นักร้องที่ร้องเพลงเก่งกับนักร้องที่มีคุณภาพในการร้องที่ดีแตกต่างกันอย่างไรมาดูกัน
ขั้นแรกมาทำความเข้าใจศัพท์ทางด้านดนตรีกันก่อน
- การเปิดคอ(Open throat) คือการเปิดคอให้กว้างเวลาร้องเพลงในทุกๆตัวโน๊ต
- เร้นจ์ของเสียง(Vocal Range) คือระยะห่างหรือความกว้างของช่องเสียง
- การสั่นของเสียง(Vibrato) คือลักษณะเสียงที่สั่นโดยธรรมชาติเวลาร้องเพลง(บ้านเราเรียกว่าลูกคอ7ชั้น)
- อิสระในการใช้เสียง(Free Tone) หรือเรียกอีกชื่อว่าอิมโพรไวส์,แอดลิปนั่นเองรวมทั้งลูกเล่นในเสียงที่ไม่มีในเนื้อเพลงด้วย
- ความเครียดของเสียง(Strain) คือลักษณะของเสียงที่เกร็งเกินไป หรือทำให้เสียงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บ ถามว่าจุดนี้เกี่ยวอะไร มันเกี่ยวตรงที่นักร้องสายหลักทุกคนต้องร้องเสียงที่สูงกว่าเสียงกลาง(โทนเสียงธรรมชาติ)ของตัวเอง ทำให้เวลาร้องเสียงสูงมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับนักร้องทุกคน เพราะฉะนั้นมันหลักเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ใครทำให้มันเกิดขึ้นได้น้อยที่สุด นั่นแหละถึงเรียกว่าเก่งจริง ข้อมูลตรงนี้จึงทำให้เป็นคุณสมบัติอีก1ข้อสำหรับการวัด นักร้องที่มีความสามารถในการร้องเพลงที่เก่งที่สุดได้
- Inner คืออารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อเพลงเพลงนั้น มาจากน้ำเสียงหรือการตีความเนื้อเพลงของนักร้อง
ข้อมูลนี้คือพื้นฐานของการเป็นนักร้องทั่วไปครับ
คุณภาพ หมายถึง การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเป็นไปตามข้อกำหนดที่ต้องการหรือเหมาะสมกับการใช้งาน โดยสินค้าหรือบริการนั้นสร้างความพอใจให้กับลูกค้า คุณภาพของการออกแบบและความสอดคล้องในการดำเนินงาน
เก่งในความหมายนี้ หมายถึง การที่นักร้องคนนึงสามารถทำอะไรได้เหนือกว่าคนอื่นๆหรือการที่นักร้องคนนึงทำได้ดีกว่าคนอื่นเมื่อเปรียบเทียบในลักษณะเดียวกัน
นักร้องที่ร้องเพลงได้เก่งส่วนใหญ่คือนักร้องที่เน้นไปทางPowerและRangeของเสียง ซึ่งมันสามารถร้องเพลงแบบPowerfulหรือโชว์ความสามารถที่มีออกมาได้ทั้งหมด ทั้งเสียงสูง ความแข็งแรง โน้ตยากๆซึ่งมันทำให้คนฟังอึ้งหรือทึ่งในความสามารถที่มีอยู่และเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเร็วหรือเพลงช้าที่เน้นพลังเสียงที่มีมากไปพร้อมๆกัน ส่วนใหญ่เราจะเห็นตามรายการประกวดในกลุ่มที่มาสายDiva แต่อย่าลืมว่านักร้องที่จะเป็นDivaได้เค้าไม่ได้มีดีแค่พลังเสียงอย่างเดียวนะ
นักร้องที่มีคุณภาพการร้องที่ดี ในความคิดผมคือนักร้องที่บอกความเป็นตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุด(แต่ต้องสายร้องนะสายอื่นไม่รวม) ไม่ว่าเพลงนั้นจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม นักร้องที่มีคุณภาพจะรู้ว่าควรตกแต่งและเรียบเรียงเพลงอย่างไรที่จะทำให้เพลงออกมาดีที่สุด ซึ่งบางทีมันไม่ต้องโชว์ทักษะอะไรมากมายเป็นพิเศษอย่างเช่นเพลงแนวBalladที่ไม่ต้องโชว์ความสามารถด้านการร้องอะไรที่มากมายก็สามารถทำให้คนฟังประทับใจได้ แตกต่างจากนักร้องที่เก่งเพราะหลายๆครั้งเลือกโชว์ความสามารถด้านการร้องอย่างเดียว แต่ไม่เลือกโชว์ความสามารถด้านอื่นๆ ถามว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร? คนฟังก็คงรู้สึกทึ่งที่สามารถโชว์ทักษะการร้องในสิ่งที่ยากๆได้ ส่วนนักร้องที่มีคุณภาพส่วนใหญ่จะทำให้คนฟังประทับใจและความรู้สึกยังค้างอยู่ในใจมากกว่าหรือที่เรียกว่าอารมณ์ค้างนั่นล่ะนะ
ผมขอยกตัวอย่างนึงละกันครับ
Kathie Kin - Kpopstar Audition 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Grace Shin - Kpopstar Audition 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บางครั้งการที่คนคนนึงทำอะไรที่มันพอดีและเหมาะสมกับตัวเองและทำให้ผู้ฟังประทับใจได้ แม้ว่ามันเหมือนไม่มีอะไรสู้คนอื่นได้เลยก็ตาม แต่มันกลับดูดีมีคุณภาพมากกว่าคนที่ทำอะไรๆได้เหนือกว่าคนอื่นๆอย่างมากมายนะ
ปล. ข้อมูลตรงนี้จะมีผลกับ*******20อันดับไอดอลGGที่มีทักษะการร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุด********ขอเปลี่ยนเป็นวันอังคารนะครับช่วงเวลาจอดูความเหมาะสมอีกทีครับ ขออภัยด้วย
ตรงนี้คือข้อมูลความแตกต่างระหว่างแนวเพลงแต่ละแนวครับเผื่อใครอยากอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพลงทั่วๆไปนั้น ถ้าแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆแล้ว ก็จะมีหลักๆคือ
1.POP - แนวเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกร่าเริง สดใส มันจะรู้สึก ป๊อบๆ อยู่ข้างใน
ซึ่งจะไม่ค่อยจำกัดเครื่องดนตรีที่ใช้ซักเท่าไหร่นัก
2.JAZZ - แนวนี้ก็จะร่าเริงเหมือนกัน แต่ไม่ได้ร่าเริงเหมือน POP
Jazz จะค่อนไปทางร่าเริงแบบหรูหรา เครื่องดนตรีที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องลม(แซ๊กโซโฟน เป็นต้น)
อาจจะมีเครื่องดนตรีแบบอื่น มาเสริมก็ได้
ข้อเปรียบเทียบระหว่างร่าเริงแบบ POP กับ JAZZ คือ
Pop นั้นจะร่าเริงในอิมเมจกระโดดโลดเต้น รอยยิ้มสดใส
แต่ Jazz จะมีอิมเมจเป็นร่าเริงแบบ สุขุมนุ่มลึก รอยยิ้มที่ยิ้มแบบเล็กๆมีความสุข
3.TECHNO - แนวนี้มักจะค่อนข้างได้ยินตามเธคทั้งหลาย
Techno จะเป็นแนวเพลงที่ฟังแล้ว จะรู้สึกอยากลุกขึ้นไปเต้นไปดิ้น
ด้วยจังหวะที่หนักแน่นของเสียงทุ้มดังๆ เครื่องดนตรีที่ใช้มักจะเป็น Sound Effect เสียส่วนใหญ่
4.HIP-HOP - Hip-Hop เองก็เน้นด้วยการทำให้คนรู้สึกอยากลุกขึ้นมาเต้นเหมือนกัน
แต่จะไม่เท่า Techno เพราะ Hip-Hop ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์จริงๆ ก็จะแค่ขยับแขนขาตามจังหวะนิดหน่อยเท่านั้น
Hip-Hop มักจะใช้ Sound Effect เป็นเครื่องดนตรี
แต่สิ่งที่ Hip-Hop เน้นจริงๆคือ น้ำเสียงและการร้องของตัวนักร้องเอง
ที่จะร้องเป็นจังหวะ และใช้คำที่สัมผัสกันเป็นเนื้อ
ข้อเปรียบเทียบระหว่าง TECHNO กับ HIP-HOP คือ
Techno จะค่อนข้างหนักกว่า Hip-Hop และไม่เน้น คนร้องเท่า Hip-Hop
5.SOUL / R&B - Soul / R&B (Rythm & Blues) คือแนวเพลงที่เน้นที่เนื้อร้อง
แนวความรักซึ้งๆ กับการเล่นกับจังหวะที่พอดีกัน ดนตรีจะค่อนข้างไปทางสดใสหน่อย
แต่ยังไม่สดใสเท่ากับ Pop
ส่วนด้านเครื่องดนตรีก็จะไม่ค่อยจำกัดแนว แต่มักจะใช้ Sound Effect ประกอบนิดหน่อย
6.Ballad - เป็นอีกแนวที่เล่นที่น้ำเสียงของคนร้องกับเนื้อที่จะออกแนวรักซึ้งๆ
ซึ่งค่อนข้างจะซึ้งกว่า Soul/R&B ดนตรี จะใช้จังหวะที่ช้ามาก ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
(อาจจะมีเร็วบ้าง แต่ไม่เร็วมาก ซึ่ง Ballad แบบเร็วนั้นจะค่อนข้างหายากนิดนึง)
อิมเมจของ Ballad คือ ผู้หญิงวัยแรกเริ่มมีความรัก
เครื่องดนตรี ก็ไม่จำกัดแนวเช่นกัน และมี Sound Effect ประกอบบ้าง
ข้อเปรียบเทียบระหว่าง Soul/R&B กับ Ballad คือ
S/R&B จะเร็วกว่าและมีอิมเมจที่เน้นด้านความรัก
ส่วน Ballad จะช้ากว่ามาก อิมเมจก็จะเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความรักครั้งแรก
7.ROCK - แนวนี้เป็นแนวที่แพร่หลายออกไปค่อนข้างมาก
และยังมีการแตกแขนงออกเป็น Sub Culture ต่างๆ มากกว่าแนวเพลงอื่นๆ
Rock จะเป็นแนวเพลงที่ฟังแล้วเร้าใจ ตื่นเต้น เท่ ร้อนแรง
มีลักษณะที่เหมือนจะขยับไปขยับมาตลอดเวลา
Rock ไม่จำเป็นจะต้องใช้จังหวะที่หนักหน่วงหรือเร็วๆ แต่แค่ฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นหรือเร้าใจก็เพียงพอแล้ว
อย่างที่พวกฝรั่งเวลาทำอะไรที่ตื่นเต้นเค้าก็จะตะโกนว่า "It's Rock me!!!"
(สังเกตได้จากสมัยก่อน พวกวง Queen หรือ Deep Purple
ถึงแม้เค้าจะไม่ได้เล่นดนตรีที่หนักหน่วง หนำซ้ำ บางเพลงออกจะช้าด้วยซ้ำ
แต่ทั้งพวกเค้าและผู้ฟังก็บอกว่ามัน Rock)
8.FUNK - เป็นแนวเพลงอีกแนวนึง ที่ฟังแล้วรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น
แต่จุดที่ต่างจาก Rock อย่างเห็นได้ชัดคือ Funk จะออกแนวตื่นเต้นเร้าใจแบบ นิ่งๆ สุขุม
ถ้าเป็นอิมเมจ ก็คงเป็นคนใส่ชุดดำ เท่ๆ นิ่งๆ
เครื่องดนตรีของเพลงแนวนี้ ก็จะเน้นเครื่องดนตรีแนวหนักๆทั้งหลาย
เช่น กีตาร์ไฟฟ้า เบสไฟฟ้า กลองชุดใหญ่ๆ
[เกร็ดความรู้]นักร้องที่ร้องเพลงเก่งกับนักร้องที่มีคุณภาพในการร้องที่ดีแตกต่างกันอย่างไรมาดูกัน
ขั้นแรกมาทำความเข้าใจศัพท์ทางด้านดนตรีกันก่อน
- การเปิดคอ(Open throat) คือการเปิดคอให้กว้างเวลาร้องเพลงในทุกๆตัวโน๊ต
- เร้นจ์ของเสียง(Vocal Range) คือระยะห่างหรือความกว้างของช่องเสียง
- การสั่นของเสียง(Vibrato) คือลักษณะเสียงที่สั่นโดยธรรมชาติเวลาร้องเพลง(บ้านเราเรียกว่าลูกคอ7ชั้น)
- อิสระในการใช้เสียง(Free Tone) หรือเรียกอีกชื่อว่าอิมโพรไวส์,แอดลิปนั่นเองรวมทั้งลูกเล่นในเสียงที่ไม่มีในเนื้อเพลงด้วย
- ความเครียดของเสียง(Strain) คือลักษณะของเสียงที่เกร็งเกินไป หรือทำให้เสียงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บ ถามว่าจุดนี้เกี่ยวอะไร มันเกี่ยวตรงที่นักร้องสายหลักทุกคนต้องร้องเสียงที่สูงกว่าเสียงกลาง(โทนเสียงธรรมชาติ)ของตัวเอง ทำให้เวลาร้องเสียงสูงมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับนักร้องทุกคน เพราะฉะนั้นมันหลักเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ใครทำให้มันเกิดขึ้นได้น้อยที่สุด นั่นแหละถึงเรียกว่าเก่งจริง ข้อมูลตรงนี้จึงทำให้เป็นคุณสมบัติอีก1ข้อสำหรับการวัด นักร้องที่มีความสามารถในการร้องเพลงที่เก่งที่สุดได้
- Inner คืออารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อเพลงเพลงนั้น มาจากน้ำเสียงหรือการตีความเนื้อเพลงของนักร้อง
ข้อมูลนี้คือพื้นฐานของการเป็นนักร้องทั่วไปครับ
คุณภาพ หมายถึง การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเป็นไปตามข้อกำหนดที่ต้องการหรือเหมาะสมกับการใช้งาน โดยสินค้าหรือบริการนั้นสร้างความพอใจให้กับลูกค้า คุณภาพของการออกแบบและความสอดคล้องในการดำเนินงาน
เก่งในความหมายนี้ หมายถึง การที่นักร้องคนนึงสามารถทำอะไรได้เหนือกว่าคนอื่นๆหรือการที่นักร้องคนนึงทำได้ดีกว่าคนอื่นเมื่อเปรียบเทียบในลักษณะเดียวกัน
นักร้องที่ร้องเพลงได้เก่งส่วนใหญ่คือนักร้องที่เน้นไปทางPowerและRangeของเสียง ซึ่งมันสามารถร้องเพลงแบบPowerfulหรือโชว์ความสามารถที่มีออกมาได้ทั้งหมด ทั้งเสียงสูง ความแข็งแรง โน้ตยากๆซึ่งมันทำให้คนฟังอึ้งหรือทึ่งในความสามารถที่มีอยู่และเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเร็วหรือเพลงช้าที่เน้นพลังเสียงที่มีมากไปพร้อมๆกัน ส่วนใหญ่เราจะเห็นตามรายการประกวดในกลุ่มที่มาสายDiva แต่อย่าลืมว่านักร้องที่จะเป็นDivaได้เค้าไม่ได้มีดีแค่พลังเสียงอย่างเดียวนะ
นักร้องที่มีคุณภาพการร้องที่ดี ในความคิดผมคือนักร้องที่บอกความเป็นตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุด(แต่ต้องสายร้องนะสายอื่นไม่รวม) ไม่ว่าเพลงนั้นจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม นักร้องที่มีคุณภาพจะรู้ว่าควรตกแต่งและเรียบเรียงเพลงอย่างไรที่จะทำให้เพลงออกมาดีที่สุด ซึ่งบางทีมันไม่ต้องโชว์ทักษะอะไรมากมายเป็นพิเศษอย่างเช่นเพลงแนวBalladที่ไม่ต้องโชว์ความสามารถด้านการร้องอะไรที่มากมายก็สามารถทำให้คนฟังประทับใจได้ แตกต่างจากนักร้องที่เก่งเพราะหลายๆครั้งเลือกโชว์ความสามารถด้านการร้องอย่างเดียว แต่ไม่เลือกโชว์ความสามารถด้านอื่นๆ ถามว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร? คนฟังก็คงรู้สึกทึ่งที่สามารถโชว์ทักษะการร้องในสิ่งที่ยากๆได้ ส่วนนักร้องที่มีคุณภาพส่วนใหญ่จะทำให้คนฟังประทับใจและความรู้สึกยังค้างอยู่ในใจมากกว่าหรือที่เรียกว่าอารมณ์ค้างนั่นล่ะนะ
ผมขอยกตัวอย่างนึงละกันครับ
Kathie Kin - Kpopstar Audition 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Grace Shin - Kpopstar Audition 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บางครั้งการที่คนคนนึงทำอะไรที่มันพอดีและเหมาะสมกับตัวเองและทำให้ผู้ฟังประทับใจได้ แม้ว่ามันเหมือนไม่มีอะไรสู้คนอื่นได้เลยก็ตาม แต่มันกลับดูดีมีคุณภาพมากกว่าคนที่ทำอะไรๆได้เหนือกว่าคนอื่นๆอย่างมากมายนะ
ปล. ข้อมูลตรงนี้จะมีผลกับ*******20อันดับไอดอลGGที่มีทักษะการร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุด********ขอเปลี่ยนเป็นวันอังคารนะครับช่วงเวลาจอดูความเหมาะสมอีกทีครับ ขออภัยด้วย
ตรงนี้คือข้อมูลความแตกต่างระหว่างแนวเพลงแต่ละแนวครับเผื่อใครอยากอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้