ต้องขออภัย เมื่อวานผมเข้าใจผิดไปว่าท่านสุมาอี้เป็นอริยะไปแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ก็ท่านบอกปุถุชนยังไงๆก็ยึดติดความเป็นสัตว์บุคคคลตัวตนเราเขา
เหลือแค่ไม่สัสสตก็อุจเฉท ท่านพูดเองล้วนๆ ไม่ A ก็ B พูดเองทั้งนั้น
ผมก็บอกเอ้า แล้วท่านปฏิเสธสัสสตแต่ไม่ใช่อุจเฉท ก็แปลว่าท่านไม่ใช่ปถุชนสิ
ก็ว่าตามคำพูดท่านเป๊ะๆ
แต่จริงๆท่านบอกว่าท่านไมไ่ด้เป็นอริยะ ท่านเป็นปุถุชน
และท่านบอกไว้เองว่าท่านเป็นกัลยาณปุถุชนไม่ใช่อันธปุถุชนแบบคุณผมทั้งหลาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1 ประการแรกที่ท่านคันโตนา ควรทราบ และควรยกมาอ้างให้ครบก็คือ สัมมาทิฐิแบบโลกียะ หมายถึง
"สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์" เห็นไหมครับ ว่าจะเป็นสัมมาทิฐิได้ ก็ต้องรู้จักแยกรูปแยกนามแล้ว
ถ้ายังเป็นคนประเภทที่ยึดติดถือมั่นในสมมุติอย่างเหนียวแน่ว่าเป็นจริง นั่นยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่นะครับ
2 บางที ท่านคันโตนา อาจเข้าใจไม่ชัด ผมก็ขอให้ท่านอ่านคำอธิบายจากพระอรรถกถาสักนิด
คือ พระอรรถกถาท่านบอกว่า สัมมาทิฐิที่ว่ามีสองอย่างนั้น หมายถึง 1 วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ 2 มรรคสัมมาทิฏฐิ
3 วิปัสสนาสัมมาทิฐิ หมายถึงอะไรครับ ?
ก็หมายถึง ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป
๒. (นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป
๓. สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
ญาณทั้งสามอย่างนี้ เป็นของ กัลยาณปุถุชน ครับท่าน ไม่ใช่ของอริยบุคคล
ถ้าเป็นของอริยะ พระอรรถกถาท่านบอกว่า คือ มรรคสัมมาทิฐิ คือ สัมมาทิฐิในขณะมรรค
สรุปก็คือ ไม่ใช่แค่ ตาสีตาสา มาอ้างว่า เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า ฯลฯ แล้วเขาจะเป็นสัมมาทิฐิแบบโลกิยะ เสียเมื่อไร
เพราะเมื่อพิจารณาตามคำอธิบายของพระอรรถกถา จะทราบว่า หมายถึงผู้ได้วิปัสสนาขี้นต้น คือ กัลยาณปุถุชน
ผู้สามารถ แยกรูปนามได้ พิจารณาปัจจัย และ ไตรลักษณ์ได้ ซึ่งก็ยังเป็นภูมิของปุถุชนอยู่ ครับท่าน
พูดง่ายๆว่าระดับท่านเนี่ยเหนือกว่าเพราะแยกรูปแยกนาม พิจารณปัจจัยไตรลักษณ์ได้แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(๑) นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่สามารถแยกรูปนามได้ เมื่อว่าตามชื่อ ญาณนี้ปรากฏแต่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเท่านั้น แต่ถ้าเราศึกษาขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค อันแสดงถึงวัตถุนานัตตญาณ (๑๕) โคจรนานัตตญาณ (๑๖) จริยานานัตตญาณ (๑๗) ภูมินานานัตตญาณ (๑๘) และธัมมานัตตญาณ (๑๙) ๑เราจะพบว่า ได้แก่นามรูปปริเฉทญาณนั่นเอง เมื่อกล่าวโดยเนื้อหาสาระแล้วย่อมมีความเหมือนกันกับการอธิบายในคัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวคืออัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย เมื่อว่าโดยปรมัตถธรรม (ความจริงแท้) มีแต่เพียงรูปนามเท่านั้น ผู้เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานถึงญาณนี้ก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเองว่า อัตตาตัวตนเป็นเพียงสภาวธรรม ไม่ยึดมั่นว่า มีอัตตาตัวตน (เป็นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา) ตามหลักพระพุทธศาสนา ความเห็นเช่นนี้ถือว่า เป็นทิฏฐิวิสุทธิ คือ มีความเห็นที่บริสุทธิ์
(๒)ปัจจยปริคคหญาณ ญาณที่สามารถรู้เหตุปัจจัยของรูปนาม เมื่อว่าตามชื่อ ญาณนี้ปรากฏแต่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่ถ้าเราศึกษาคัมภีร์ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เราก็จะพบว่า เนื้อหาสาระของญาณนี้ตรงกับธัมมัฏฐิตญาณ (ญาณในการกำหนดที่ตั้งแห่งธรรม) (ญาณที่ ๔) กล่าวคือ ท่านพระสารีบุตรได้นำปฏิจจสมุปบาทมาจำแนกไว้ ผู้ปฏิบัติตามถึงญาณนี้จะทราบถึงสรรพสิ่งล้วนเกิดมาตามเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาท สำหรับผู้ปฏิบัติที่เคยนับถือในพระผู้สร้างโลก (God) เมื่อปฏิบัติมาถึงญาณนี้ ก็จะปฏิเสธเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
(๓)สัมมสนญาณ ญาณที่เห็นแจ้งไตรลักษณ์ เมื่อว่าตามชื่อ ญาณนี้ ปรากฏทั้งในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค (ญาณที่ ๕) และคัมภีร์วิสุทธิมรรค สาระสำคัญของญาณนี้ก็คือ ผู้ปฏิบัติรู้ว่ารูปนามดับไปและเห็นรูปนามใหม่เกิดขึ้นสืบต่อกันไป แต่สันตติยังไม่ขาด เพราะเป็นเพียงความรู้ด้วยจินตาญาณ๑หลักฐานในคัมภีร์สัทธัมมปกาสินี : อิทานิ ยสฺมา เหฏฺฐา สรูเปน นามรูปววตฺถานญาณํ น วุตฺตํ, ตสฺมา ปญฺจธา นามรูปปฺเภทํ ทสฺเสตุ อชฺฌตฺตววตฺถาเน ปญฺญาวตฺถุนานตฺเต ญาณนฺติอาทีนิ ปญฺจ ญาณานิ อุทฺทิฏฺฐานิ (ขุ.ป.อ. ๑/๓๖ มจร.)
โดยผ่านขั้นตอนการทำวิปัสสนาได้ถึงวิปัสสนาญาณขั้นที่ 3 คือสัมมสนญาณด้วยการอ่านฟังและจิ้น เรียบร้อยแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องญาณสามข้อนั้น อธิบายสั้นๆง่ายๆ ก็คือ มันเป็น สุตตมยปัญญา และ จินตมยปัญญา ครับท่าน
หมายความว่า ท่านคันโตนา สามารถรู้ได้ ด้วยการฟังการอ่าน และคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาของตนเองน่ะครับ
ตอนนี้ท่านสุมาอี้ รู้แล้วว่า อัตตา เป็นสมมุติ ไม่มีจริงในระดับปรมัตถ์
ที่กล่าวว่า ไม่ยึดมั่นว่ามีอัตตาตัวตน หมายถึง ไม่ยึดมั่นว่ามีอยู่จริง แต่ก็แค่รู้ ยังละไม่ได้
ส่วนสภาวะและวิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงนั้น
ใครอยากรู้เชิญถามสุมาอี้ญาณ3 ได้เลยครับ
ใครมีปัญหาเรื่องวิปัสสนา เชิญปรึกษาท่านสุมาอี้ได้เลยครับ ตอนนี้ท่านบรรลุวิปัสสนาญาณ 3 แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่จริงๆท่านบอกว่าท่านไมไ่ด้เป็นอริยะ ท่านเป็นปุถุชน
และท่านบอกไว้เองว่าท่านเป็นกัลยาณปุถุชนไม่ใช่อันธปุถุชนแบบคุณผมทั้งหลาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พูดง่ายๆว่าระดับท่านเนี่ยเหนือกว่าเพราะแยกรูปแยกนาม พิจารณปัจจัยไตรลักษณ์ได้แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยผ่านขั้นตอนการทำวิปัสสนาได้ถึงวิปัสสนาญาณขั้นที่ 3 คือสัมมสนญาณด้วยการอ่านฟังและจิ้น เรียบร้อยแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้ท่านสุมาอี้ รู้แล้วว่า อัตตา เป็นสมมุติ ไม่มีจริงในระดับปรมัตถ์
ที่กล่าวว่า ไม่ยึดมั่นว่ามีอัตตาตัวตน หมายถึง ไม่ยึดมั่นว่ามีอยู่จริง แต่ก็แค่รู้ ยังละไม่ได้
ส่วนสภาวะและวิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงนั้น
ใครอยากรู้เชิญถามสุมาอี้ญาณ3 ได้เลยครับ