คุณเจ้านายจอมกวน vs คุณเลขาป่วนรัก (ตอนที่ 1) 50%

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1

คำสั่งของระพีวิชญ์ถึงจะทำความลำบากใจให้คุณทับทิมไม่น้อย  แต่กระบวนการเฟ้นหา “สุดยอดเลขา” ก็ ‘ต้อง’ กระทำขึ้นทันที  และอีกสิ่งหนึ่งที่...ทันที...เหมือนกันก็คือ
“หาเลขาใหม่!”
เสียงผู้สื่อข่าวหัวเห็ดรายงานข่าวด่วน เพิงส้มตำริมถนนไม่ห่างจากบริษัทถูกสถาปนาขึ้นเป็นสำนักข่าวไทยชั่วคราว
“หา! อีกแล้วเรอะ” หญิงสาววัยปลายๆรุ่น (คือวัยรุ่นเหมือนกันแต่รุ่นตอนปลายๆ ) อุทานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยดังลั่น  ทำเอาผู้สมรู้ร่วมคิดในขบวนการ ‘ นินทานาย’ ทั้งหลาย พากันสะดุ้งแทบตกเก้าอี้ไปตามๆ กัน
“นี่!...แม่จิ้มลิ้มพริ้มเพรา หล่อนจะตะโกนหาสวรรค์วิมานอะไรยะ แก้วหูชั้นแทบร้าวแน่ะ”
“เออ...ชั้นขอโทษ ก็มันตกใจนี่หว่า”  
“ตกใจอะไรนักหนายะ” หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการส่งสายตาปรามหญิงร่างเจ้าเนื้อตรงหน้าอย่างหมั่นไส้นิดๆ หากแม่จิ้มลิ้มที่ตัวเล็กกว่าช้างพังนิดเดียวกลับไม่สะดุ้งสะเทือน นั่งจีบปากจีบคอพูดต่อไป แถมอีกมือยังยึดน่องไก่ย่างที่ถูกแทะไปบางส่วนไว้ไม่ยอมปล่อย
“แหม...ไม่ต๊กกะใจยังไงไหว ภายในเวลาแค่  2 เดือน ท่านลอร์ด เอ้ย! คุณระพีเจ้านายคนใหม่ของพวกเราน่ะ เปลี่ยนเลขาฯ ไปทั้งหมด...1...2...3...4...ฮ้า!”
แม่พังแป้นแผดเสียงสิบแปดหลอดอีกครั้ง คราวนี้ใช่แต่ผู้ร่วมขบวนการเท่านั้น หากคนในร้านก็แทบพลัดตกเก้าอี้ไปด้วย  
“ว้ายๆ อะ...อะไรอีกยะยัยจิ้มลิ้ม ร้องยังกะหมูถูกน้ำร้อนลวก” คนถูกน้ำร้อนลวกหันไปค้อนเพื่อนปะหลับปะเหลือก ก่อนสาธยายต่อ
“สิบ...สิบเอ็ดคน รวมคุณวัลภาอีกคนก็...ครบโหลพอดี!”  
“2  เดือนเปลี่ยนเลขา 1 โหล ทำยังกับเปลี่ยน กกน.แน่ะ” แล้วเพื่อนร่วมวงก้ผลัดกันออกความเห็น...
“น่าสงสารคุณวัลภานะ เพิ่งทำงานได้ 3 วันเองไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสิ เมื่อเช้าชั้นเห็นถูกหามออกมาจากห้องบิ๊กบอส หน้างี้ซี้ดซีด”
“ก็ยิ้มบออกจะตาย ใครจะไปเอาใจพี่แกถูกวะ”
“หน้าตาก็ออกล้อหล่อ แต่ทำไมพี่แกถึงดุได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้นะ”
“คุณระพีน่ะ ปีศาจชัดๆ”
“แล้วนี่แล้วนี่คุณทับทิมจะไปหาที่ไหนกัน เลขาที่มีคุณสมบัติเป็นซูเปอร์เกิร์ลขนาดนั้น...”
ผู้ร่วมขบวนการทั้งหลายต่างพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วยเต็มที่   แต่ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีใครอีกคนหนึ่ง ‘แอบฟัง’ เอ้ย! ได้ยินบทสนทนานั้นเข้าโดยบังเอิญ  

หากใครเดินผ่านเพิงส้มตำกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงๆ สุดหรูหลายตึกในย่านเศรษฐกิจที่แสนพลุกพล่านแห่งนั้นในเวลานี้  คงต้องแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้พบกับหญิงสาวอายุไม่น่าจะเกิน 20 ต้นๆคนหนึ่ง ที่หน้าตาท่าทางรวมไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวดูจะไม่ได้เข้ากับบรรยากาศรอบกายแม้แต่น้อย ใบหน้างามที่ถูกแต่งอย่างโฉบเฉี่ยวออกจะ “ล้ำ” มากกว่า “ทัน” สมัยที่ตอนนี้ดูเหยเกเพราะความเผ็ด กับผิวขาวนวลเพราะอยู่กับอากาศหนาวเย็นมานาน ตอนนี้ออกขาวอมชมพูนิดๆ แดงหน่อยๆ เพราะไม่ชินกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในเตาอบไก่แบบนี้  หรืออาจเป็นเพราะเมนูเด็ด “ส้มตำปูปลาร้า” รสแซ่บที่เมื่อแรกสั่งก็ทำเอาคนเป็นเจ้าของร้านส้มตำถึงกับเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ
ก็สั่งเข้าไปได้ไง้...ส้มตำปูปลาร้าใส่พริกตั้งยี่สิบเม็ด หน้าตาคนสั่งก็ไม่ได้บ่งบอกซักนิดว่ามาจากแถบอีสานบ้านเฮาที่นิยมรสชาติ “แซ่บอีหลี” แถมด้วยไก่ย่างหลายไม้ กับข้าวเหนียวอีก 2 กระติ๊บใหญ่ๆ เอวบางร่างน้อยออกปานนั้นใครจะไปรู้ว่าเจ้าหล่อนจะกินจุยังกะยัดกระสอบ
“ป้าคะ ขอน้ำเปล่าอีกขวด ไม่ๆ เอา 2 ขวดใหญ่ๆเลยดีกว่า  อ้อ…น้ำแข็งเปล่าอีกเหยือกด้วยนะจ๊ะ  ซี้ด...”  
แม้เสียงใสๆ จะตะโกนหาน้ำดื่มลั่นร้าน แต่มือก็ไม่หยุด โซ้ย ส้มตำเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พลางสูดปากเพราะเผ็ดไปด้วย
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ ขวัญฟ้า ทวิชากร ไม่ได้นั่งกินอาหารโปรดรสแซ่บแบบนี้ มีเหมือนกันที่เข้าไปนั่งกินในภัตตาคารไทยสุดหรูในต่างแดน  แต่รสชาติมันไม่ได้ถึงใจไทยแลนด์เหมือนนั่งกินข้างถนนแบบนี้นี่นา กินไปปาดเหงื่อไปนั่งดูชีวิตผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพลินจะตาย ใครว่าอยู่กรุงเทพแล้วน่าเบื่อ สำหรับตัวหล่อนแล้วน่าอยู่ออก  ยิ่งเรื่องที่เผอิญได้ยินมาเมื่อกี้ยิ่งน่าสนุกใหญ่ กำลังคิดอยู่เชียวว่ากลับมาเมืองไทยคราวนี้จะมาทำอะไรดี อยู่ดีๆ ก็มีงานสนุกๆ มาท้าทายความสามารถอย่างนี้  น่าลองทำดูซักตั้ง อยากรู้นักว่า “อีตาปีศาจ” คนนั้นจะร้ายกาจขนาดไหนเชียว
“อั๊ง...อัง...อัง โดราเอมะอือ...” เสียงริงโทนเพลงการ์ตูนยอดฮิตดังขึ้นถี่ๆ เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ ขวัญฟ้า อดยิ้มไม่ได้
“ฮัลโล่  ขวัญฟ้าสปีคกิ้ง” ส่งเสียงใสๆทักทาย หากปลายสายกลับส่งเสียงคำรามกลับ
“ตอนนี้แกมัวไปนอนกลิ้งอยู่ที่ไหนยะ ไอ้ขวานฟ้า...” เสียงที่ตอบกลับมาทำเอา ‘คนไปนอนกลิ้ง’ อดหัวเราะกิ๊กออกมาไม่ได้
“แถวนี้แหละน่า”  
“แถวนี้ของแกนี่มันที่ไหนวะ บอกมาชัดๆ” สุ้มเสียงปลายสายชักจะมีน้ำโห
“ร้านส้มตำริมถนนตรงข้ามออฟฟิศแกนี่แหละ อูย…ซี้ด...”  ท้ายประโยคน่ะเพราะกัดโดนพริกขี้หนูหรอกน่า  
“อี๋ ทำเสียงน่าเกลียด” คนฟังยี้ก่อนบอก “รออยู่นั่นนะ จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากวางสายไปได้ไม่กี่นาทีหญิงสาวก็ได้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติมาร่วมวงเฮฮา ปะปาย่า ป็อกๆ    
ชาริณี ธีรธาดา นั่งมองเพื่อนสนิทโซ้ยส้มตำตรงหน้าท่าทางเอร็ดอร่อยเต็มที่ ในขณะที่ตัวหล่อนเองแทบจะกระเดือกอาหารที่เพิ่งสั่งมาไม่ลง  ตั้งแต่ทำงานที่บริษัทนี้มาเกือบ 2 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวหล่อนได้มานั่งในเพิงส้มตำเก่าๆ ซ่อมซ่อแห่งนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะ ‘ยัยตัวยุ่ง’ ตรงหน้านี้ก่อเรื่องจนเดือดร้อนจนคนที่บ้านโทรมาฟ้องล่ะก็ จ้างให้หล่อนก็ไม่มาเด็ดขาด…
“ฮัลโหลๆ... คุณชะ...เชอร์รี่...หระ...เหรอครับ” ชาริณีจำเสียงนั้นได้ทันที
“ค่ะ น้าวง มีอะไรหรือคะ”
“คะ...คุณ...คุณหนูครับ” คนปลายสายละล่ำละลักเสียงสั่น เหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที ทำเอาคนฟังใจหายวาบ
“ยัยขวัญ...ทำไมคะ ยัยขวัญเป็นอะไรไปคะ ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูด” ชาริณีพยายามข่มเสียงตัวเองให้ปกติที่สุด
“หะ...หาย...คุณหนู...หายไป...ปะ...ไปไหนก็ไม่รู้ครับ”  น้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆนั้นทำเอาคนฟังหัวใจแทบหยุดเต้นไปด้วย
“คุณท่านให้ผมมารับคุณหนูที่สนามบินแต่ รออยู่นานก็ไม่มีวี่แววผมเลยไปเช็คกับทางสนามบินเค้าก็ว่าเครื่องลงนานแล้วแต่...ผมไม่เห็นคุณหนู...เลยครับ  หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ  ผมหาจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเลยครับ”
“น้าวงทำใจดีๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวเชอร์รี่จะลองติดต่อยัยขวัญอีกครั้งละกันนะคะ แล้วถ้ายังไงจะโทรกลับไปบอกน้าอีกทีนะคะ ค่ะๆ สวัสดีค่ะ”  
แล้วไม่ถึง 10 นาทีต่อมา ชาริณี  ก็ได้มานั่งตรงหน้า “ยัยคุณหนูตัวแสบ” ของน้าวง ที่ดันแอบดอดมานั่ง ‘โซ้ย’ ส้มตำตรงหน้าออฟฟิศของหล่อนสบายใจเฉิบเสียนี่  
“นี่ไอ้ขวานฟ้า แกไปตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย” ชาริณีกระแนะกระแหนอย่างหมั่นไส้ที่สุด ก็ดูเอาเหอะ จ้วงเอาจ้วงเอา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไก่ย่าง ข้าวเหนียวน่ะหมดนานแล้ว จะมีเหลือก็แต่ ไอ้ส้มตำปูปลาร้า จานนั้น ที่แค่เห็น ชาริณี ก็กินแทบไม่ลงซะแล้ว  แต่คนตรงหน้ากลับดูเอร็ดอร่อยซะเหลือเกิ๊น ที่น่าขำก็คือ  กินส้มตำจานเดียว แต่น้ำหมดไปแล้ว 5  ขวด ไม่ให้เจ้าของร้านค้อนยังไงได้  
คนถูกแนะแหนไม่ตอบแต่เงยหน้าส่งยิ้มทะเล้นๆ ให้เพื่อนสาว  พลางรับกระดาษชำระมาซับใบหน้างามที่ตอนนี้พราวไปด้วยเหงื่อ ชาริณีได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
‘นี่ล่ะหรือ  ขวัญฟ้า ทวิชากร คุณหนูผู้น่ารักของน้าวง ดูให้ตายยังไงก็ไม่เหมือนซักกะนิ้ดส์...’
“แล้วกลับมาคราวนี้จะอยู่กี่วันยะ แม่คุณ...” ชาริณีเริ่มเข้าเรื่องทันทีที่ส้มตำคำสุดท้ายถูกส่งเข้าปากเพื่อนสาว
“ไม่รู้สิ” ขวัญฟ้าส่ายหน้าจนผมยาวสลวยที่รวบไว้หลวมๆ หลุดลุ่ย ทว่าเจ้าตัวเพียงเสยลวกๆ พอไม่ให้รำคาญเท่านั้น
“จะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่ล่ะ ป่านนี้ป๋าดามพ์คอยลูกสาวคนสวยแย่แล้วมั้ง” ชาริณีกระเซ้า
“ยังไม่กลับ” คำตอบสั้นๆ นั้น  ทำให้คิ้วคนฟังชักผูกโบ
“ไม่กลับ...แล้วจะอยู่หาพระแสงอะไรฮะ ไอ้คุณขวาน”
“หางานทำ” ชาริณีเบ้ปาก เพราะรู้จักครอบครัวของเพื่อนรักดี พ่อเลี้ยงดามพ์ ทวิชากร ขึ้นชื่อเรื่องหวงลูกสาวเป็นที่หนึ่ง
“เชอะ...พ่อแกคงยอมหรอก...”  
“ป๋าจะรู้ได้ไงถ้าไม่มีใครคาบข่าวไปบอก” ชาริณีตาค้าง มองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันไม่ช่วยแกหรอกนะ”  หล่อนรีบกันตัวเองออกทันควัน
“ไม่รู้ล่ะ แกต้องช่วยฉัน ไม่งั้น...แกก็โดนด้วยในข้อหา  ผู้สมรู้ร่วมคิด โทษก็หนักพอกัน”  
คนถูกยัดเยียดข้อหาได้แต่ค้อนประหลับปะเหลือก ‘สมรู้’ น่ะใช่ แต่ไม่ได้ ‘ร่วมคิด’  ด้วยซักหน่อย  ทำไมต้องโดนด้วยล่ะเนี่ย  ไม่เข้าใจเล้ย...
“ไหน ยัยตัวแสบบอกมาซิ แกจะทำงานอะไร”  ในที่สุดชาริณีก็ต้องยอมจำนนตามเคย
“คุณเลขา”  อีกครั้งที่คนเป็นเพื่อนต้องเซโรงัง... งงจริงๆ
“แล้วใครจะรับ”  
“ก็บิ๊กบอสบริษัทแกไง” ชาริณีตบหน้าผากตัวเอง ทั้งอึ้งและทึ่งกับความ ‘แสนแสบ’+ ‘แสนรู้’ ของเพื่อนรัก  
“รู้ได้ไงวะเนี่ย” ขวัญฟ้าอมยิ้ม  
“ฉันก็พอมีแหล่งข่าววงในบ้างล่ะน่า”
“อย่าแม้แต่จะคิด” ชาริณีรีบเบรกเพื่อนตัวโก่ง “ไม่รู้หรือไงว่าแกกำลังจะเล่นกับไฟ ใครๆก็บอกว่าคุณระพีวิชญ์ น่ะร้ายกาจยังกับ ปีศาจ ชัดๆ ”
ขวัญฟ้ายักไหล่ “เผอิญชั้นมันคนไม่กลัว‘ปีศาจ’ซะด้วยสิ”


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่