..........พระพุทธรูป กับการเมือง/และการเรืองอำนาจ........

กระทู้สนทนา
ในช่วงระยะเวลาเกิดแว่นแคว้นต่างๆ เริ่มเป็นปึกแผ่น   การตื่นตัวหรือปลุกระดมในเรื่องรัก “ชาติ” นั้นไม่น่าจะมีมากเท่าปัจจุบันหรืออาจจะแทบไมมีเลย   เพราะการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนถูกกดไว้ด้วยชนชั้นและบรรดาศักดิ์   การที่จะต้องตกเป็นเมืองขึ้นของแว่นแคว้นอื่นๆ แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนชนชั้นล่างเลย     การปกป้อง “ชาติ” ให้ดำรงอยู่ก็เหมือนการปกป้องชนชั้นบรรดาศักดิ์นั่นเอง   โดยที่คนชนชั้นล่างแทบจะไม่มีทางเลือก



สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นสถาบันที่เคารพสักการะและย่ำเกรง   ในยุคสมัยนั้นยังไม่มีการแสดงหรือเสนอข่าวคราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจเหมือนปัจจุบัน   ตรงกันข้าม   การเข้าเฝ้าสำหรับสามัญชนนั้นเป็นไปได้ยาก   หรือแม้แต่การชื่นชมพระบารมีก็ยังยาก (การห้ามการมองดูพระเจ้าแผ่นดินพึ่งจะมายกเลิกเอาในรัชสมัยรัชกาลที่๓   สมัยก่อนเวลาเสด็จพระราชดำเนิน  พสกนิกรต้องก้มหน้าห้ามมอง  และจะมีพลธนูตามเสด็จคอยดูว่าใครมอง  ถ้าใครมองก็จะยิงธนูใส่ตา)  สถาบันพระมหากษัตริย์สมัยนั้นจึงเป็นที่เคารพและย่ำเกรง




ในยุคนั้น  มีเพียงสถาบันเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกชนชั้นนั่นก็คือศาสนา   โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา   การสร้างหรือครอบครองพระพุทธรูปองค์สำคัญๆ  ก็เท่ากับกุมจิตใจพลเมืองส่วนใหญ่เอาไว้   การสูญเสียพระพุทธรูปประจำบ้านประจำเมืองไป   ก็กระทบจิตใจของผู้คนในบ้านเมืองนั้นๆ
ตัวอย่างที่คลาสิคที่สุดเห็นจะไม่พ้นตำนานการถูกอัญเชิญไปตามสถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตที่แฝงไปด้วยการเมืองระหว่างแว่นแคว้นล้วนๆ    ตำนานการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ในระยะเริ่มต้นเป็นไปอย่างพิสดารคือสร้างโดยพระอินทร์   แต่ต่อมาตำนานเริ่มมีชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์มากขึ้น  และการถูกนำไปประดิษฐานที่ต่างๆ ก็ตลบอวนไปด้วยกลิ่นการเมือง   เช่นเคยสงสัยไหมว่าตอนที่อัญเชิญจากเชียงรายมาเชียงใหม่   ทำไมช้างถึงต้องมุ่งแต่จะไปลำปาง(เมืองลูกหลวงเชียงใหม่)อย่างเดียว   เปลี่ยนช้างตั้งสามเชือกก็ยังเลือกที่จะไปแต่เมืองลำปาง?  ไปเพื่อเสริมบารมีใครหรือ??  หรือว่าเป็นที่ช้างหัวดื้อทั้งสามเชือกล้วนๆ?    แต่ครั้นพอเชียงใหม่เปลี่ยนกษัตริย์ใหม่    ช้างกลับว่านอนสอนง่ายเดินดุ่ยๆ มุ่งหน้าเชียงใหม่นำพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่เชียงใหม่โดยไม่ขัดขืน??



บางท่านอาจจะไม่รู้ว่าพระคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่นั้นคือ พระแก้วขาว  หรือพระเสตังคมณี   ที่เคยเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของแคว้นหริภุญไชยมาก่อน  เมื่อล้านนาตีหริภุญไชยแตกก็นำพระเสตังคมณีมาประดิษฐานที่เชียงใหม่    ตอนพระไชยเชษฐาธิราชจะเสด็จกลับไปปกครองล้านช้างลาว  พระองค์จะทรงอัญเชิญพระเสตังคมณีไปหลวงพระบางไปพร้อมๆ กับพระแก้วฯ    แต่ชาวเชียงใหม่ขอไว้....ให้เอาไปเฉพาะพระแก้วฯ   บางตำราก็ว่าพระไชยเชษฐาติดสินบนเจ้าหน้าที่บางคนนำพระแก้วไปหลวงพระบาง  จะอะไรก็แล้วแต่   การนำพระแก้วไปหลวงพระบางไม่ได้บั่นทอนศูนย์รวมจิตใจของคนเชียงใหม่เลย  เพราะศูนย์รวมจิตใจคือพระเสตังคมณี      ส่วนการอัญเชิญพระแก้วฯ ลงมาที่กรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน  ผมขอไม่แตะล่ะกัน......เพียงแต่อยากจะบอกว่า   ในยุคนั้นศูนย์รวมจิตใจของคนแต่ละแว่นแคว้นนั้นอยู่ที่สถาบันศาสนา   การแย่งชิงพระพุทธรูคู่บ้านคู่เมืองจึงถือเป็น “สงครามจิตวิทยา” อย่างหนึ่งที่ใช้ห้ำหั่นกันในภูมินี้ที่พุทธศาสนากำลังรุ่งเรืองสุดขีด




ตำนานพระแก้วมรกตทำนายเอาไว้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อไปประดิษฐานในทวีปทั้งหกทวีป คือ ชมพูทวีป ลังกาทวีป กัมโพชทวีป โยนกทวีป สุวรรณทวีป และปมหลวิชัย   ชมพูทวีปคืออินเดีย(พระพุทธปรูปสร้างขึ้นที่เมืองปาฏลีบุต) ต่อมาถูกอัญเชิญมาที่ลัง  แล้วกัมพูชา(กัมโพชทวีป)  แล้วมาล้านนา(โยนกทวีป)  แล้วมาที่สุวรรณทวีปคือกรุงเทพฯของเรา  สุดท้ายคือ ปมหลวิชัย?  ปมหลวิชัยอยู่ที่ไหนไม่รู้??   คาดว่าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่ไหนก็จะไปที่นั่น    หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีการสร้างพระ “สยามเทวาธิราช” ขึ้นมาเพื่อเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองประเทศไทยในยามที่พระแก้วมรกตต้องถูกอัญเชิญไปยังสถานที่สุดท้ายคือ ปมหลวิชัย??    น่าคิดๆ.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่