[CR] วนอุทยานแห่งชาติเขานางยักษ์พันธุรัตน์

กระทู้รีวิว
***สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้ว          เผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี
จะขอลาอาสัญเสียวันนี้             เจ้าช่วยเผาผีมารดา
     อันพระเวทวิเศษของแม่ไซร้       ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา
จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตา         รู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง
     เขียนพลางทางเรียกลูกน้อย        มาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์
แต่พอให้ได้ชมเสียสักครั้ง          ขอสั่งสักคำจะอำลา
     แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้ว    น้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา
ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกา             สองตาแดงเดือดดั่งเลือดนก
     ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต           ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก            นางร่ำร้องจนอกแตกตาย

ที่คัดลอกมาด้านบน เป็นบทละครเรื่อง "สังข์ทอง"  ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัตเป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(รัชกาลที่ 2) กล่าวไว้ถึงตอนนางยักษ์พันธุรัตน์ออกตามหาพระสังข์ ที่นางขโมยมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่ยังเล็ก จนเจอตัวอ้อนวอนแล้วพระสังข์ก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ด้วย นางจึงต้องเศร้าใจจนอกแตกตายซะเท่านั้นเอง

ไม่ได้บังอาจมาวิเคราะห์บทกลอนเรื่องสังข์ทองเพราะความรู้ผู้เขียนแค่หางอึ่ง รู้แต่เพียงว่ากลอนบทข้างบนเมื่ออ่านแล้ว สะอื้นถึงในอก ตอนแรกไม่ทราบว่ามาจากเรื่องอะไรตอนไหนและใครแต่ง (ตอนเรียนมีแต่ผู้เขียนขี้เกียจเรียนมากเลยลืมFacepalm)

ต่อมาเนื่องจากตัวผมเองต้องเดินทาง กทม หัวหิน แทบทุกอาทิตย์ ระหว่างทางช่วงก่อนเข้าชะอำ มีทิวเขาอยู่ทิวหนึ่งจำได้ว่าเมือตอนเด็กๆนั่งรถผ่านกับพ่อแม่แล้วก็ป้า เพื่อไปเที่ยวชะอำ หรือหัวหิน ป้าก็จะบอกว่า นั่น ดู นางยักษ์มันนอนตายกลายเป็นภูเขาอยู่ทั้งลูก เราก็มองๆไปที่ทิวเขา อืมมมม รูปร่างมันเหมือนยักษ์ นอนอยู่จริงๆ แปลกดีซะด้วยไหงมันมานอนอยู่กลางทุ่งนาได้

หลังจากนั้นก็โตขึ้นทุกวันจนเดี๋ยวนี้แก่แล้ว ก็มีโอกาสผ่านทิวเขาทิวนี้บ่อยๆแต่ก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไปสักทีเห็นแต่ป้ายบอกว่า เขาเรียกว่าวนอุทยานแห่งชาติเขานางพันธุรัตน์ จนมาเมืออาทิตย์ที่ผ่านมา ประจวบมีงานต้องลงไปช่วยถ่ายรูปที่หัวหิน แล้วนอนค้างหนึ่งคืน ขากลับออกมาแต่เช้าก็เลยได้แวะเที่ยวที่ต่างๆ อย่างที่อยากไป เพราะงานนี้มาคนเดียว จึงทำให้ในที่สุดได้มีโอกาสไปเที่ยวชมเขานางยักษ์ลูกนี้



จากทางเข้าเราต้องเข้าทางฝั่งชะอำ ถ้ามาจากชะอำต้องกลับรถก่อนครับ แล้วก็เข้าไปตามป้ายเลย ตรงที่ทำโรงปูนน่ะล่ะ ตรงเข้าไปจะมีป้ายบอกตลอดทาง ถนนมีพังไปบ้างเพราะรถใหญ่วิ่งขนหินกันอุตลุดแต่ก็ยังพอเข้าไปได้ไม่ต้องกังวล



เข้าไปตามทางประมาณสามถึงสี่กิโล ก็จะถึงตัววนอุทยาน เป็นเขาหินปูนทอดตัวอยู่กลางทุ่งนาโล่งๆ พอมองใกล้ๆก็ไม่เหมือนยักษ์นอนละ



ขับรถตามป้ายเข้ามาจนถึงตัวที่ทำการ มีต้นไม้ร่มรื่น บริเวณรอบๆสะอาดดีเยี่ยม ห้องน้ำนี่สะอาดจนแทบเข้าไปนอนได้เลย ผมสอบถามป้าที่ขายของแถวนั้นป้าบอกว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามาเยอะ แต่ก็พอมีเรื่อยๆ อย่างวันที่ผมไปนี้อากาศร้อนจัดมาก แล้วก็ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคนเดียวเลยตอนที่ผมไปถึง แต่ตอนกลับลงมาจากเขาเห็น มีสองสามคน เพิ่งเข้ามา เอาเสื่อมาปูนอนตรงสนามหญ้า





ประวัติคร่าวๆนะครับ เดิมพื้นที่เขาลูกนี้เป็นเขตสัมปทานระเบิดหินเอาไปทำซีเมนต์ ต่อมาเมื่อประมาณปี 253 กว่าๆ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านได้ทอดพระเนตรเห็นพื้นที่นี้ผ่านจากตอนพระราชดำเนินทรงงาน ท่านจึงได้ขอกับทางผู้ที่ได้สัมปทานพื้นที่เอาไว้เพื่อการอนุรักษ์ แล้วด้วยพระมหากรุณาธิคุณเขาลูกนี้ปัจจุบัน จึงยังดำรงอยู่ไม่กลายเป็นผงซีเมนต์ไปหมด ขอให้พระองค์จงทรงพระเจริญ

ปัจจุบันวนอุทยานนี้ ผ่านช่วงเวลาการฟื้นฟูมาประมาณสิบปีหลังจากก่อตั้ง ธรรมชาติบางส่วนก็ได้กลับคืนมา แต่ด้วยเพราะเป็นป่าเล็กๆที่อยู่กลางทุ่ง ระบบนิเวศทางธรรมชาติ จึงฟื้นตัวได้เพียงแค่นั้น ไม่มากเท่าไร เปรียบไปก็เหมือนมันเป็นเกาะกลางทุ่ง พวกสัตว์ป่ามันไม่สามารถเดินข้ามทุ่งนากับถนนเพื่อเข้ามาอยู่อาศัยได้ จะมีก็สัตว์ที่เคยมีอยู่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นบ้าง จำพวก ลิง ค่าง เม่น งู นกต่างๆ



โดยเฉพาะลิงนี่เจ้าหน้าที่บอกว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก แต่วันที่ไปผมไม่เจอสักกะตัว คงเพราะอากาศร้อนมากๆ เลยอยู่กันแต่บนเขา













นั่นพระสังข์กำลังจะชุบตัว



ป่าบนนี้เป็นไม้เล็กไม่ใหญ่มากเพราะหน้าดินนั้นตื้น เขาทั้งลูกเป็นหินปูนขนาดมหึมา



ยังพอมีสัตว์เล็กๆ ให้ชมได้ตลอดตามทางเดิน บางทีไม่จำเป็นต้องเจอกระทิง หรือช้าง ถึงจะนับได้ว่าเจอสัตว์ป่า เมือได้ยินว่าธรรมชาติที่นี่กำลังฟื้นฟูก็ดีใจแม้ว่าจะไม่ได้กลับไปเป็นป่าใหญ่ดังเช่นอดีต ก็ดีกว่ากลายเป็นถุงซีเมนต์



นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ผมเจอซากหอยอย่างที่เห็นตั้งแต่ตีนเขา ยันยอดเขาเลยทีเดียว นับว่าเค้าอยู่ได้ทุกที่จริงๆ



ทุกชีวิตดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางครั้งธรรมชาติก็สอนเราถ้าเราจะมองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัว ท่ามกลางดงหินปูนอันแห้งแล้ง แม้จะมีสักหย่อมนึงที่มีผงดินสักเล็กน้อย หรือแม้ตามตามรูเล็กตามซอกหิน เราจะพบการต่อสู้ดั่งเช่นภาพที่เห็น พรรณไม้แทรกตัวและพยายามที่จะเติบโตตามวัฐจักร คงเหมือนเช่นคนเมื่อเกิดมาแล้ว แม้จะไปเกิดตรงไหน ก็คงต้องพยายามสู้และดิ้นรนกันต่อไปจนกว่าชีวิตจะดับ บางทีมันอาจจะเป็นความหมายของคำว่าชีวิต



ทางเดินช่วงใกล้ถึงยอดถ้าหกคะล้มนี่เแย่เลย ถลอกแน่ๆหินค่อนข้างคม แต่ระยะทางไม่ไกลมากพอเดินได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กแนะนำว่าควรดูแลอย่างใกล้ชิดหรือไม่ก็อย่าเอาขึ้นไปดีกว่าครับ



มุมนึงของเมืองเพชร เมื่อมองมาจากยอดเขานางยักษ์ ที่ผมบอกว่าผมมองเธอนอนอยู่ตั้งแต่เด็ก จริงๆแล้วเธอก็นอนมองเห็นคนผ่านไปผ่านมาเนิ่นนานยิ่งกว่าเราเสียอีก



บริเวณบนสุดเป็นป่าไผ่ แลดูเหมือนมีคนมาปลูกเอาไว้เลยทีเดียว



งิ้วครับงิ้ว



ถึงแล้วครับบ่อชุบตัวพระสังข์ เป็นหุบเขาและเหมือนเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถ้าเห็นจากรูปถ่ายที่เจ้าหน้าที่ถ่ายลงมาจากเฮลิคอปเตอร์จะเหมือนมากกว่านี้ครับ แนะนำผู้ที่จะขึ้นไปบนนี้ต้องระวังนะครับ เพราะค่อนข้างอันตราย ถ้าคะนองร่วงลงไปนั้น เราคงไม่ใช่พระสังข์ที่ลงไปชุบตัวแน่

ขากลับว่าจะเดินต่อเพื่อไปลงที่ทางลงอีกด้านนึง แต่รองเท้าดันขาด เลยต้องย้อนเดินกลับลงมาทางเดิม เพราะระยะทางใกล้กว่า เลยพลาดโอกาสไปหากมีโอกาส จะกลับมาเยี่ยมเธออีกครั้งแน่นอนเขานางยักษ์



ตัวแสบนี่เดินเข้ามาอยู่ในกระเป๋ากล้องเฉยเลย
จบแค่นี้ก่อนนะครับหากมีเวลาจะมารีวิวให้เพิ่มเติมอีกแน่นอน
ชื่อสินค้า:   วนอุทยานแห่งชาติเขานางพันธุรัตน์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่