ขาไป...ตื่นเต้น
ระหว่างทาง...ดื่มด่ำ
ขากลับ...รำลึก
"นิยามของการเดินทาง"
Day 1 : "ตาปี" ยินดีต้อนรับ
6.00 น.
หลังจากจัดเก็บสัมภาระของสมาชิกทุกคนลงท้ายรถ เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพสู่แดนคนดี สุราษฎร์ธานี โดยมีจุดหมายที่ อ.พุนพิน ดีที่วันนี้เป็นวันทำงาน ถนนจึงคืนความสุขให้นักเดินทางอย่างเรา จุดหมายระหว่างทางแห่งแรกคือแวะหาอะไรรองท้องที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ ร้านดังแห่งเมืองหัวหิน
8.00 น.
สองชั่วโมงจากกรุงเทพ ถึงร้านเจ๊กเปี๊ยะ ถนนคืนความสุขให้เราจริงๆ ที่ร้านคนค่อนข้างหนาตา แต่ยังพอมีโต๊ะว่างให้เราได้นั่งกินมื้อเช้ากัน ใช้เวลาไม่นานในการเติมเสบียงลงท้องและออกเดินทางต่อ ด้วยหมายว่าจะถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
14.00 น.
ถึงจุดหมายปลายทาง อ.พุนพิน โดยคืนนี้เราจะพักค้างแรมที่บ้านเพื่อน (เพื่อนสมัยมหาลัยของสมาชิกในรถ) เจ้าบ้านให้การต้อนรับอาคันตุกะจากพระนครเป็นอย่างดี ไม่นานมีเพื่อนอีกคนตามมาสมทบ และชักชวนกันไปเที่ยว คลองน้ำใส อ.คีรีรัฐนิคม
ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที จากสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี (อ.พุนพิน) ถึงจุดหมาย คลองน้ำใส
เพื่อนบอกว่าคลองน้ำใสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ จึงยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก ก็อาจจะดีสำหรับพวกเราที่ไม่ต้องแย่งกับคนอื่นเล่นในพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด อากาศในช่วงหน้าร้อนแบบนี้เหมาะกับการลงเล่นน้ำอย่างยิ่ง
หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จก็กลับไปที่บ้านของเพื่อนและนั่นคือจุดเริ่มต้นของราตรีหรรษา
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
เจ้าบ้านที่เราจะขอค้างแรมคืนนี้ด้วยมีชื่อว่า อาร์ม เป็นคนสุราษฎร์โดยกำเนิด แต่ไปเติบโตที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบกลับมาทำงานเป็นครูที่ถิ่นเกิด ทั้งๆที่บ้านพ่อ-แม่ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่เลือกที่จะมาเช่าบ้านอยู่ เหตุผลคืออยากได้บรรยากาศริมน้ำตาปี และเกรงใจพ่อ-แม่ เพราะมีเพื่อนแวะเวียนมาหาบ่อยๆ
ผมไม่เคยรู้จักอาร์มมาก่อน แต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันสัมผัสได้ว่าเป็นคนเฮฮา จริงใจ ถึงไหนถึงกัน (เรื่องเมา) ดูบุคลิกแล้วไม่น่าจะเป็นครูได้เลย สไตล์การแต่งตัวและการตกแต่งบ้านออกแนวบุปผาชน แถมที่ระเบียงริมน้ำ แอบปลูกสมุนไพรสีเขียวไว้ 1 ต้น ซะด้วย
สมุนไพรสีเขียวลงแล้วอาจดูไม่เหมาะสม เอาสมุนไพรสีแดงไปดูแทนแล้วกัน
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
"โลกราตรี ขาดน้ำมีดีกรี ช่างว่างเปล่า" ไม่มีใครกล่าวไว้ ผมนี่แหละกล่าวเอง
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
คืนนั้นเรานั่งละเอียดกันทั้งเหล้า-เบียร์และกับแกล้ม กินไปเท่าไหร่คงไม่มีใครคำนึงถึง รู้แต่เพียงว่า หมดก็ซื้อใหม่ ลมเย็นๆ จากลำน้ำตาปีโชยมาไม่ขาดสาย ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกแต่อย่างใด หากเป็นเพียงแค่ลมที่ช่วยส่งบรรยากาศให้น่ารื่นรมย์ขึ้นเท่านั้น หากเปรียบลำน้ำตาปีเป็นร้านสะดวกซื้อ ดาว-เดือนช่วยส่องสว่างภายในร้าน อาร์มซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็คงไม่ต่างอะไรกับพนักงานร้าน ที่คอยมอบความสุขและอำนวยความสะดวกให้พวกเรา โดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นเสียงหัวเราะและมิตรภาพ
"ทำไมเหมือนเรารู้จักกันมานานเลยวะ" อาร์มพูดกับผม
ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
- นั่นสินะ ทำไมถึงได้คุยกันถูกคอ?
ผมนึกประโยคหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือ เนปาลประมาณสะดือ ของนิ้วกลม เขียนไว้ว่า "เสียงดนตรี, สถานที่, แอลกอฮอล์ สามสิ่งที่ทำให้คนกล้าทำความรู้จักอีกคนหนึ่งมากขึ้น"
บางทีแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้แย่เสมอไป (ถึงแม้ว่าจะเสียเพราะมันมาเยอะก็ตาม) อย่างน้อยวันนี้มันก็ทำให้ผมได้เพื่อนถูกคอเพิ่มอีกคน
คืนนี้เราดื่มกินกันตั้งแต่เย็นย่ำจนเลยสองยามไปได้สักสองชั่วโมง ก็เริ่มปริบกัน ทุกคนจึงแยกย้ายเข้านอน โดยเฉพาะพวกเราที่มีแผนจะต้องไปต่อ คงต้องร่ำลาตาปีในราตรีนี้ก่อน ปล่อยให้ลำน้ำใหญ่แห่งแดนใต้ช่วยส่งลมเย็นๆ อย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน ให้เราได้นอนหลับอย่างสบาย
รุ่งสาง ปูนิ่มแฟนของอาร์มทำข้าวเช้าให้กินก่อนออกเดินทางต่อ ใช้เวลากินข้าวและอาบน้ำพอให้ซึมซับตาปีในยามเช้าได้จนอิ่มใจ จึงถึงเวลาต้องไปต่อ
ก่อนออกเดินทาง เสียงแว่วจากตาปีเอ่ยถามพวกเราว่า
"รับรอยยิ้มและมิตรภาพเพิ่มมั้ยครัช"
[CR] พาดผ่าน **สุราษฎร์** ด้วยมิตรภาพและน้ำจันทร์
ระหว่างทาง...ดื่มด่ำ
ขากลับ...รำลึก
"นิยามของการเดินทาง"
Day 1 : "ตาปี" ยินดีต้อนรับ
6.00 น.
หลังจากจัดเก็บสัมภาระของสมาชิกทุกคนลงท้ายรถ เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพสู่แดนคนดี สุราษฎร์ธานี โดยมีจุดหมายที่ อ.พุนพิน ดีที่วันนี้เป็นวันทำงาน ถนนจึงคืนความสุขให้นักเดินทางอย่างเรา จุดหมายระหว่างทางแห่งแรกคือแวะหาอะไรรองท้องที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ ร้านดังแห่งเมืองหัวหิน
8.00 น.
สองชั่วโมงจากกรุงเทพ ถึงร้านเจ๊กเปี๊ยะ ถนนคืนความสุขให้เราจริงๆ ที่ร้านคนค่อนข้างหนาตา แต่ยังพอมีโต๊ะว่างให้เราได้นั่งกินมื้อเช้ากัน ใช้เวลาไม่นานในการเติมเสบียงลงท้องและออกเดินทางต่อ ด้วยหมายว่าจะถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
14.00 น.
ถึงจุดหมายปลายทาง อ.พุนพิน โดยคืนนี้เราจะพักค้างแรมที่บ้านเพื่อน (เพื่อนสมัยมหาลัยของสมาชิกในรถ) เจ้าบ้านให้การต้อนรับอาคันตุกะจากพระนครเป็นอย่างดี ไม่นานมีเพื่อนอีกคนตามมาสมทบ และชักชวนกันไปเที่ยว คลองน้ำใส อ.คีรีรัฐนิคม
ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที จากสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี (อ.พุนพิน) ถึงจุดหมาย คลองน้ำใส
เพื่อนบอกว่าคลองน้ำใสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ จึงยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก ก็อาจจะดีสำหรับพวกเราที่ไม่ต้องแย่งกับคนอื่นเล่นในพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด อากาศในช่วงหน้าร้อนแบบนี้เหมาะกับการลงเล่นน้ำอย่างยิ่ง
หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จก็กลับไปที่บ้านของเพื่อนและนั่นคือจุดเริ่มต้นของราตรีหรรษา
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
เจ้าบ้านที่เราจะขอค้างแรมคืนนี้ด้วยมีชื่อว่า อาร์ม เป็นคนสุราษฎร์โดยกำเนิด แต่ไปเติบโตที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบกลับมาทำงานเป็นครูที่ถิ่นเกิด ทั้งๆที่บ้านพ่อ-แม่ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่เลือกที่จะมาเช่าบ้านอยู่ เหตุผลคืออยากได้บรรยากาศริมน้ำตาปี และเกรงใจพ่อ-แม่ เพราะมีเพื่อนแวะเวียนมาหาบ่อยๆ
ผมไม่เคยรู้จักอาร์มมาก่อน แต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันสัมผัสได้ว่าเป็นคนเฮฮา จริงใจ ถึงไหนถึงกัน (เรื่องเมา) ดูบุคลิกแล้วไม่น่าจะเป็นครูได้เลย สไตล์การแต่งตัวและการตกแต่งบ้านออกแนวบุปผาชน แถมที่ระเบียงริมน้ำ แอบปลูกสมุนไพรสีเขียวไว้ 1 ต้น ซะด้วย
สมุนไพรสีเขียวลงแล้วอาจดูไม่เหมาะสม เอาสมุนไพรสีแดงไปดูแทนแล้วกัน
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
"โลกราตรี ขาดน้ำมีดีกรี ช่างว่างเปล่า" ไม่มีใครกล่าวไว้ ผมนี่แหละกล่าวเอง
(Credit ภาพ : ว.ไหวเอน)
คืนนั้นเรานั่งละเอียดกันทั้งเหล้า-เบียร์และกับแกล้ม กินไปเท่าไหร่คงไม่มีใครคำนึงถึง รู้แต่เพียงว่า หมดก็ซื้อใหม่ ลมเย็นๆ จากลำน้ำตาปีโชยมาไม่ขาดสาย ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกแต่อย่างใด หากเป็นเพียงแค่ลมที่ช่วยส่งบรรยากาศให้น่ารื่นรมย์ขึ้นเท่านั้น หากเปรียบลำน้ำตาปีเป็นร้านสะดวกซื้อ ดาว-เดือนช่วยส่องสว่างภายในร้าน อาร์มซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็คงไม่ต่างอะไรกับพนักงานร้าน ที่คอยมอบความสุขและอำนวยความสะดวกให้พวกเรา โดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นเสียงหัวเราะและมิตรภาพ
"ทำไมเหมือนเรารู้จักกันมานานเลยวะ" อาร์มพูดกับผม
ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
- นั่นสินะ ทำไมถึงได้คุยกันถูกคอ?
ผมนึกประโยคหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือ เนปาลประมาณสะดือ ของนิ้วกลม เขียนไว้ว่า "เสียงดนตรี, สถานที่, แอลกอฮอล์ สามสิ่งที่ทำให้คนกล้าทำความรู้จักอีกคนหนึ่งมากขึ้น"
บางทีแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้แย่เสมอไป (ถึงแม้ว่าจะเสียเพราะมันมาเยอะก็ตาม) อย่างน้อยวันนี้มันก็ทำให้ผมได้เพื่อนถูกคอเพิ่มอีกคน
คืนนี้เราดื่มกินกันตั้งแต่เย็นย่ำจนเลยสองยามไปได้สักสองชั่วโมง ก็เริ่มปริบกัน ทุกคนจึงแยกย้ายเข้านอน โดยเฉพาะพวกเราที่มีแผนจะต้องไปต่อ คงต้องร่ำลาตาปีในราตรีนี้ก่อน ปล่อยให้ลำน้ำใหญ่แห่งแดนใต้ช่วยส่งลมเย็นๆ อย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน ให้เราได้นอนหลับอย่างสบาย
รุ่งสาง ปูนิ่มแฟนของอาร์มทำข้าวเช้าให้กินก่อนออกเดินทางต่อ ใช้เวลากินข้าวและอาบน้ำพอให้ซึมซับตาปีในยามเช้าได้จนอิ่มใจ จึงถึงเวลาต้องไปต่อ
ก่อนออกเดินทาง เสียงแว่วจากตาปีเอ่ยถามพวกเราว่า "รับรอยยิ้มและมิตรภาพเพิ่มมั้ยครัช"