ส่วนตัวไม่ได้ดูหนังตอนเข้าโรงภาคแรก แต่เห็นหลายคนชมเลยหาแผ่นมาดู เลยเข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นหนังฮิตระเบิดแบบเงียบๆขึ้นมาได้
เพราะถึงแม้หน้าหนังจะดูไม่มีอะไร แต่เนื้อในกลับมีการพยายามปรับใส่อะไรหลายๆอย่างลงไปจนกลายเป็นหนังแนววัยรุ่นที่สนุกและมีเอกลักษณ์มาก ไม่ว่าจะเป็น สไตล์ตัวละครหนังวัยรุ่นห่ามๆเฮี้ยวๆแต่น่าเชียร์ น่าจดจำ การทำหนังแนว Musical ที่ยังอุตส่าห์หาความต่างจากหนังเรื่องอื่นๆด้วยการหันไปเจาะที่วงการอะคาเปลล่าแทน การเรียบเรียงดนตรีที่เพราะทุกเพลง มีลูกเล่นและแปลกไปจากหนังร้องเพลงเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ในส่วนของเนื้อหาก็ยังมีการสอดแทรกประเด็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่ทำให้หนังน่าสนใจขึ้นลงไป อย่างเช่น การยึดติดธรรมเนียมเดิมๆโดยไม่สนใจสิ่งใหม่ๆ การยอมรับและเรียนรุ้ของตัวเอกในแต่ละฝั่งว่าของเก่าๆและของใหม่ๆต่างก็มีดีในตัวของมัน ฯลฯ
สนุก ฮา เนื้อเรื่องไม่กลวง เพลงเพราะ ตัวละครน่าจดจำ นี่คือจุดดีทุกอย่างที่ Pitch Perfect 2 มีครบแบบที่ภาคหนึ่งมี แต่สิ่งที่รู้สึกว่าด้อยกว่าภาคแรกหลักๆเลยคือ
1. เสียดายตรงที่ชั้นเชิงในการนำเสนอยังเทียบกับภาคแรกไม่ได้ เส้นเรื่องมีประเด็นน่าสนใจอย่างคนที่มีเป้าหมายชัดเจนในโลกหลังการศึกษาและคนที่ยังกลัว ไม่อยากจากชีวิตที่สนุกสนานในรั้วมหาลัยอยู่ ซึ่งค่อยๆกลายเป็นรอยร้าวในทีมโดยที่ทุกคนไม่ทันรู้ตัว แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงลึกหรือทำให้ชัดเจนเท่าไหร่ (แต่ที่ทำได้ดีก็มี เช่นประเด็นที่วง Bellas หลงทางไปใส่ใจในเรื่องอื่นๆของโชว์มากไป จนลืมถึงแก่นของการร้องและแนวดนตรีที่เคยทำได้ดีของตัวเอง เป็นต้น)
2. ในแง่มิตรภาพความเป็นทีมภาคนี้ก็ดูแปร่งๆ ใครที่เด่นในภาคแรก ภาคนี้จะเด่นมาก บทเยอะมากแบบตั้งใจเน้นขายเต็มๆ ส่วนใครที่เป็นตัวรองๆในภาคที่แล้วกลับโดนลดชั้นไปเป็นตัวประกอบเกือบหมด ส่วนใครที่เป็นตัวประกอบภาคที่แล้ว ภาคนี้ยิ่งไม่มีอะไรให้จำได้เลยไม่มีแม้แต่บทพูดด้วยซ้ำ(ซึ่งหนังก็มีแซวตัวเองในจุดนี้ด้วยในฉากรอบกองไฟ) ที่สำคัญที่คิดว่าแปลกมากคือ ตัวละครในวงทั้งสาม Level นี้แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลย! เช่น เบคกาแทบไม่ได้พูดหรือทำอะไรร่วมกับตัวละครรองๆเลย มีแต่บทพูดกับ Fat Amy น้องใหม่ และสาวรุ่นพี่ผมแดง ซึ่งดูแล้วแปลกมาก(ภาค 1 ไม่ขนาดนี้)
3. ที่ค่อนข้างไม่ชอบคือใส่บท+ให้ซีนให้ตัวละครน้องใหม่ที่เป็นทายาทวงเบลลาส์ กับสาวลี้ภัยเยอะมาก(ซึ่งมุกของสองคนนี้ภาพรวมค่อนข้างแป๊ก) จนกลายเป็นว่าตัวจี๊ดๆฮาๆตัวเก่าๆในภาคแรก อย่างสาวดาวยั่ว สาวทอม กับสาวเพี้ยนเสียงเบาบทหาย แถมไม่มีจุดเด่นให้น่าจดจำซะงั้น ทั้งที่ภาคแรกก็ไม่ใช่ว่ามีบทบาทอะไรมาก แต่ก็ยังเหมือนมีเส้นเรื่องหรือมุกที่ชงให้เน้นๆบ้าง แต่อันนี้ไม่มีอะไรเลย แถมตอนท้ายๆยังจมหายไปจนเป็นแค่ตัวประกอบอีก
4. จุดขายหลักอีกอย่างอย่างเรื่องเพลง โดยภาพรวมแล้วมันก็เพราะ เน้นไปทางเพลงวัยรุ่น ป๊อบ ร็อค EDM ร่วมสมัย แต่ก็ยังเรียบเรียงออกมาได้ดี และในแง่การโชว์ก็มีอะไรแปลกใหม่ขึ้นมามาก เสียแค่ว่าพอเทียบกับภาคแรกแล้วมันยังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ บางเพลง บางโชว์กำลังจะพีคๆ ก็ดันรีบตัดจบไปซะงั้น(เสียดาย Baby Got Back และจังหวะ riff off รอบสุดท้ายที่ถูกขัดด้วย Flashlight มาก) และที่สำคัญ โชว์เพลง Finale ของภาคนี้ถ้าเทียบกับภาคแรกยังถือว่าดูเรียบๆ ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ทั้งของทีมตัวเอกและทีมคู่ปรับ คือก็ดีตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับว้าวเท่าที่ควร
5. อันนี้ติดใจนิดนึงกับประเด็นที่สอดแทรกมาว่า เป็นวงอะแคปเปล่า ถ้าเอาแต่ Cover เพลงคนอื่นคือไม่เจ๋ง เทียบกับคนที่แต่งเพลงเองขึ้นไปโชว์ไม่ได้ อันนี้ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นคนในวงการอะแคปเปลล่าจริงๆจะรู้สึกแหม่งๆมั้ยนะ คือตอนดูผมชอบที่หนังค่อยๆเล่าถึงการแต่งเพลง Flashlight จนถึงการตัดสินใจเอามาใส่ในโชว์ตอนสุดท้ายนะ แต่พอหนังจบกลับมาคิดอีกทีถ้าผมอยู่ในวงการศิลปะแบบนึง แล้วมีหนังที่ทำเกี่ยวกับวงการนั้นๆและมาบอกว่าทำแบบนี้คือไม่เจ๋งเท่าอีกแบบ ผมคงรู้สึกแปลกๆ
สรุปเลย คือผมอาจจะพูดเหมือนหนังไม่ค่อยดีแต่จริงๆมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ถ้าใครอยากดูหนังที่มีเพลงเพราะๆ โชว์สนุกๆ ดูเพลิน น่าประทับใจ มีบทที่ฮาๆกวนๆยังไงก็ไม่ควรพลาด คอนเฟิร์มว่าคุ้มค่าตั๋วแน่นอน เพราะโดยภาพรวมของหนังมันมีช่วงเวลาที่ได้หัวเราะและได้ความประทับใจในตัวละครหลักไปเยอะทีเดียว(โดยเฉพาะ Fat Amy ภาคนี้จัดเต็มสุดๆ) ช่วงแรกๆอาจจะดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ครึ่งหลังตั้งแต่ช่วงเข้าแคมป์ปรับใจเป็นต้นมาถือว่าทำได้ดี และก็มีประเด็นที่นำเสนอได้น่าสนใจอยู่มากเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าหนังให้ความใส่ใจกับบทได้ดีประมาณนึงเลย
แต่ก็อย่างที่บอกคือสำหรับผมภาคแรกทำ Performance ไว้สูงมาก มีองค์ประกอบที่เอามารวมกันแล้วมันทำให้แปลกใหม่สุดๆ ทั้งเนื้อเรื่อง เพลง ตัวละคร มุกฮาๆ ซึ่งภาคนี้ทุกองค์ประกอบที่ว่ามามันก็ทำได้ดี ผ่านมาตรฐานเดิมหมด แต่ถ้าเทียบกันแล้วมันเหมือนยังร้องเพลงได้ไม่ฮิตโน้ตตัวเดิมที่เคยทำได้เท่านั้นเอง
คะแนน 6.5/10 (เกรด B)
ป.ล. ดูจบอย่าเพิ่งรีบลุก ใครพลาดฉาก The Voice ตอน Mid-credit นี่ถือว่าพลาดจริงๆครับ มันฮามากกกกกกกก
{Review} Pitch Perfect 2 : โชว์ร้องเพลงที่สนุกและประทับใจแต่ไม่ฮิตโน้ต
ส่วนตัวไม่ได้ดูหนังตอนเข้าโรงภาคแรก แต่เห็นหลายคนชมเลยหาแผ่นมาดู เลยเข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นหนังฮิตระเบิดแบบเงียบๆขึ้นมาได้
เพราะถึงแม้หน้าหนังจะดูไม่มีอะไร แต่เนื้อในกลับมีการพยายามปรับใส่อะไรหลายๆอย่างลงไปจนกลายเป็นหนังแนววัยรุ่นที่สนุกและมีเอกลักษณ์มาก ไม่ว่าจะเป็น สไตล์ตัวละครหนังวัยรุ่นห่ามๆเฮี้ยวๆแต่น่าเชียร์ น่าจดจำ การทำหนังแนว Musical ที่ยังอุตส่าห์หาความต่างจากหนังเรื่องอื่นๆด้วยการหันไปเจาะที่วงการอะคาเปลล่าแทน การเรียบเรียงดนตรีที่เพราะทุกเพลง มีลูกเล่นและแปลกไปจากหนังร้องเพลงเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ในส่วนของเนื้อหาก็ยังมีการสอดแทรกประเด็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่ทำให้หนังน่าสนใจขึ้นลงไป อย่างเช่น การยึดติดธรรมเนียมเดิมๆโดยไม่สนใจสิ่งใหม่ๆ การยอมรับและเรียนรุ้ของตัวเอกในแต่ละฝั่งว่าของเก่าๆและของใหม่ๆต่างก็มีดีในตัวของมัน ฯลฯ
สนุก ฮา เนื้อเรื่องไม่กลวง เพลงเพราะ ตัวละครน่าจดจำ นี่คือจุดดีทุกอย่างที่ Pitch Perfect 2 มีครบแบบที่ภาคหนึ่งมี แต่สิ่งที่รู้สึกว่าด้อยกว่าภาคแรกหลักๆเลยคือ
1. เสียดายตรงที่ชั้นเชิงในการนำเสนอยังเทียบกับภาคแรกไม่ได้ เส้นเรื่องมีประเด็นน่าสนใจอย่างคนที่มีเป้าหมายชัดเจนในโลกหลังการศึกษาและคนที่ยังกลัว ไม่อยากจากชีวิตที่สนุกสนานในรั้วมหาลัยอยู่ ซึ่งค่อยๆกลายเป็นรอยร้าวในทีมโดยที่ทุกคนไม่ทันรู้ตัว แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงลึกหรือทำให้ชัดเจนเท่าไหร่ (แต่ที่ทำได้ดีก็มี เช่นประเด็นที่วง Bellas หลงทางไปใส่ใจในเรื่องอื่นๆของโชว์มากไป จนลืมถึงแก่นของการร้องและแนวดนตรีที่เคยทำได้ดีของตัวเอง เป็นต้น)
2. ในแง่มิตรภาพความเป็นทีมภาคนี้ก็ดูแปร่งๆ ใครที่เด่นในภาคแรก ภาคนี้จะเด่นมาก บทเยอะมากแบบตั้งใจเน้นขายเต็มๆ ส่วนใครที่เป็นตัวรองๆในภาคที่แล้วกลับโดนลดชั้นไปเป็นตัวประกอบเกือบหมด ส่วนใครที่เป็นตัวประกอบภาคที่แล้ว ภาคนี้ยิ่งไม่มีอะไรให้จำได้เลยไม่มีแม้แต่บทพูดด้วยซ้ำ(ซึ่งหนังก็มีแซวตัวเองในจุดนี้ด้วยในฉากรอบกองไฟ) ที่สำคัญที่คิดว่าแปลกมากคือ ตัวละครในวงทั้งสาม Level นี้แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลย! เช่น เบคกาแทบไม่ได้พูดหรือทำอะไรร่วมกับตัวละครรองๆเลย มีแต่บทพูดกับ Fat Amy น้องใหม่ และสาวรุ่นพี่ผมแดง ซึ่งดูแล้วแปลกมาก(ภาค 1 ไม่ขนาดนี้)
3. ที่ค่อนข้างไม่ชอบคือใส่บท+ให้ซีนให้ตัวละครน้องใหม่ที่เป็นทายาทวงเบลลาส์ กับสาวลี้ภัยเยอะมาก(ซึ่งมุกของสองคนนี้ภาพรวมค่อนข้างแป๊ก) จนกลายเป็นว่าตัวจี๊ดๆฮาๆตัวเก่าๆในภาคแรก อย่างสาวดาวยั่ว สาวทอม กับสาวเพี้ยนเสียงเบาบทหาย แถมไม่มีจุดเด่นให้น่าจดจำซะงั้น ทั้งที่ภาคแรกก็ไม่ใช่ว่ามีบทบาทอะไรมาก แต่ก็ยังเหมือนมีเส้นเรื่องหรือมุกที่ชงให้เน้นๆบ้าง แต่อันนี้ไม่มีอะไรเลย แถมตอนท้ายๆยังจมหายไปจนเป็นแค่ตัวประกอบอีก
4. จุดขายหลักอีกอย่างอย่างเรื่องเพลง โดยภาพรวมแล้วมันก็เพราะ เน้นไปทางเพลงวัยรุ่น ป๊อบ ร็อค EDM ร่วมสมัย แต่ก็ยังเรียบเรียงออกมาได้ดี และในแง่การโชว์ก็มีอะไรแปลกใหม่ขึ้นมามาก เสียแค่ว่าพอเทียบกับภาคแรกแล้วมันยังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ บางเพลง บางโชว์กำลังจะพีคๆ ก็ดันรีบตัดจบไปซะงั้น(เสียดาย Baby Got Back และจังหวะ riff off รอบสุดท้ายที่ถูกขัดด้วย Flashlight มาก) และที่สำคัญ โชว์เพลง Finale ของภาคนี้ถ้าเทียบกับภาคแรกยังถือว่าดูเรียบๆ ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ทั้งของทีมตัวเอกและทีมคู่ปรับ คือก็ดีตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับว้าวเท่าที่ควร
5. อันนี้ติดใจนิดนึงกับประเด็นที่สอดแทรกมาว่า เป็นวงอะแคปเปล่า ถ้าเอาแต่ Cover เพลงคนอื่นคือไม่เจ๋ง เทียบกับคนที่แต่งเพลงเองขึ้นไปโชว์ไม่ได้ อันนี้ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นคนในวงการอะแคปเปลล่าจริงๆจะรู้สึกแหม่งๆมั้ยนะ คือตอนดูผมชอบที่หนังค่อยๆเล่าถึงการแต่งเพลง Flashlight จนถึงการตัดสินใจเอามาใส่ในโชว์ตอนสุดท้ายนะ แต่พอหนังจบกลับมาคิดอีกทีถ้าผมอยู่ในวงการศิลปะแบบนึง แล้วมีหนังที่ทำเกี่ยวกับวงการนั้นๆและมาบอกว่าทำแบบนี้คือไม่เจ๋งเท่าอีกแบบ ผมคงรู้สึกแปลกๆ
สรุปเลย คือผมอาจจะพูดเหมือนหนังไม่ค่อยดีแต่จริงๆมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ถ้าใครอยากดูหนังที่มีเพลงเพราะๆ โชว์สนุกๆ ดูเพลิน น่าประทับใจ มีบทที่ฮาๆกวนๆยังไงก็ไม่ควรพลาด คอนเฟิร์มว่าคุ้มค่าตั๋วแน่นอน เพราะโดยภาพรวมของหนังมันมีช่วงเวลาที่ได้หัวเราะและได้ความประทับใจในตัวละครหลักไปเยอะทีเดียว(โดยเฉพาะ Fat Amy ภาคนี้จัดเต็มสุดๆ) ช่วงแรกๆอาจจะดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ครึ่งหลังตั้งแต่ช่วงเข้าแคมป์ปรับใจเป็นต้นมาถือว่าทำได้ดี และก็มีประเด็นที่นำเสนอได้น่าสนใจอยู่มากเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าหนังให้ความใส่ใจกับบทได้ดีประมาณนึงเลย
แต่ก็อย่างที่บอกคือสำหรับผมภาคแรกทำ Performance ไว้สูงมาก มีองค์ประกอบที่เอามารวมกันแล้วมันทำให้แปลกใหม่สุดๆ ทั้งเนื้อเรื่อง เพลง ตัวละคร มุกฮาๆ ซึ่งภาคนี้ทุกองค์ประกอบที่ว่ามามันก็ทำได้ดี ผ่านมาตรฐานเดิมหมด แต่ถ้าเทียบกันแล้วมันเหมือนยังร้องเพลงได้ไม่ฮิตโน้ตตัวเดิมที่เคยทำได้เท่านั้นเอง
คะแนน 6.5/10 (เกรด B)
ป.ล. ดูจบอย่าเพิ่งรีบลุก ใครพลาดฉาก The Voice ตอน Mid-credit นี่ถือว่าพลาดจริงๆครับ มันฮามากกกกกกกก