จากเด็กวัยรุ่นไม่อยากเรียนปริญญาตรี สู่วิศวกรเงินเดือน เกือบ 70,000 บาท

สวัสดีครับเพื่อนๆในพันทิป ผมได้อ่านรีวิวหลายๆรีวิวในเว็บนี้มานานแต่ไม่เคยเป็นสมาชิกสักที
ที่สมัครสมาชิกมาเพราะเพียงแค่อยากจะคอมเม้นคำว่า "ทรงพระเจริญ" เพียงแค่นั้นครับ
แต่ในเมื่อมี account แล้ว เลยอยากแชร์ประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนอาชีวะบ้านนอกให้เป็นข้อคิดแก่น้องๆที่กำลังเรียนอยู่ดีกว่าครับ

นี่เป็นรีวิวแรกครับใช้เวลางาน ในการรีวิวด้วย 555+ อาจแท๊กถูกผิดก็รบกวนแนะนำด้วยนะครับ

เมื่อปี 2547 (ย้อนไปไกลมาก) ผมจบ ปวช. ช่างกลโรงงานจากเทคนิคตรังโดยที่ไม่รู้อนาคตของตัวเองว่าจะยังไงต่อดี อยากเรียนพระนครเหนือ แต่จะเอาอะไรไปสอบวะเนี่ย เรียนไม่เก่ง ทำแต่กิจกรรม แผนกที่เราเรียนให้อะไรกับเรากันวะ แต่ก็ได้ตัดสินใจย้ายก้นไปเรียน ปวส. ในจังหวัดกระบี่ ปักธงเลยจะเรียนแผนกแม่พิมพ์เพราะที่เทคนิคกระบี่มีสาขานี้ (ณ ตอนนั้น สายอาชีวะมีกระบี่ที่เดียวในภาคใต้มั้ง) แต่มันไม่ใช่ครับ สาขาที่จะเรียนมีผมลงแค่คนเดียว อาจารย์เลยโอนให้ไปเรียนการผลิตซะเลย

ในวันแรกที่ไปเรียนอารมณ์เหมือนตัวตลกยังไงไม่รู้ อาจไม่คุ้นสถานที่ ไม่คุ้นเพื่อนใหม่ แต่ยังดีที่รู้จักอาจารย์หลายๆท่านเป็นอย่างดีตอนทำกิจกรรมอาชีวะ (ผมนี่นักกิจกรรมตัวยงเลย ทำกิจกรรมของอาชีวะมาก เรียน ปวช. 3 ปี ทำทุกปีเลย)

ในปีแรกกับการเรียน ปวส.ที่กระบี่ ผลการเรียนตกครับ ประเด็นคือ 1.ไกลบ้าน 2. Winning สมัยนั้น Popular มาก ยุดนั้น ที่ลิเวอร์พูลโกงความตายในแชมป์เปี้ยนลีกจากมิลาน หลายๆทีมเมพมาก 3. Football Manager 4. สถานที่ท่องเที่ยว สรุปคือ ไม่ค่อยเรียน เล่นเกมกับเที่ยวทะเลซะส่วนใหญ่ คือตอนอยู่ตรัง ด้วยความเป็นลูกคนโต ต้องตื่นแต่เช้า กวาดบ้าน ถูบ้าน เช็ดโซฟา หุงข้าว (ที่บ้าน แม่ผมมีกิจการร้านทำผมครับ) กลับมาตอนเย็นก็ หุงข้าว เตะบอล กลับมาก็กินข้าว ล้างจาน ดูทีวีและก็นอน ชีวิตเลยไม่ค่อยได้อิสระ

ในปีที่สอง เป็นปีที่ถือว่าเกือบบรรลัยของชีวิต ยังไงหรอครับ คือปีที่ 2 มีฝึกงาน แต่ไม่ไปครัช เล่นแต่เกม อยู่ร้านคอม เพราะรู้จักช่างในร้านคอม อาจารย์ไป Audit แล้วไม่เจอครับขาดงานไป 2 อาทิตย์ ที่ทำงานฟ้องอาจารย์ อาจารย์โทรมาบอกจะให้พักการเรียน โห ผมนี่ร้องไห้หนักมาก เช้าอีกวันไปวิทยาลัย นั่งลงบนพื้นในห้องพักอาจารย์ โดยที่มีอาจารย์หลายระดับนั่งรุมล้อม แต่ยังมีความดีความชอบคือ ให้มาฝึกงานในวิทยาลัยโดยตัดคะแนนทุกอย่างเหลือแค่ครึ่งเดียว มาถึงจุดนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าชอบคอมพิวเตอร์มาก เพราะชอบเล่นเกม FM

แต่ผมมันเด็กกิจกรรม เลยเอาช่วงเวลาที่ฝึกงานในวิทยาลัยนั่นแหละ ทำงานเกี่ยวกับอาชีวะ ลงแข่งนู่นนี่นั่น ได้แชมป์ระดับภาค ระดับประเทศ ระดับเอเชีย ออกรายการแทบทุกช่อง เด็กไทยวันนี้ คนไทยวันนี้ สมรภูมิไอเดีย และรายการภูมิภาค เยอะครับ

พอไกล้จะเรียนจบ เริ่มถามตัวเองแล้วว่าจะยังไงต่อดี เพื่อนในห้องก็ได้ โควต้าไปพระจอมเกล้าพระนครเหนือ อิจฉาอะ บางคนไปคลองหก บางคนไปสงขลา ผมหาทางไม่เจอจริงตอนนั้น เลยคิดอย่างเดียวว่า เรียนปริญญาตรี เสาร์อาทิตย์เอาละกัน ในกระบี่มีสอน จ-ศ ทำงานร้านคอม ตอนนั้นร้านคอมเสนอเงินเดือนให้ หมื่นนึง สบายหละ ได้เล่นเกมด้วย เลยแจ้งความประสงค์นี้ไปให้ พ่อแม่ที่ตรังทราบ เท่านั้นแหละครับ รู้เลยว่าท่านทั้งสองเสียใจ แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อเรียนไม่เก่ง (ผมจบเกรด 2.75 ครับ) พอช่วงเวลาปิดภาคเรียนสุดท้าย ผมยังเรียนไม่จบ ยังต้องซัมเมอร์อยู่ มีสายโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทดังเข้ามา ชวนไปสอบตรง สจพ. (สมัยนั้นยังเป็นสถาบันครับ) ผมไม่ไปครับ แล้วมันก็โทรไปฟ้องแม่ผม พ่อผมเลยโทรมาขอร้อง ผมก็เอาวะ ไปๆซักหน่อย จะได้จบๆ

นั่งรถทัวร์จากกระบี่มากรุงเทพ มาล่วงหน้า 3 วัน เพื่อมาติว? ในใจคิดติวสามวันนี่จะสอบ สจพ ได้หรอวะ มั่วมาก เพื่อนเก่าสมัยเรียน ปวช ที่ไปเรียน ปวส ตามราชมงคล มารวมตัวกันติว โห เท่อะ แลดูความรู้แน่นมาก ผมนี่ไม่มีอะไรเลย แล้วทำไงดี ออกจากที่พักที่มันรวมตัวกันติวแล้วมุ่งหน้าสู้รามคำแหง ที่เพื่อนแถวบ้านอยู่กันเพียบ แล้วเราก็ไปกินเหล้ากัน เมาอยู่สามวัน กลับมาอีกทีเช้าตรู่วันที่จะสอบ มาอาบน้ำและก็นั่งแท๊กซี่ไปสอบ ไม่มีข้อมูลอะไรเลย กามั่ว เสร็จเร็ว และนอนกลับคาข้อสอบมันซะเลย เป็นไงหละวัยรุ่น อาจารย์เลยให้กลับบ้านไปนอน ผมก็กลับใต้เลย ทุกอย่างเข้าสู่โหมดเงียบงันอีกครั้ง ไม่เฝ้ารอผลสอบใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งพี่ที่เป็นญาติกัน (แกทำงานใน สจพ) โทรมาบอกว่าสอบติด!!!!!!!?????? ผมนี่ทั้งตกใจ ทั้งงง หยิบโทรศัพท์ โทรไปบอกพ่อกับแม่ คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าพ่อแม่ผมน้ำตาเล็ดมั้ย (พ่อฝากความหวังไว้ที่ผมมาก เพราะพ่อเป็นข้าราชการ และผมเป็นลูกคนโตจากพี่น้อง 3 คน) ทุกอย่างโล่งมาก เหมือนมีอนาคตที่สดใส ส่วนเพื่อนที่ติวกัน ติดกันแค่ 2 คน 5555+ เก่งไม่กลัว กลัวกาแม่นยังใช้ได้ครัช

และแล้วผมได้มาเรียนพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สาขาแม่พิมพ์พลาสติกอย่างเต็มภาคภูมิ เดินแอ๊กอย่างเท่กับเสื้อชอร์ป พ่อแม่ผมภูมิใจมาก ณ จุดๆนี้

สำหรับเทอมแรกในพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ผมยังบ้ากล้องและท่องเที่ยว เกรดเฉลี่ยเป็นไงหรอครับ 1.66 เกือบโดนให้ออก หากต่ำกว่า 1.65 กลับบ้านเก่าได้เลย นี่ขนาดเรียน 5 ตัว drop ไป 2 ตัวละนะ

เทอม 2 ดึงกลับมาได้แต่ยังไม่ถึง 2.00 เลย เรียนไปเรียนมา เข้าอีหรอบเดิมครับ เรียนพอพยุงๆไปให้มันจบๆ มาเรียนก็ไม่เรียน เตะบอล เล่น MSN, Hi5, Counter Blah Blah...

ตอนขึ้นปีสองเริ่มหางานทำ เริ่มไม่อยากไร้สาระ (อ้อลืมบอกไป ผมเรียนรอบค่ำ เริ่มเรียน 5 โมงถึงสามทุ่มเรียนสามปีเพราะเรียนวันละตัว ไม่เยอะ) หางานไปเรื่อย ตามร้านเสต๊กที่มีสลัดบาร์เยอะๆ ร้านไก่ทอดในห้าง แต่ก็ไม่ได้ พอดีเพื่อนชวนไปทำงานที่ ททท. ไปเป็นลูกจ้างนะ ไม่ใช่ประจำ ก็ไปสมัคร ยิ้มได้อีก และที่สำคัญดันไปอยู่แผนกเอกสารภาษาอังกฤษ เหอะๆ ไม่มีสกิลเลย แล้ว HR เห็นอะไรในตัวชั้นวะ ก็ทำๆไป ทำไปสามปีทำไมทำสามปี?

เพราะว่าผม ดร็อปเยอะ F เยอะ ขี้เกียจไง ไม่รีบเน้นสบายเลยเรียนไปทั้งหมด 4 ปี รวมปวส.ด้วย ปาไป 6 ปี ยิ้ม เพื่อนเค้า 23 ปีทำงานกันแล้ว ผมนี่ 25 เพิ่งรับปริญญา เพื่อรุ่นเดียวกันใน Class เดียวกัน ทำงานประสบการณ์ปีกว่ากันแล้วก่อนจะรับปริญญา ก็ลาออกจาก ททท เพื่อเริ่มหางานในสายงานตัวเอง

ยากครับ สกิลด้านแม่พิมพ์ก็ไม่มี ภาษาอังกฤษก็ไม่หวือหวา อะไรก็ไม่มี แล้วเกรดเฉลี่ยอันน้อยนิดอีก 2.06 คุณว่ามันมากพอที่เขาจะจ้างสัก 16,000 โอทีเยอะ แถมโบนัสสัก 8-9 เดือนมั้ย โทรหาเพื่อนตามบริษัทใหญ่เพื่อนก็ไม่อยากคุยกับผม เพราะผมไม่ค่อยเรียน ไม่อยากฝากงานให้เพราะผม ไม่ค่อยรับผิดชอบ แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อ พอดีอาจารย์ในภาควิชาต้องการ Designer ที่ออกแบบเครื่องจักรได้มาช่วยงาน และนี่คืองานแรกของผม กับเงินเดือน 14,000 ทำอยู่ปีนึง สกิล Solid Work ผมเทพมากปีที่สองเงินเดือนอยู่ที่ 17,000 เงินเดือนขึ้นเพราะผมอยากลาออก ณ จุดๆนี้ ผมทิ้งความสามารถที่ไม่เคยมีในเรื่องแม่พิมพ์ไปเรียบร้อยแล้ว และจะไม่ให้ลูกหลานเรียนสาขานี้เด็ดขาด เป็นสาขาต้องห้าม

ผมได้แต่หางานๆๆ จนวันนึงผมโยนใบสมัครไปบริษัทแห่งหนึ่ง บมจ. ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม 1ปี กว่าจะเรียกสัมภาษย์หลังจากโยนใบสมัคร ก็ดีใจมากนะ เพราะผมกล้ำกลืนกับที่ที่ทำอยู่มาก และ ที.กรุงไทย ก็เป็น บมจ. ด้วย อะไรๆหลายๆอย่างมันเย้ายวล เลยตัดสินใจไปสัมภาษย์ทั้งๆที่พับเก็บวิชาแม่พิมพ์และทิ้งไปเรีบยร้อยแล้ว

ผมตัดสินใจขับมอเตอร์ไซค์ เวฟ 110 จาก งามวงศ์วาน กทม ไปยัง คลองอุดมชลจร ฉะเชิงเทรา และก็คิดไปตลอดทาง เค้าจะรับหรอวะ

และแล้วผมก็ได้เข้าทำงานกับที่นี่อย่างสมใจ ภายใต้เงินเดือน 18,000 กับอายุ 27 ปี ในตำแหน่ง Mould Engineer บริษัทนี้แหละครับ ที่มีบุญคุญท่วมหัวกับผมมายังทุกวันนี้ เจอเครื่องจักรใหญ่โต มโหฬาร เจอเครื่องฉีดพลาสติกแบบเครื่องเท่าบ้าน ที่นี่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ครับ แต่ผมอยู่แผนกผลิตแม่พิมพ์ ความรู้ผมน้อยมาก ก็ได้แต่เรียนรู้กับช่างหลังเลิกงาน ผมใช้เวลาตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนเที่ยงคืนบ้าง ตี1บ้าง อยู่กับช่าง เรียนรู้งาน โดยที่ไม่เคยเขียนโอทีเลย จนผ่านไป สี่เดือนความรู้ผมเยอะมากแต่กึ๋นยังไม่มี ผมเรียนรู้ตลอดเวลา จากหัวหน้าบ้าง designer บ้าง ช่างบ้าง ลูกค้าบ้าง ผมนี่โชคดีที่ชอบเข้าสังคม คุยเก่ง ช่างสังเกตุ เลยรู้จักลูกค้าและสนิทกับเค้าไปทั่ว งานหลักๆผมก็ไปประชุมกับลูกค้า ตามล่า supplier ด้วยความที่ผมได้ภาษาบ้าง มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เลยมีโอกาสไปต่างประเทศบ่อย CV เลยแลดูดี

ผมรับผิดชอบดูแลลูกค้าหลายเจ้าครับ ทั้งญี่ปุ่นและยุโรป
จนมีอยู่ครั้งบังเอิญไปแอบเห็นสลิปเงินเดือนของลูกค้าครับ ยืนยัยว่าแอบเห็น ไม่ใช่แอบดูครับ เงินเดือนคุณมะรึงนี่ 72,000 เลยหรอวะ บริษัทชั้นนำของยุโรปจ้างแพงขนาดนี้เลยหรอวะ ตกใจ หน้าสั่น และก็ถามคุณลูกค้าว่า พี่อายุเท่าไหร่ครับ พี่แกตอบว่า "30 ครับ" (ณ เวลานั้นผมย่าง 29 อยู่รอมร่อ)

เยียสเปียด!!! กรู 29 ยังไม่ 20,000 นี่มะรึงล่อไป 70+ นี่กรุกำลังทำอะไรอยู่วะ อะไรที่ทำให้เค้าไปอยู่ตรงนั้น ได้เงินเดือนเท่านั้น เค้าก็ไม่ได้มีความรู้ต่างจากผมมากนัก ผมใช้เวลาวิเคาระห์อยู่สามคืน คำตอบเดียวเลยคือ ความแตกต่างครับ สิ่งเดียวที่เค้ามีต่างจากผมคือ ภาษาอังกฤษ เค้าเก่งมาก ผมกากมาก

และด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ไม่รู้ บริษัท Triumph Motorcycles รับสมัคร Mould Engineer เอาวะ ลองดู ภาษาเราก็พอไปได้น่า ต้องอยู่บริษัทยุโรป เงินจะได้เยอะ ภาษาจะได้เป๊ะ และผมการมาสัมภาษย์ที่นี่ก็ไม่ผิดหวังครับ ผมมาเริ่มงานที่นี่กับเงินเดือน 30+ กับอายุ 29 ปี และได้ทำงานกับฝรั่งอังกฤษแท้ๆสมใจ และหัวหน้าผมก็พูดและฟังไทยไม่ได้เลย และภาษาอังกฤษของแท้มันจะทำให้คุณ สบถคำว่า เหยดแหม ได้บ่อยมาก เพราะมันพูดอะไรกันวะ ฟังยากมาก บางคนพูดเร็ว บางคนพูดอยู่ในคอ ลูกค้าหลายๆคนที่ตอนหลังกลายเป็นเพื่อนคอยเตือนว่าให้ระวังเพราะมันยากมาก กับอังกฤษของแท้ แต่ผมก็อดทนเรียนรู้มา จนตอนนี้ผมอยู่ที่นี่มา 1.5 ปี เริ่ดมากกก ฟังพูดอ่านเขียนคล่องปรื๊ด แต่แกรมม่าไม่เป๊ะหรอก เป็นบริษัทที่น่ารักมาก หลังๆเพื่อนสมัยเรียนป.ตรีที่ไม่คบเราก็หันหน้ากลับมาทักทายเรา โทรหาเรา (ตอนนี้เพื่อนๆเหล่านั้นยัง 20+กันยุเบย แอบเป็นมารร้าย นิดๆ) บริษัทนี้ สอนผมหลายอย่างในด้านการบริหารงาน ได้คุยกับ Engineer UK วิริศมาหรามาก

แต่ชีวิตต้องเดินต่อ เป้าหมายผมคือ ที่นั่นที่ผมแอบเห็นเงินเดือน เป็นบริษัทในฝันผมด้วยแหละ เพราะมีแต่คนเก่งๆหลายๆประเทศมารวมกัน อยู่อันดับ 7 จาก 100 top global suppliers auto part และผมก็ได้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว กับตำแหน่ง Mould Engineer ในตอนนี้ผมอายุ 30ปี กับ 1 เดือน กับเงินเดือน 67,000 บาท

จขกท ทราบครับว่าเงินเดือนแค่นี้ยังน้อยไป หรือยังไงเสียก็แค่มนุษย์เงินเดือน หรือ คนอื่นที่อายุมากกว่า จขกท เงินเดือนอาจไปไกลกว่านี้ แต่ที่มาเล่าให้ฟังเพราะจะเป็นกำลังใจแก่รุ่นน้อง และเพื่อนๆให้สร้างความแตกต่างครับ

ผมเคยบอกรุ่นน้องหลายคนครับว่า วิศวะกรแม่พิมพ์มีเยอะ แต่เราจะทำยังไงให้เรานั้นแตกต่างจากคนเหล่านั้นและให้ Profile ตัวเองเป็นที่ต้องการของบริษัทชั้นนำ และที่สำคัญ ความมั่นใจครับ ทำอะไรมั่นใจมีชัยไปเกินครึ่งจริงๆครับผม
แต่ถ้าหากเราตั้งใจเรียนตั้งแต่เริ่มต้น เพิ่มศักยะภาพด้านความรู้ความสามารถของตัวเองด้านภาษา ช่างสังเกตุและวิเคราะห์ เราจะเดินทางหางานที่คาดหวังได้ง่านและเร็วขึ้นครับ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านครับ ขอบคุณจริงๆครับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่