ตอนนี้ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่งงานมีครอบครัวกับสามีต่างชาติ และมีลูกสองคน กำลังอยู่ในวัยเตรียมอนุบาล ดิฉันเจอกับแฟนทางอินเตอร์เนต แต่ด้วยความบังเอิญเพราะดิฉันเข้าไปเป็นสมาชิกของเวปนั้น ด้วยเพื่อนอยากมีแฟนต่างชาติ แต่ติดเรื่องภาษา ดิฉันเลือกหาเพื่อนคุย ไม่ได้เลือกหาคู่ เพราะดิฉันไม่รู้สึกชอบคนต่างชาติ เวลามีคนถามว่าสเปกดิฉันเป็นแบบไหน ดิฉันจะบอกเลยต้องคนไทย ไม่ชอบฝรั่ง ต่างชาติ ต่างศาสนา ขี้เกียจปรับตัว (ดิฉันเป็นคนหัวโบราณ)
หลังจากเป็นสมาชิกในเวปนั้นแล้วก็มีฝรั่งเข้ามาทักในเมล์ หลายคนมากแต่ดิฉันก็ตอบไปว่า ดิฉันทำงานยุ่งมาก ถ้ามีเวลาจะมาตอบ แต่ในความคิดของฝรั่งหมายถึงการปฏิเสธ ดิฉันก็ไม่ได้สนใจ แต่มีอยู่คนเดียวที่ยังเมล์ตอบดิฉันมาแล้วพูดคุยสุภาพ ดิฉันก็เลยเลือกคุยกับเขาคนเดียวเพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้น่าจะดูเป็นคนมีการศึกษา ตอนนั้นเขาเขียนว่าเขาทำงานเป็นกุมารแพทย์แต่เขาไมได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เขาสะกดเป็นภาษาของบ้านเขา ดิฉันก็หาความหมายไม่เจอ ก็เดาไปเองว่า คงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเหมือนกับดิฉันตอนนั้นที่รับราชการ เขาบินมาหาดิฉันที่เมืองไทยช่วงวันเกิดของดิฉัน แต่ดิฉันยังรู้สึกว่าการเดินกับฝรั่งจะถูกคนดูถูก ดิฉันจึงหลบหน้าไม่เจอเขา จนเขาบอกว่าสิบวันแล้วยังไม่ออกไปเจอ เขาก็จะกลับ ดิฉันเลยยอมไปเจอเขา แต่จะไปหลังเลิกงาน พาไปทานข้าวเสร็จ ขับรถพาไปส่งเขาหน้าโรงแรมที่พักของเขา ดิฉันไม่เคยลงจากรถคือไปจอดรับ และพาไปส่ง ขนาดไปไหนมาไหนดิฉันยังใส่เสื้อที่มีตราของหน่วยงานที่ดิฉันทำอยู่ ^_^ (แคร์คนมากไปหน่อยตอนนั้นค่ะ)
หลังจากเขากลับประเทศไป เขาก็ส่งเมล์มาคุยกับดิฉันว่า คนที่คุยในเมล์ดูสนุกสนาน ต่างกับคนที่เขาไปเจอ เพราะดูระวังตัวมาก เขาเลยบอกว่าเขาเป็นคนมีฐานะนะ มีบ้านหลังใหญ่ มีบ้านเช่า เคยมีบริษัทที่มีพนักงานเป็นพันคน ดิฉันก็ตอบไปแบบท้าทายว่า ดิฉันจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ใครๆก็เขียนได้ว่ารวย แค่พิมพ์ลงไป ไม่เห็นยาก เขาก็เลยตอบกลับมาอีกว่า งั้นเขาจะเชิญดิฉันไปเที่ยว แล้วเขาก็ส่งเอกสารรับรองไปยื่นทำวีซ่า ดิฉันก็ลางานไปสองสัปดาห์ โดยที่มีแต่เพื่อนฝูงและผุ้ใหญ่หลายๆ คนห่วงใย และเรียกไปพบว่า ดิฉันคิดดีแล้วหรือ เพราะตลอดเวลาดิฉันทำแต่งาน แล้วไม่เคยได้ข่าวว่าดิฉันเดินทางท่องเที่ยวไปที่ไหน ดิฉันก็เลยบอกกับทุกคนว่า ดิฉันเรียนมาก็เยอะ ถ้าจะถูกหลอก ขอให้เป็นบทเรียนที่เอาไว้สอนและเตือนสติคนไทยที่ตัดสินใจจะไปต่างประเทศหลายๆคนก็แล้วกัน ดิฉันก็กึ่งๆ เริ่มกลัวเหมือนกันนะคะ แต่เขาเชิญมาแล้ว เหมือนรับคำท้า ต้องไปให้เห็น
พอดิฉันไปถึงประเทศที่เขาอยู่ ดิฉันถึงได้ไปเห็นว่า เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 3500 ไร่ รายล้อมด้วยบ้านอีก 7-8 หลังสำหรับให้คนเช่า ดิฉันตอนนั้นแค่รุ้สึกดียังไม่ได้คิดว่ารัก อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะจริงจัง เขาขอดิฉันแต่งงานสองวันก่อนที่ดิฉันจะกลับเมืองไทย ตอนเขาพูดเรื่องขอแต่งงาน ดิฉันคิดในใจว่าพอรุ้มาบ้างว่าฝรั่งจะรับไม่ได้ตรงไหนบ้าง ดิฉันก็เริ่มเลยดิฉันมีเงื่อนไขนิดเดียว 4 ข้อเอง ฮ่าาาาา คิดเลยยังไงรับรองพี่แกถอย ขอเป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะเลิกคบก็แล้วแต่เขา ดิฉันเลยขอเขาไปว่า
1. ขอจดทะเบียนสมรสนะ ดิฉันอยากมีสถานภาพเป็นนาง (ตอนนั้น 38 แล้ว)
2. ขอบ้านหนึ่งหลังให้พ่อกับแม่ นั่นคือความฝันที่แม่จะคุยเสมอว่า ถ้าแม่มีบุญแม่คงได้อยุ่บ้านใหม่ (ดิฉันแพลนไว้แล้วว่าจะกู้เงินเพื่อสร้างให้ท่านอยู่แล้ว)
3. ขอส่งเงินให้พ่อกับแม่ ดิฉันให้เหตุผลว่า เพราะมันเป็นหน้าที่ๆ ลูกคนไทยส่วนมากทำกัน และดิฉันก็ทำตั้งแต่ดิฉันเริ่มทำงาน (ตอนนั้นทำราชการเงินเดือนน้อยดิฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน ไม่มีเงินให้ท่าน แต่จะพาออกไปทานข้าวนอกบ้านเดือนละ 1-2 ครั้ง)
4. ขอเรียนหนังสือ ดิฉันชอบการเรียน
ดิฉันคิดว่ายังไง รับไม่ได้ชัวร์ รอดละตู เขาอึ้งไปพักใหญ่เลยนะคะ แล้วเขาก็บอกว่า สิ่งที่เธอขอมาถ้าผมรับได้ทั้งหมดล่ะ ดิฉันตกใจนะ เพราะคิดว่าจะโดนปฏิเสธ แต่ไหงมาบอกรับได้หมดละเนี่ย ครั้นจะบอกไปว่าพูดเล่น ก็คงโดนเขาต่อว่าแน่ๆ เผลอๆ จะลามไปถึงผุ้หญิงไทยทั้งหมด ดิฉันเลยตอบเขาไปว่า ถ้าเธอรีบได้ฉันก็ตกลง เขาดีใจ รีบไปหยิบแชมเปญที่ซ่อนไว้ มาเปิดฉลอง พร้อมกับเอกสารให้นำกลับไปยื่นวีซ๋าเพื่อกลับไปเข้าพิธีแต่งงานและจดทะเบียนสมรสที่ประเทศเขา
ดิฉันต้องตัดสินใจลาออกจากงานที่รักมาก เพื่อย้ายไปอยุ่กับเขา ตอนนี้เรียกว่าสามีได้เต็มปากละ ^_^ จนตอนนี้ เข้าปีที่แปดแล้ว ปัจจุบันมีลูกสองคนกำลังซน แต่ดิฉันโชคดีที่สามีชื่นชมคนไทยที่กตัญญูต่อบุพการี เขาจะคอยถามตลอดว่าเธอส่งเงินให้พ่อแม่บ้างมั้ย ส่วนลูกๆ เขาเน้นให้พูดภาษาไทย เด็กๆจะได้เข้ากับตายายและญาติๆ หรือเพื่อนที่เมืองไทยได้ ลูกดิฉันพูดไทยชัดเจน ดิฉันสอนลูกตลอดเวลาให้ไหว้กล่าวคำสวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ ลูกก็ทำแบบไม่เคอะเขิน พ่อเขาเวลายื่นของให้ลูกเขาก็จะให้ลูกไหว้ขอบคุณเขา เขาบอกมันเป็นมารยาทที่งามสุภาพ ทางครอบครัวเราก็จะมีมีพี่เลี้ยงหรือ au-pair เป็นคนไทยมาโดยตลอด ปัจจุบันสามีสร้างกิจการร้านอาหารและที่พักให้ดิฉันเป็นคนดูแล เขาบอกว่าให้เป็นที่ฝึกงานและเป็นโรงเรียนสอนประสบการณ์การทำงานและเรียนรู้คนประเทศเขา
เพื่อนๆ หรือคนรุ้จักบอกว่า ชีวิตดิฉันเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง ได้สามีดี สามีเป็นคนขยันทำงาน ไม่เจ้าชู้ รักลูก ทำงานหนักแค่ไหนจะต้องมีเวลาให้ลูก หากิจกรรมให้กับลูก แต่รางวัลที่หนึ่งในต่างแดนมันไม่ได้นั่งเป็นคุณนายเหมือนบ้านเรา ดิฉันเป็นเจ้าของกิจการที่ต้องทำอะไรเองแทบทุกอย่าง คนไทยหลายคนจะพูดว่าดิฉันงก แต่ดิฉันกลับคิดว่าถ้าเราทำแล้วธุรกิจเรามีกำไร ทำไมเราต้องอาย ดิฉันไม่ชอบการโกหกขายได้ก็บอกได้ ขายไม่ได้ก็บอกไม่ได้ เหนื่อยสร้างเรื่อง หรือปั้นน้ำเป็นตัว ชีวิตของดิฉันมีแต่บ้านกับที่ทำงาน อยู่เมืองไทยทำงานนั่งโต๊ะ แต่งตัวสวย กลางวันขับรถไปกินข้าวในห้าง เดินชอปปิ้งเล็กๆ ย่อยอาหาร แต่เมืองนอกทำทุกอย่างเหมือนที่เขาพูดกันว่า ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ดิฉันมีพนักงานเป็นฝรั่ง ติดต่องานเอง จัดการเอง อะไรเสียก็พยายามซ่อมเอง เพราะฝรั่งมันคิดแพง คิดค่าชั่วโมงไม่พอ มันบวกค่าน้ำมันเป็นระยะทางต่อกิโลด้วย ไปคุยธุระอะไรเรื่องงานมันคิดเป็นเงินหมด
ชีวิตดิฉันตอนนี้ คงเข้ากับคำพูดฮิตตอนนี้ว่าชีวิตดี๊ดี (ขอมะโนว่าดี๊ดีนะคะ ทั้งๆที่ในชีวิตจริงต้องทำงานหนักมาก) แต่มีสามีที่แคร์ และแสนโรแมนติก สามีจัดหาของขวัญให้ทุกเทศกาลไม่ว่าปีใหม่ ครบรอบแต่งงาน วันเกิด วันคริสมาสต์ เขาให้ทุกปี ไม่เคยขาด กระเป๋าแบรนด์เนมอยากได้พาไปเที่ยวก็จะพาไปส่งถึงร้าน เลือกที่พักใกล้แหล่งช้อปปิ้งให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อทุกทีนะคะ แค่ได้มองก็สุขใจแล้ว ที่เล่ามาก็อยากชื่นชมคุณสามีค่ะ สามีทำพินัยกรรมยกบ้านและร้านให้เป็นสมบัติของดิฉันแต่เพียงผุ้เดียว นอกนั้นแบ่งครึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการหย่าหรือตาย (ปกติจะได้จากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลงไปเท่านั้น เพราะส่วนของสามีจะตกไปเป็นของลูกๆ) เขาบอกว่า เขาเชื่อใจว่าดิฉันจะเก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เป็นอย่างดีเพื่อลูกๆ และไม่มีทางที่จะคดโกงหรือทำให้มันหมดไปก่อนที่ลูกๆ จะได้ใช้มัน ดิฉันบอกเขาเสมอว่า ถ้าต้องหย่าดิฉันจะคืนให้ ดิฉันขอแค่ทุนไปตั้งตัว เพราะเขาหามาทั้งชีวิตแต่เราไปละโมภเอาของๆเขา มันไม่ถูกต้องใช่มั้ยคะ แต่ในความดี ก็มีข้อเสียนะคะ เดี๋ยวไม่งั้นใครๆก็อยากจะลุกขึ้นมาหาสามีฝรั่ง
เริ่มจากตรงนี้ จะขอเล่าถึงประสบการณ์ทีพบเจอกับปัญหาของเพื่อนคนไทย ที่ดิฉันพบเจอ ดิฉันไม่ของเล่าลงรายละเอียดมาก เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวเขาเอาเรื่องมาลงเล่า เดี๋ยวจะโดนฟ้องเอา จริงๆแล้วชีวิตของคนไทยหลายๆคน ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ต้องหางาน ต้องเก็บเงินส่งให้ทางบ้าน ซึ่งบางบ้านก็สักแต่ใช้ ประมาณว่ามีหน้าที่ส่งก็ส่งมา ไม่ได้ถามเล๊ยว่าเขาลำบากไหมกว่าจะหาเงินส่งมาให้ แต่ก็นั่นหละค่ะบางคน หรือหลายๆ คนไม่ยอมเล่าความจริงว่า ชีวิตเหน็ดเหนื่อยต้องสุ้แค่ไหน กว่าจะได้เงิน สามีก็ไม่เข้าใจเรื่องการเลี้ยงดูพ่อแม่ คิดว่าพ่อแม่ขายลูกบ้าง ขี้เีกียจไม่ยอมทำงานเลยขอลูกกินบ้าง การอยู่ร่วมกันของคนที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ดิฉันได้ยินได้ฟังมายังคิดเลยว่า ถ้าได้ยินชีวิตรันทดเมียฝรั่งทั้งหลายก่อนมาเจอสามี ดิฉันคงไม่มีทางแต่งงานกับฝรั่งแน่นอน
ดิฉันเจอใครต่อใครก็ขอให้ช่วยแนะนำฝรั่งให้หน่อย เอาแบบสามีดิฉันนะ ดิฉันก็พูดติดตลกว่า หาให้แบบนี้คงไม่มี ถ้าจะมีก็สามีดิฉันนี่หละ สนใจมั้ยพูดไม่ค่อยรุ้เรื่องนะ เถียงข้างๆ คูๆ ชอบคอมเพลน สนใจมั้ย ^_^ เชื่อมั้ยคะ ดิฉันไม่เคยแนะนำ ลูกหลาน หรือญาติให้มีสามีฝรั่ง เหมือนที่หลายๆคนทำกัน ดิฉันจะบอกเสมอว่าอยุ่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าเมืองไทยบ้านเรา เราจนเราทุกข์เราก็ยิ้มได้ เรามีคนคอยรับฟัง คอยปลอบใจเราหาเพื่อนแท้เจอ แต่ถ้าไปอยุ่ ต่างประเทศ คำว่าเพื่อนแท้นี่ลืมไปเลย ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร สามีเคยถามว่าเธอมาอยู่บ้านฉันหลายปี เธอยังคิดถึงเมืองไทยของเธออยู่ไหม ดิฉันก็ถามเขากลับว่า เธอจะเอาคำตอบจริงๆ หรือเอาใจเธอล่ะ เขาก็บอกคำตอบจริงๆ ดิฉันก็บอกว่า ดิฉันคิดถึงบ้านทุกวัน เขาก็ถามว่าเธอไม่รักผมเลยหรอ ถึงพูดแบบนี้ ดิฉันก็บอกว่าเพราะรักไงุถึงยอมอยู่ที่นุ่นกับเขา ถ้าวันไหนดิฉันย้ายกลับก็แสดงว่าไม่รักแล้ว เขาก็ถามว่าถ้าเขาตายดิฉันจะกลับเมืองไทยมั้ย ดิฉันตอบชัดเจนฉับไว ว่า....ชัวร์..... (สามีจะบ่นว่าดิฉันไม่มีความโรแมนติก ถ้ามีโรงเรียนสอนจะส่งดิฉันไปทันที เท่าไหร่ก็จะจ่าย ฮ่าาาา)
ใครที่คิดจะหาคู่ต่างชาติ ขอให้ศึกษาดีๆนะคะ ฝรั่งด๊ก็มีแยะไม่ดีก็มีเยอะ ถ้าคิดจะรักต้องให้เขาเข้าใจวัฒนธรรมเราก่อนไม่ใช่ตัดสินใจไปก่อนแล้วค่อยคุย ขอให้ฉลาดเลือก ฉลาดรัก ดิฉันเล่ามามาก ยังไม่ได้ตั้งหัวข้อเลย ต้องคิดหัวข้อกระทู้ไปด้วย หัวข้อที่ตั้งไป ก็บอกนะคะ เพื่อนและคนรอบๆข้างเขาบอกมา เลยเอามาตั้ง ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าไปหลอกเอาเงินฝรั่งมาปรนเปรอตัวเองหรือญาติมิตร เพราะไม่อยุ่ในนิสัยอันถาวรของดิฉันแต่อย่างใด
เขาบอกว่า ดิฉันได้สามีดี เหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
หลังจากเป็นสมาชิกในเวปนั้นแล้วก็มีฝรั่งเข้ามาทักในเมล์ หลายคนมากแต่ดิฉันก็ตอบไปว่า ดิฉันทำงานยุ่งมาก ถ้ามีเวลาจะมาตอบ แต่ในความคิดของฝรั่งหมายถึงการปฏิเสธ ดิฉันก็ไม่ได้สนใจ แต่มีอยู่คนเดียวที่ยังเมล์ตอบดิฉันมาแล้วพูดคุยสุภาพ ดิฉันก็เลยเลือกคุยกับเขาคนเดียวเพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้น่าจะดูเป็นคนมีการศึกษา ตอนนั้นเขาเขียนว่าเขาทำงานเป็นกุมารแพทย์แต่เขาไมได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เขาสะกดเป็นภาษาของบ้านเขา ดิฉันก็หาความหมายไม่เจอ ก็เดาไปเองว่า คงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเหมือนกับดิฉันตอนนั้นที่รับราชการ เขาบินมาหาดิฉันที่เมืองไทยช่วงวันเกิดของดิฉัน แต่ดิฉันยังรู้สึกว่าการเดินกับฝรั่งจะถูกคนดูถูก ดิฉันจึงหลบหน้าไม่เจอเขา จนเขาบอกว่าสิบวันแล้วยังไม่ออกไปเจอ เขาก็จะกลับ ดิฉันเลยยอมไปเจอเขา แต่จะไปหลังเลิกงาน พาไปทานข้าวเสร็จ ขับรถพาไปส่งเขาหน้าโรงแรมที่พักของเขา ดิฉันไม่เคยลงจากรถคือไปจอดรับ และพาไปส่ง ขนาดไปไหนมาไหนดิฉันยังใส่เสื้อที่มีตราของหน่วยงานที่ดิฉันทำอยู่ ^_^ (แคร์คนมากไปหน่อยตอนนั้นค่ะ)
หลังจากเขากลับประเทศไป เขาก็ส่งเมล์มาคุยกับดิฉันว่า คนที่คุยในเมล์ดูสนุกสนาน ต่างกับคนที่เขาไปเจอ เพราะดูระวังตัวมาก เขาเลยบอกว่าเขาเป็นคนมีฐานะนะ มีบ้านหลังใหญ่ มีบ้านเช่า เคยมีบริษัทที่มีพนักงานเป็นพันคน ดิฉันก็ตอบไปแบบท้าทายว่า ดิฉันจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ใครๆก็เขียนได้ว่ารวย แค่พิมพ์ลงไป ไม่เห็นยาก เขาก็เลยตอบกลับมาอีกว่า งั้นเขาจะเชิญดิฉันไปเที่ยว แล้วเขาก็ส่งเอกสารรับรองไปยื่นทำวีซ่า ดิฉันก็ลางานไปสองสัปดาห์ โดยที่มีแต่เพื่อนฝูงและผุ้ใหญ่หลายๆ คนห่วงใย และเรียกไปพบว่า ดิฉันคิดดีแล้วหรือ เพราะตลอดเวลาดิฉันทำแต่งาน แล้วไม่เคยได้ข่าวว่าดิฉันเดินทางท่องเที่ยวไปที่ไหน ดิฉันก็เลยบอกกับทุกคนว่า ดิฉันเรียนมาก็เยอะ ถ้าจะถูกหลอก ขอให้เป็นบทเรียนที่เอาไว้สอนและเตือนสติคนไทยที่ตัดสินใจจะไปต่างประเทศหลายๆคนก็แล้วกัน ดิฉันก็กึ่งๆ เริ่มกลัวเหมือนกันนะคะ แต่เขาเชิญมาแล้ว เหมือนรับคำท้า ต้องไปให้เห็น
พอดิฉันไปถึงประเทศที่เขาอยู่ ดิฉันถึงได้ไปเห็นว่า เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 3500 ไร่ รายล้อมด้วยบ้านอีก 7-8 หลังสำหรับให้คนเช่า ดิฉันตอนนั้นแค่รุ้สึกดียังไม่ได้คิดว่ารัก อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะจริงจัง เขาขอดิฉันแต่งงานสองวันก่อนที่ดิฉันจะกลับเมืองไทย ตอนเขาพูดเรื่องขอแต่งงาน ดิฉันคิดในใจว่าพอรุ้มาบ้างว่าฝรั่งจะรับไม่ได้ตรงไหนบ้าง ดิฉันก็เริ่มเลยดิฉันมีเงื่อนไขนิดเดียว 4 ข้อเอง ฮ่าาาาา คิดเลยยังไงรับรองพี่แกถอย ขอเป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะเลิกคบก็แล้วแต่เขา ดิฉันเลยขอเขาไปว่า
1. ขอจดทะเบียนสมรสนะ ดิฉันอยากมีสถานภาพเป็นนาง (ตอนนั้น 38 แล้ว)
2. ขอบ้านหนึ่งหลังให้พ่อกับแม่ นั่นคือความฝันที่แม่จะคุยเสมอว่า ถ้าแม่มีบุญแม่คงได้อยุ่บ้านใหม่ (ดิฉันแพลนไว้แล้วว่าจะกู้เงินเพื่อสร้างให้ท่านอยู่แล้ว)
3. ขอส่งเงินให้พ่อกับแม่ ดิฉันให้เหตุผลว่า เพราะมันเป็นหน้าที่ๆ ลูกคนไทยส่วนมากทำกัน และดิฉันก็ทำตั้งแต่ดิฉันเริ่มทำงาน (ตอนนั้นทำราชการเงินเดือนน้อยดิฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน ไม่มีเงินให้ท่าน แต่จะพาออกไปทานข้าวนอกบ้านเดือนละ 1-2 ครั้ง)
4. ขอเรียนหนังสือ ดิฉันชอบการเรียน
ดิฉันคิดว่ายังไง รับไม่ได้ชัวร์ รอดละตู เขาอึ้งไปพักใหญ่เลยนะคะ แล้วเขาก็บอกว่า สิ่งที่เธอขอมาถ้าผมรับได้ทั้งหมดล่ะ ดิฉันตกใจนะ เพราะคิดว่าจะโดนปฏิเสธ แต่ไหงมาบอกรับได้หมดละเนี่ย ครั้นจะบอกไปว่าพูดเล่น ก็คงโดนเขาต่อว่าแน่ๆ เผลอๆ จะลามไปถึงผุ้หญิงไทยทั้งหมด ดิฉันเลยตอบเขาไปว่า ถ้าเธอรีบได้ฉันก็ตกลง เขาดีใจ รีบไปหยิบแชมเปญที่ซ่อนไว้ มาเปิดฉลอง พร้อมกับเอกสารให้นำกลับไปยื่นวีซ๋าเพื่อกลับไปเข้าพิธีแต่งงานและจดทะเบียนสมรสที่ประเทศเขา
ดิฉันต้องตัดสินใจลาออกจากงานที่รักมาก เพื่อย้ายไปอยุ่กับเขา ตอนนี้เรียกว่าสามีได้เต็มปากละ ^_^ จนตอนนี้ เข้าปีที่แปดแล้ว ปัจจุบันมีลูกสองคนกำลังซน แต่ดิฉันโชคดีที่สามีชื่นชมคนไทยที่กตัญญูต่อบุพการี เขาจะคอยถามตลอดว่าเธอส่งเงินให้พ่อแม่บ้างมั้ย ส่วนลูกๆ เขาเน้นให้พูดภาษาไทย เด็กๆจะได้เข้ากับตายายและญาติๆ หรือเพื่อนที่เมืองไทยได้ ลูกดิฉันพูดไทยชัดเจน ดิฉันสอนลูกตลอดเวลาให้ไหว้กล่าวคำสวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ ลูกก็ทำแบบไม่เคอะเขิน พ่อเขาเวลายื่นของให้ลูกเขาก็จะให้ลูกไหว้ขอบคุณเขา เขาบอกมันเป็นมารยาทที่งามสุภาพ ทางครอบครัวเราก็จะมีมีพี่เลี้ยงหรือ au-pair เป็นคนไทยมาโดยตลอด ปัจจุบันสามีสร้างกิจการร้านอาหารและที่พักให้ดิฉันเป็นคนดูแล เขาบอกว่าให้เป็นที่ฝึกงานและเป็นโรงเรียนสอนประสบการณ์การทำงานและเรียนรู้คนประเทศเขา
เพื่อนๆ หรือคนรุ้จักบอกว่า ชีวิตดิฉันเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง ได้สามีดี สามีเป็นคนขยันทำงาน ไม่เจ้าชู้ รักลูก ทำงานหนักแค่ไหนจะต้องมีเวลาให้ลูก หากิจกรรมให้กับลูก แต่รางวัลที่หนึ่งในต่างแดนมันไม่ได้นั่งเป็นคุณนายเหมือนบ้านเรา ดิฉันเป็นเจ้าของกิจการที่ต้องทำอะไรเองแทบทุกอย่าง คนไทยหลายคนจะพูดว่าดิฉันงก แต่ดิฉันกลับคิดว่าถ้าเราทำแล้วธุรกิจเรามีกำไร ทำไมเราต้องอาย ดิฉันไม่ชอบการโกหกขายได้ก็บอกได้ ขายไม่ได้ก็บอกไม่ได้ เหนื่อยสร้างเรื่อง หรือปั้นน้ำเป็นตัว ชีวิตของดิฉันมีแต่บ้านกับที่ทำงาน อยู่เมืองไทยทำงานนั่งโต๊ะ แต่งตัวสวย กลางวันขับรถไปกินข้าวในห้าง เดินชอปปิ้งเล็กๆ ย่อยอาหาร แต่เมืองนอกทำทุกอย่างเหมือนที่เขาพูดกันว่า ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ดิฉันมีพนักงานเป็นฝรั่ง ติดต่องานเอง จัดการเอง อะไรเสียก็พยายามซ่อมเอง เพราะฝรั่งมันคิดแพง คิดค่าชั่วโมงไม่พอ มันบวกค่าน้ำมันเป็นระยะทางต่อกิโลด้วย ไปคุยธุระอะไรเรื่องงานมันคิดเป็นเงินหมด
ชีวิตดิฉันตอนนี้ คงเข้ากับคำพูดฮิตตอนนี้ว่าชีวิตดี๊ดี (ขอมะโนว่าดี๊ดีนะคะ ทั้งๆที่ในชีวิตจริงต้องทำงานหนักมาก) แต่มีสามีที่แคร์ และแสนโรแมนติก สามีจัดหาของขวัญให้ทุกเทศกาลไม่ว่าปีใหม่ ครบรอบแต่งงาน วันเกิด วันคริสมาสต์ เขาให้ทุกปี ไม่เคยขาด กระเป๋าแบรนด์เนมอยากได้พาไปเที่ยวก็จะพาไปส่งถึงร้าน เลือกที่พักใกล้แหล่งช้อปปิ้งให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อทุกทีนะคะ แค่ได้มองก็สุขใจแล้ว ที่เล่ามาก็อยากชื่นชมคุณสามีค่ะ สามีทำพินัยกรรมยกบ้านและร้านให้เป็นสมบัติของดิฉันแต่เพียงผุ้เดียว นอกนั้นแบ่งครึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการหย่าหรือตาย (ปกติจะได้จากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลงไปเท่านั้น เพราะส่วนของสามีจะตกไปเป็นของลูกๆ) เขาบอกว่า เขาเชื่อใจว่าดิฉันจะเก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เป็นอย่างดีเพื่อลูกๆ และไม่มีทางที่จะคดโกงหรือทำให้มันหมดไปก่อนที่ลูกๆ จะได้ใช้มัน ดิฉันบอกเขาเสมอว่า ถ้าต้องหย่าดิฉันจะคืนให้ ดิฉันขอแค่ทุนไปตั้งตัว เพราะเขาหามาทั้งชีวิตแต่เราไปละโมภเอาของๆเขา มันไม่ถูกต้องใช่มั้ยคะ แต่ในความดี ก็มีข้อเสียนะคะ เดี๋ยวไม่งั้นใครๆก็อยากจะลุกขึ้นมาหาสามีฝรั่ง
เริ่มจากตรงนี้ จะขอเล่าถึงประสบการณ์ทีพบเจอกับปัญหาของเพื่อนคนไทย ที่ดิฉันพบเจอ ดิฉันไม่ของเล่าลงรายละเอียดมาก เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวเขาเอาเรื่องมาลงเล่า เดี๋ยวจะโดนฟ้องเอา จริงๆแล้วชีวิตของคนไทยหลายๆคน ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ต้องหางาน ต้องเก็บเงินส่งให้ทางบ้าน ซึ่งบางบ้านก็สักแต่ใช้ ประมาณว่ามีหน้าที่ส่งก็ส่งมา ไม่ได้ถามเล๊ยว่าเขาลำบากไหมกว่าจะหาเงินส่งมาให้ แต่ก็นั่นหละค่ะบางคน หรือหลายๆ คนไม่ยอมเล่าความจริงว่า ชีวิตเหน็ดเหนื่อยต้องสุ้แค่ไหน กว่าจะได้เงิน สามีก็ไม่เข้าใจเรื่องการเลี้ยงดูพ่อแม่ คิดว่าพ่อแม่ขายลูกบ้าง ขี้เีกียจไม่ยอมทำงานเลยขอลูกกินบ้าง การอยู่ร่วมกันของคนที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ดิฉันได้ยินได้ฟังมายังคิดเลยว่า ถ้าได้ยินชีวิตรันทดเมียฝรั่งทั้งหลายก่อนมาเจอสามี ดิฉันคงไม่มีทางแต่งงานกับฝรั่งแน่นอน
ดิฉันเจอใครต่อใครก็ขอให้ช่วยแนะนำฝรั่งให้หน่อย เอาแบบสามีดิฉันนะ ดิฉันก็พูดติดตลกว่า หาให้แบบนี้คงไม่มี ถ้าจะมีก็สามีดิฉันนี่หละ สนใจมั้ยพูดไม่ค่อยรุ้เรื่องนะ เถียงข้างๆ คูๆ ชอบคอมเพลน สนใจมั้ย ^_^ เชื่อมั้ยคะ ดิฉันไม่เคยแนะนำ ลูกหลาน หรือญาติให้มีสามีฝรั่ง เหมือนที่หลายๆคนทำกัน ดิฉันจะบอกเสมอว่าอยุ่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าเมืองไทยบ้านเรา เราจนเราทุกข์เราก็ยิ้มได้ เรามีคนคอยรับฟัง คอยปลอบใจเราหาเพื่อนแท้เจอ แต่ถ้าไปอยุ่ ต่างประเทศ คำว่าเพื่อนแท้นี่ลืมไปเลย ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร สามีเคยถามว่าเธอมาอยู่บ้านฉันหลายปี เธอยังคิดถึงเมืองไทยของเธออยู่ไหม ดิฉันก็ถามเขากลับว่า เธอจะเอาคำตอบจริงๆ หรือเอาใจเธอล่ะ เขาก็บอกคำตอบจริงๆ ดิฉันก็บอกว่า ดิฉันคิดถึงบ้านทุกวัน เขาก็ถามว่าเธอไม่รักผมเลยหรอ ถึงพูดแบบนี้ ดิฉันก็บอกว่าเพราะรักไงุถึงยอมอยู่ที่นุ่นกับเขา ถ้าวันไหนดิฉันย้ายกลับก็แสดงว่าไม่รักแล้ว เขาก็ถามว่าถ้าเขาตายดิฉันจะกลับเมืองไทยมั้ย ดิฉันตอบชัดเจนฉับไว ว่า....ชัวร์..... (สามีจะบ่นว่าดิฉันไม่มีความโรแมนติก ถ้ามีโรงเรียนสอนจะส่งดิฉันไปทันที เท่าไหร่ก็จะจ่าย ฮ่าาาา)
ใครที่คิดจะหาคู่ต่างชาติ ขอให้ศึกษาดีๆนะคะ ฝรั่งด๊ก็มีแยะไม่ดีก็มีเยอะ ถ้าคิดจะรักต้องให้เขาเข้าใจวัฒนธรรมเราก่อนไม่ใช่ตัดสินใจไปก่อนแล้วค่อยคุย ขอให้ฉลาดเลือก ฉลาดรัก ดิฉันเล่ามามาก ยังไม่ได้ตั้งหัวข้อเลย ต้องคิดหัวข้อกระทู้ไปด้วย หัวข้อที่ตั้งไป ก็บอกนะคะ เพื่อนและคนรอบๆข้างเขาบอกมา เลยเอามาตั้ง ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าไปหลอกเอาเงินฝรั่งมาปรนเปรอตัวเองหรือญาติมิตร เพราะไม่อยุ่ในนิสัยอันถาวรของดิฉันแต่อย่างใด