ประกันภัยนาข้าวนาปี2558 มาแล้วนะครับ
จากข้อมูบเว็บ
http://www.thairath.co.th/content/499002สำหรับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 เพื่อดำเนินการให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรลูกค้าผู้เอาประกันภัย ครอบคลุมภัยธรรมชาติ 7 ประเภท โดยมีหลักการสำคัญดังนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย รวมทั้งภัยศัตรูพืชและโรคระบาด มีการแบ่งพื้นที่การรับประกันภัยออกเป็น 5 พื้นที่ตามระดับความเสี่ยง เพื่อจัดเก็บเบี้ยประกันภัยในอัตราที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงของพื้นที่ ตั้งแต่ 124.12 บาท ถึง 483.64 บาท โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ รับภาระค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 60 - 100 บาทต่อไร่ และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 64.12 – 383.64 บาทต่อไร่
ทั้งนี้ ภาคเอกชนเป็นผู้รับประกันภัย วงเงินความคุ้มครอง 1,111 บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูกสำหรับภัยธรรมชาติ 6 ประเภทดังกล่าว และวงเงินความคุ้มครอง 555 บาทต่อไร่ สำหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่ภาครัฐดำเนินการ อยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการปี 2554 – กำหนดจำนวนพื้นที่เป้าหมายการเอาประกันภัยทั่วประเทศเป็นจำนวน 1.5 ล้านไร่ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ เริ่มขายกรมธรรม์ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม – 14 สิงหาคม 2558 สำหรับทุกภาค ยกเว้นภาคใต้สิ้นสุดการรับทำประกันภัยวันที่ 11 ธันวาคม 2558
แต่เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วมีชาวนาบางพื้นที่ประสบภัยแล้งแต่ไม่สามารถเอาประกันได้เพราะพื้นที่นั้นไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติจากหน่วยงานภาครัฐ จึงอยากให้ ธกส. เพิ่มช่องทางให้ชาวบ้านยื่นเรื่องประสบภัยด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง แทนที่จะรอลุ้นว่าหน่วยงานภาครัฐ จะประกาศให้หรือไม่
ถ้าไม่ประกาศก็อด เหมือนชาวบ้านแถวบ้านผมตามที่ผมได้เขียนไว้ในกระทู้
http://ppantip.com/topic/33646160
ประสบการณ์เก่ามันมีครับช่วยแก้ไขด้วยถ้าหวังดีกับชาวนาจริง
แต่เชื่อเถอะปีนี้ชาวนาบ้านผมคงไม่ทำประกันภัยนาข้าวกับ ธกส. อีกแล้วเพราะเข็ดกลัวเสียเงินฟรีอีก
ประกันภัยข้าวนาปี2558 มาแล้ว แต่ผมอยากให้แก้ไขเงื่อนไขบางจุดเพื่อชาวนา จากประสบการณ์ที่เลวร้ายของชาวนาบางทีเมื่อปี2557
จากข้อมูบเว็บ http://www.thairath.co.th/content/499002สำหรับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 เพื่อดำเนินการให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรลูกค้าผู้เอาประกันภัย ครอบคลุมภัยธรรมชาติ 7 ประเภท โดยมีหลักการสำคัญดังนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย รวมทั้งภัยศัตรูพืชและโรคระบาด มีการแบ่งพื้นที่การรับประกันภัยออกเป็น 5 พื้นที่ตามระดับความเสี่ยง เพื่อจัดเก็บเบี้ยประกันภัยในอัตราที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงของพื้นที่ ตั้งแต่ 124.12 บาท ถึง 483.64 บาท โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ รับภาระค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 60 - 100 บาทต่อไร่ และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 64.12 – 383.64 บาทต่อไร่
ทั้งนี้ ภาคเอกชนเป็นผู้รับประกันภัย วงเงินความคุ้มครอง 1,111 บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูกสำหรับภัยธรรมชาติ 6 ประเภทดังกล่าว และวงเงินความคุ้มครอง 555 บาทต่อไร่ สำหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่ภาครัฐดำเนินการ อยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการปี 2554 – กำหนดจำนวนพื้นที่เป้าหมายการเอาประกันภัยทั่วประเทศเป็นจำนวน 1.5 ล้านไร่ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ เริ่มขายกรมธรรม์ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม – 14 สิงหาคม 2558 สำหรับทุกภาค ยกเว้นภาคใต้สิ้นสุดการรับทำประกันภัยวันที่ 11 ธันวาคม 2558
แต่เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วมีชาวนาบางพื้นที่ประสบภัยแล้งแต่ไม่สามารถเอาประกันได้เพราะพื้นที่นั้นไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติจากหน่วยงานภาครัฐ จึงอยากให้ ธกส. เพิ่มช่องทางให้ชาวบ้านยื่นเรื่องประสบภัยด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง แทนที่จะรอลุ้นว่าหน่วยงานภาครัฐ จะประกาศให้หรือไม่
ถ้าไม่ประกาศก็อด เหมือนชาวบ้านแถวบ้านผมตามที่ผมได้เขียนไว้ในกระทู้ http://ppantip.com/topic/33646160
ประสบการณ์เก่ามันมีครับช่วยแก้ไขด้วยถ้าหวังดีกับชาวนาจริง
แต่เชื่อเถอะปีนี้ชาวนาบ้านผมคงไม่ทำประกันภัยนาข้าวกับ ธกส. อีกแล้วเพราะเข็ดกลัวเสียเงินฟรีอีก