
ถ้าหิวมากก็ยอมได้แค่ผลไม้ เช่น ฝรั่ง หรือ สัปปะรด เท่านั้น ผลไม้อื่นๆแพรวงดหมด กลางคืนก็ทานได้แค่น้ำเปล่า มีหลายช่วงที่แทบจะตะบะแตก แต่ก็ต้องห้ามใจ และบอกให้คนข้างๆเราช่วยให้กำลังใจเรา และที่สำคัญคือให้เค้าช่วยย้ำเป้าหมายเราเสมอว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่นะ
หลายคนลดน้ำหนักไม่สำเร็จก็เพราะคนรอบข้างเรานี่แหละ ตัวดีเลย
ชอบมายุเราว่า “ไม่เป็นไรหรอก” / “ทานหน่อยน่า” / “นิดเดียวไม่อ้วนหรอก”
คำพูดแบบนี้แหละที่ทำให้เราเผลอใจ หลุดจากแผนลดน้ำหนักเราได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ แพรวออกกำลังกายด้วยการตีแบต และเดินลู่วิ่งบ้าง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง (อยากจะออกมากกว่านี้ แต่แพรวไม่ค่อยมีเวลา เรามันคนทำงาน) รวมถึงกินวิตามินรวม+เกลือแร่(ไม่ให้เพลีย) และอาหารเสริมด้วย(เพื่อนที่เป็น R&D เค้าจัดมาให้ พวก L-Carnitine/Q10 ฯลฯ) แต่เรื่องอาหารเสริมนี่สำคัญแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักนะคะ ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายเฉยๆ แต่ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย อาหารเสริมไหนๆก็ช่วยคุณไม่ได้หรอกค่ะ โลกนี้ไม่มีการผอมทางลัด แพรวเนี่ยกล้ายืนยัน อย่างน้อยๆก็ต้องเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง จะแอโรบิค จะวิ่ง หรือจะแกว่งแขนแกว่งขาบ้างเล็กๆน้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำเลยนะคะ
สิ่งนึงที่เป็นเคล็ดลับเลยก็คือว่า การลดน้ำหนัก หรือ เรื่องความงามอื่นใดนั้น เป็นเรื่องของ “วินัย” คือ ต้องทำซ้ำๆ ต้องอยู่ในกรอบ ต้องควบคุมตัวเอง บังคับตัวเองให้ได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย
ตลอดสองเดือนกว่าๆที่แพรวโหมออกกำลังกายและคุมอาหารนั้น บอกเลยว่าเหนื่อยมาก หลายครั้งท้อ แต่ต้องกัดฟันทน เพื่องานและเพื่อสุขภาพจริงๆ และผลลัพท์ที่ต้องลำบากลำบนฝ่าฟันมาก็คือ...แพรวลดน้ำหนักลงไป 28 กิโลกรัม จาก 96 เหลือเพียงแค่ 68 เท่านั้น นิ่งอยู่ที่ตรงนั้นอยู่นาน จนผ่านมาเรื่อยๆก็ค่อยๆลงทีละนิดๆ ค่อยๆลดแบบไม่เร่งรีบแล้ว ไม่ Cheat day บ่อยขึ้นเพื่อให้รางวัลตัวเอง แต่กฏห้ามกินหลัง 4 โมงเย็นก็ยังมีอยู่ จนต่อมา น้ำหนักแพรวจึงมาหยุดนิ่งอยู่ที่ 47 กิโลเท่านั้น ลดลงไปทั้งสิ้น 49 กิโล ถ้วน!!!
จากนั้นพอน้ำหนักเราอยู่ตัว แพรวก็เริ่มมาจัดการผิวที่หยาบกร้านของตัวเอง พูดเลยว่าทำทุกอย่าง ทั้งสครับขัดผิว ทรีทเม้นต์ ทั้งครีม ทาทุกวัน เช้าเย็นไม่เคยขาด เพราะเรารู้ดีว่าของแบบนี้ถ้าใช้เป็นช่วงๆแล้วหยุดใช้ มันก็กลับมาเหมือนเดิม ผิวคนนะคะ พ่อแม่ให้มา ไม่มีครีมวิเศษชนิดไหนที่ทาปุ๊บเด้งไปทั้งชาติ ถ้าใครบอกคุณว่าครีมหลอดเดียวเปลี่ยนผิวให้เด้งได้ตลอดกาล อย่าไปเชื่อค่ะ มันไม่มีจริง ถามว่าสีผิวเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนได้ค่ะ แต่ต้องดูแลอยู่ตลอด ไม่ดูแลก็พัง กลับไปเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แพรวอาจจะพูดขวานผ่าซากหรือพูดแรงไปหน่อย แต่เรื่องอันนี้คือเรื่องจริง ฉะนั้นใครก็ตามถ้าคิดจะบำรุงด้วยวิธีนี้ จำไว้เลยว่า เราต้องทำไปตลอด อย่าหยุด คุณจะทาครีมอะไรก็ทาไป แต่ถ้าคิดจะทาแล้ว ก็ต้องทาไปให้ตลอด หยุดเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิมอยู่ดี
แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มมีคนทักว่าผอมไป รวมถึงเจอซินแสท่านหนึ่งที่เป็นหมอดูชื่อดังมากๆของไทย เขาก็ทักแพรวว่าทำไมปล่อยให้ผอมแบบนี้ ดวงเธอนะจะดีเธอต้องมีน้ำมีเนื้อ ถ้าผอมไปชีวิตจะไม่ราบรื่น ไปกินให้อวบๆหน่อยไป๊ เค้าไล่เราไปกิน เราก็เชื่อของแบบนี้ (ซินแสท่านนี้ดังมาก เป็นซินแสประจำตัวเจ้าสัวดังๆในเมืองไทย) ยิ่งตอนนั้นช่วงที่ลดน้ำหนักจนผอมก็มีแต่เรื่องวุ่นๆในชีวิต จนแล้วจนรอดก็เลยทานเพิ่ม จนน้ำหนักมาหยุดที่ 52 กิโลกรัมในปัจจุบัน
ผลลัพท์ที่แพรวได้จากการเปลี่ยนตัวเอง
ทุกวันนี้ชีวิตเปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนในหลายเรื่องมากๆ
ข้อแรกเลยคือ ความมั่นใจ เวลาพรีเซ้นต์นำเสนอ ขายของ หรือทำอะไร เรามั่นใจมากกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เรากล้าออกทีวี เรากล้าพูดเรื่องความงาม ทั้งที่สมัยก่อนตอนทำธุรกิจแรกๆไม่กล้าบอกใครเลยด้วยซ้ำว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ กลัวคนเขาจะหัวเราะเยาะเรา เพราะลุ๊คเราไม่ให้ แต่ทุกวันนี้พูดได้เต็มปาก และก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีกิจการหลายสาขา มีสินทรัพย์มากพอสมควร จนเริ่มเป็นผู้ให้กลับคืนสังคมได้บ้างแล้ว ถ้าโอกาสเหมาะสมคงได้มาแชร์ประสบการณ์อีกเช่นเคย
ข้อที่สองคือ เสื้อผ้าหาง่ายมากกกกก แต่ก่อนนี่แพรวลำบากทุกที เพราะต้องวิ่งไปหาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ เดี๋ยวนี้เจอตรงไหนสวยก็ซื้อได้เลย และคำถามที่มักจะเคยเจอบ่อยๆในอดีตก็คือ “เสื้อผ้าไซส์นี้ไปซื้อที่ไหนมา?” คำถามแบบนี้แม้เจ้าตัวเขาจะอยากรู้จริงๆ แต่มันทำร้ายจิตใจคนหุ่นแบบเรามากนะคะ ใครไม่เคยอ้วนไม่เข้าใจหรอก
ข้อที่สามคือ สุขภาพ อันนี้ถือว่าสำคัญที่สุดแล้วมั๊ง เพราะเงินทองมากมายแค่ไหน ก็เอาสุขภาพเราคืนมาไม่ได้ อาการความดันต่ำและวูบบ่อยๆที่แพรวเคยเป็นบ่อยๆ หายไปเยอะมาก ไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องหาหมอบ่อยๆ จะเดินจะยืนนานๆ ก็ไม่เมื่อยขา ไม่ปวดเข่าง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ยังไงก็อยากเป็นกำลังใจทุกๆคน ที่กำลังลดน้ำหนัก หรือลุกขึ้นมาดูแลตัวเองนะคะ ขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง และมี “วินัย” ในตัวเองให้มากๆ อดทนหน่อยค่ะ No Pain No Gain นะคะ แพรวเชื่อว่าทุกคนทำได้ เพราะขนาดตัวแพรวเองเคยหนักเกือบร้อยกิโล ยังทำได้เลย คนอื่นๆที่หนักน้อยกว่านี้ก็คงทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ ของแบบนี้ต้องใช้ใจล้วนๆ ลองตั้งใจดูสักครั้ง แล้วเชื่อเหอะว่า ผลลัพท์ที่คุณได้มาจากความพยายาม มันจะตอบแทนให้คุณอย่างคุ้มค่าในที่สุด...
ปล. เรื่องศัลยกรรม แพรวทำแค่จมูก นอกนั้นไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม หลักๆคือ ดูแลเรื่องน้ำหนักตัว ผิวพรรณ และปรับการแต่งกาย แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ