15 ปีที่แล้ว
ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ
ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองหนึ่ง
หลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว
ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า
ปกติเวลาเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย
เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่
ผมให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ
แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกันในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญ
อยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
หลังจากเดินดูของอยู่หลายร้าน
และได้ของขวัญที่ถูกใจแล้วผมก็เดินออกจากห้าง
จู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง
ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมเช่นกัน
สายตาของเด็กดึงผมให้เดินเข้าไปหา
เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี
แกแต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย
ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง
แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆก็คือ
จากที่ในมือน่าจะถือไอศครีมแต่แกกลับถือป้ายแทน
และป้ายที่แกถือนั้นวาดรูปเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่
และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่
ผมก็เลยคุยกับเด็กชายคนนี้
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“125 เหรียญครับ”
เด็กชายมองมาด้วยแววตาแบบมีความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไป” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา
4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายถูกกว่านี้แล้วครับ”
เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของแก และพิจารณาแล้ว
เด็กคนนี้ไม่น่าจะตั้งใจหลอกผมเป็นแน่
ผมก็เลยถามแกว่า“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“35 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 90 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 90 เหรียญ
แล้วก็บอกแกว่า “เงิน 90 เหรียญนี้ฉันให้เธอ
คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน
แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้
เธอจะต้องหักออกมาคืนให้ฉัน
ฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน
ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ
และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ
หากเธอตกลง เงิน 90 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!”
จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลง
พร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กชายเล่าให้ผมฟังว่า แกเรียนอยู่ชั้นประถม 6
แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน
ส่วนวันอื่นๆนั้นต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา
แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย
แถมยังอวดว่าตนเองเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย
ผมถามแกว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายบอกผมว่า“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม
ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่
และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองแกด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด
จากนั้นจึงเป็นเพื่อนแกไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกจากร้านค้าส่ง
เดินตรงไปที่ห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกแกไว้ และบอกกับแกว่า
“ในเมื่อตอนนี้เราร่วมธุรกิจกันแล้ว ฉันอยากเสนอแนะเธอว่า
เธอไม่ควรอยู่หน้าห้าง
เพราะในห้างมีบริการขัดรองเท้าฟรีอยู่แล้วซึ่งใครๆก็รู้”
“งั้นผมไปขัดแถวๆหน้าโรงแรมดีไหมครับ?”
เด็กชายเอ่ยถาม
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยว
และนักธุรกิจเข้ามาพักเยอะ เมื่อเขาเห็นเธอรับขัดรองเท้า
พวกเขาคงไม่อยากขัดรองเท้าเองหรอก
เธอนี่รู้ทำเลทำธุรกิจเหมือนกันนะเนี่ย”
พูดเสร็จผมก็ยกนิ้วให้กับแก
เด็กชายเดินไปแถวๆ บริเวณใกล้โรงแรม
จากนั้นก็วางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าลงกับพื้น
เมื่อจัดสถานที่ของตัวเองเสร็จแล้ว
เด็กชายก็มองซ้ายทีขวาที
จากนั้นก็มองมาที่ผม
“ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนละครับ
คุณก็รู้ว่าผมบริการดีเพียงใด?”
ผมได้ฟังก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กเอ๋ย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉัน
เป็นการแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญเนี่ยนะ?”
ผมรู้สึกทึ่งกับความคิดของแกเป็นครั้งที่ 2
ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกและยกเท้าขึ้นเหยียบกล่อง
เพื่อให้แกขัดรองเท้า
“หากเธอขัดไม่มันวาว นั่นแปลว่าเธอโกหก
และฉันกำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์
นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้”
เด็กชายก้มหัวลงขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับบอกว่า
แกเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่า ผมฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้าน
มาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว
คุณก็รู้แถวบ้านนอกมีรองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก
ผมไปขอเขาขัดมาหมดแล้ว”
พูดไปพลางขัดรองเท้าไปพลางผ่านไปไม่กี่นาที
แกก็ขัดรองเท้าให้ผมเสร็จ
แกขัดได้มันเงาสมคำอวด
ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมหยิบพวงกุญแจรูปหมีแพนด้าออกมาแล้วเขียนคำว่า
“เก่งมาก” ส่งให้แก
แกรับเอาไปด้วยความดีใจ
ครู่หนึ่งก็มีรถนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรม
เด็กน้อยยกกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปหานักท่องเที่ยว
“ขัดรองเท้าไหมครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณ
ให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ ขัดรองเท้าไหมครับ..”
และแล้วลูกค้าคนที่หนึ่งก็ยอมใช้บริการ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมแวะมาเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่หน้าโรงแรม
เมื่อแกเห็นผมก็รีบเล่าด้วยอาการดีใจว่า
เมื่อวานแกขัดรองเท้าได้เงิน 50 เหรียญ
แกหักไว้คืนให้ผม 18 เหรียญ ค่าอาหารของแก 3 เหรียญ
แกจึงเหลือเงินอยู่ 29 เหรียญ
ผมตบบ่าแกเพื่อให้กำลังใจ และชมแกไปว่า
“เก่งมาก”
แกบอกว่าเมื่อวานได้นอนห้องรวมในโรงแรม
ไม่ได้นอนใต้สะพานแล้ว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง 5 เหรียญ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่ต้องจ่ายค่าห้องพักรวม?
เด็กน้อยยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้เจ้าของโรงแรมประมาณ 10 กว่าคู่
เย็นนี้ก็ได้นอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเหมือนเดิมครับ”
5 วันที่อยู่ที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และแล้วผมก็ต้องเดินทางกลับ
เด็กชายคนนั้นคืนเงินให้ผมวันละ 18 เหรียญ
จนครบ 90 เหรียญในวันสุดท้าย
เมื่อเด็กชายรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทหนึ่งที่ปักกิ่ง
แกบอกกับผมว่า เมื่อแกจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะไปหาผมที่ปักกิ่ง
จากนั้นก็ยื่นมือดำๆของแกมาขอจับมือผม
ผมจับมือของเด็กไว้แน่นเช่นกัน
ผมทำงานที่บริษัทนี้ได้หลายปี
ต่อมาก็ลาออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้ง
วันนี้ผมหัวยุ่งแต่เช้า
บริษัทประสบปัญหาเกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ผมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
และขอกู้เงินจากหลายๆ ธนาคาร
แต่ก็ไม่มีใครช่วยผมได้
ผมเพิ่งวางโทรศัพท์
เลขาก็เคาะประตูเข้ามารายงานว่า
กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งขอนัดผมเพื่อทานกลางวัน
ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ
และไม่ได้ถามว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร
ได้แต่ก้มหน้าดูบัญชีรายจ่ายที่จะต้องหาทางแก้ไข
เลขาได้หยิบเอาพวงกุญแจวางไว้ที่โต๊ะของผม
ผมมองพวงกุญแจและตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวงกุญแจที่คุ้นตาและมีตัวอักษรคำว่า
“ผมเก่งมาก”
อยู่บนตัวหมีแพนด้านั้น
ผมนึกออกแล้ว
พวงกุญแจนี้ผมเป็นคนมอบให้เด็กชายขัดรองเท้าเมื่อ 15 ปีก่อน
แต่ตอนนั้นผมเขียนแค่ว่า “เก่งมาก”
เขาคงเป็นคนเติมคำว่า “ผม” ในภายหลัง
เมื่อถึงช่วงกลางวัน
ผมเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง
โต๊ะที่ถูกจองไว้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมสูท
ลุกขึ้นยืนโค้งและยิ้มให้กับผม
จากรอยยิ้มและสายตาอันมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม
ทำให้ผมเห็นภาพของเด็กชายที่ผมพบเจอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
เรารับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอ
หลังจากทานข้าวและดื่มชากันไปคนละแก้ว
เขาหยิบเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านเหรียญออกมาและพูดว่า
“ผมอยากร่วมลงทุนกับคุณ
และภายใน 5 ปีผมขอทุนคืน ”
“5 ล้านเหรียญ”
ผมอุทานขึ้นในใจ
มันมากมายและมาทันเวลาพอดี
เด็กหนุ่มเล่าต่อว่า
“15 ปีก่อนคุณสอนให้ผมอยู่รอด
จากนั้นผมก็มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ
ผมเฝ้าเก็บหอมรอมริบ
ตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง
ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญที่ผมร่วมลงทุนกับคุณนี้
ผมขอดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง”
ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มแล้วถามว่าเท่าไหร่?
เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“1เหรียญครับ!”
ผมพิงพนักเก้าอี้แล้วก็ยิ้มออกมา
90 เหรียญที่ผมลงทุนกับเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อ15 ปีที่แล้ว
ด้วยความไม่ตั้งใจ กลับมีผลตอบสนองในวันนี้
ถึง 5 ล้านเหรียญ
นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทน
มหาศาลที่สุดในชีวิตของผมเป็นแน่!!!
เครดิต : ได้รับต่อจากเพื่อนทางไลน์ไม่ทราบแหล่งที่มา
ขออนุญาตนำมาโพสต่อเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
ขอบคุณค่ะ
การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมหาศาลที่สุดในชีวิต!!!
ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ
ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองหนึ่ง
หลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว
ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า
ปกติเวลาเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย
เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่
ผมให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ
แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกันในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญ
อยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
หลังจากเดินดูของอยู่หลายร้าน
และได้ของขวัญที่ถูกใจแล้วผมก็เดินออกจากห้าง
จู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง
ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมเช่นกัน
สายตาของเด็กดึงผมให้เดินเข้าไปหา
เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี
แกแต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย
ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง
แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆก็คือ
จากที่ในมือน่าจะถือไอศครีมแต่แกกลับถือป้ายแทน
และป้ายที่แกถือนั้นวาดรูปเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่
และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่
ผมก็เลยคุยกับเด็กชายคนนี้
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“125 เหรียญครับ”
เด็กชายมองมาด้วยแววตาแบบมีความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไป” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา
4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายถูกกว่านี้แล้วครับ”
เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของแก และพิจารณาแล้ว
เด็กคนนี้ไม่น่าจะตั้งใจหลอกผมเป็นแน่
ผมก็เลยถามแกว่า“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“35 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 90 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 90 เหรียญ
แล้วก็บอกแกว่า “เงิน 90 เหรียญนี้ฉันให้เธอ
คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน
แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้
เธอจะต้องหักออกมาคืนให้ฉัน
ฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน
ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ
และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ
หากเธอตกลง เงิน 90 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!”
จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลง
พร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กชายเล่าให้ผมฟังว่า แกเรียนอยู่ชั้นประถม 6
แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน
ส่วนวันอื่นๆนั้นต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา
แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย
แถมยังอวดว่าตนเองเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย
ผมถามแกว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายบอกผมว่า“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม
ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่
และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองแกด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด
จากนั้นจึงเป็นเพื่อนแกไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกจากร้านค้าส่ง
เดินตรงไปที่ห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกแกไว้ และบอกกับแกว่า
“ในเมื่อตอนนี้เราร่วมธุรกิจกันแล้ว ฉันอยากเสนอแนะเธอว่า
เธอไม่ควรอยู่หน้าห้าง
เพราะในห้างมีบริการขัดรองเท้าฟรีอยู่แล้วซึ่งใครๆก็รู้”
“งั้นผมไปขัดแถวๆหน้าโรงแรมดีไหมครับ?”
เด็กชายเอ่ยถาม
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยว
และนักธุรกิจเข้ามาพักเยอะ เมื่อเขาเห็นเธอรับขัดรองเท้า
พวกเขาคงไม่อยากขัดรองเท้าเองหรอก
เธอนี่รู้ทำเลทำธุรกิจเหมือนกันนะเนี่ย”
พูดเสร็จผมก็ยกนิ้วให้กับแก
เด็กชายเดินไปแถวๆ บริเวณใกล้โรงแรม
จากนั้นก็วางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าลงกับพื้น
เมื่อจัดสถานที่ของตัวเองเสร็จแล้ว
เด็กชายก็มองซ้ายทีขวาที
จากนั้นก็มองมาที่ผม
“ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนละครับ
คุณก็รู้ว่าผมบริการดีเพียงใด?”
ผมได้ฟังก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กเอ๋ย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉัน
เป็นการแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญเนี่ยนะ?”
ผมรู้สึกทึ่งกับความคิดของแกเป็นครั้งที่ 2
ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกและยกเท้าขึ้นเหยียบกล่อง
เพื่อให้แกขัดรองเท้า
“หากเธอขัดไม่มันวาว นั่นแปลว่าเธอโกหก
และฉันกำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์
นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้”
เด็กชายก้มหัวลงขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับบอกว่า
แกเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่า ผมฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้าน
มาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว
คุณก็รู้แถวบ้านนอกมีรองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก
ผมไปขอเขาขัดมาหมดแล้ว”
พูดไปพลางขัดรองเท้าไปพลางผ่านไปไม่กี่นาที
แกก็ขัดรองเท้าให้ผมเสร็จ
แกขัดได้มันเงาสมคำอวด
ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมหยิบพวงกุญแจรูปหมีแพนด้าออกมาแล้วเขียนคำว่า
“เก่งมาก” ส่งให้แก
แกรับเอาไปด้วยความดีใจ
ครู่หนึ่งก็มีรถนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรม
เด็กน้อยยกกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปหานักท่องเที่ยว
“ขัดรองเท้าไหมครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณ
ให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ ขัดรองเท้าไหมครับ..”
และแล้วลูกค้าคนที่หนึ่งก็ยอมใช้บริการ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมแวะมาเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่หน้าโรงแรม
เมื่อแกเห็นผมก็รีบเล่าด้วยอาการดีใจว่า
เมื่อวานแกขัดรองเท้าได้เงิน 50 เหรียญ
แกหักไว้คืนให้ผม 18 เหรียญ ค่าอาหารของแก 3 เหรียญ
แกจึงเหลือเงินอยู่ 29 เหรียญ
ผมตบบ่าแกเพื่อให้กำลังใจ และชมแกไปว่า
“เก่งมาก”
แกบอกว่าเมื่อวานได้นอนห้องรวมในโรงแรม
ไม่ได้นอนใต้สะพานแล้ว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง 5 เหรียญ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่ต้องจ่ายค่าห้องพักรวม?
เด็กน้อยยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้เจ้าของโรงแรมประมาณ 10 กว่าคู่
เย็นนี้ก็ได้นอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเหมือนเดิมครับ”
5 วันที่อยู่ที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และแล้วผมก็ต้องเดินทางกลับ
เด็กชายคนนั้นคืนเงินให้ผมวันละ 18 เหรียญ
จนครบ 90 เหรียญในวันสุดท้าย
เมื่อเด็กชายรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทหนึ่งที่ปักกิ่ง
แกบอกกับผมว่า เมื่อแกจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะไปหาผมที่ปักกิ่ง
จากนั้นก็ยื่นมือดำๆของแกมาขอจับมือผม
ผมจับมือของเด็กไว้แน่นเช่นกัน
ผมทำงานที่บริษัทนี้ได้หลายปี
ต่อมาก็ลาออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้ง
วันนี้ผมหัวยุ่งแต่เช้า
บริษัทประสบปัญหาเกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ผมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
และขอกู้เงินจากหลายๆ ธนาคาร
แต่ก็ไม่มีใครช่วยผมได้
ผมเพิ่งวางโทรศัพท์
เลขาก็เคาะประตูเข้ามารายงานว่า
กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งขอนัดผมเพื่อทานกลางวัน
ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ
และไม่ได้ถามว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร
ได้แต่ก้มหน้าดูบัญชีรายจ่ายที่จะต้องหาทางแก้ไข
เลขาได้หยิบเอาพวงกุญแจวางไว้ที่โต๊ะของผม
ผมมองพวงกุญแจและตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวงกุญแจที่คุ้นตาและมีตัวอักษรคำว่า
“ผมเก่งมาก”
อยู่บนตัวหมีแพนด้านั้น
ผมนึกออกแล้ว
พวงกุญแจนี้ผมเป็นคนมอบให้เด็กชายขัดรองเท้าเมื่อ 15 ปีก่อน
แต่ตอนนั้นผมเขียนแค่ว่า “เก่งมาก”
เขาคงเป็นคนเติมคำว่า “ผม” ในภายหลัง
เมื่อถึงช่วงกลางวัน
ผมเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง
โต๊ะที่ถูกจองไว้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมสูท
ลุกขึ้นยืนโค้งและยิ้มให้กับผม
จากรอยยิ้มและสายตาอันมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม
ทำให้ผมเห็นภาพของเด็กชายที่ผมพบเจอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
เรารับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอ
หลังจากทานข้าวและดื่มชากันไปคนละแก้ว
เขาหยิบเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านเหรียญออกมาและพูดว่า
“ผมอยากร่วมลงทุนกับคุณ
และภายใน 5 ปีผมขอทุนคืน ”
“5 ล้านเหรียญ”
ผมอุทานขึ้นในใจ
มันมากมายและมาทันเวลาพอดี
เด็กหนุ่มเล่าต่อว่า
“15 ปีก่อนคุณสอนให้ผมอยู่รอด
จากนั้นผมก็มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ
ผมเฝ้าเก็บหอมรอมริบ
ตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง
ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญที่ผมร่วมลงทุนกับคุณนี้
ผมขอดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง”
ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มแล้วถามว่าเท่าไหร่?
เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“1เหรียญครับ!”
ผมพิงพนักเก้าอี้แล้วก็ยิ้มออกมา
90 เหรียญที่ผมลงทุนกับเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อ15 ปีที่แล้ว
ด้วยความไม่ตั้งใจ กลับมีผลตอบสนองในวันนี้
ถึง 5 ล้านเหรียญ
นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทน
มหาศาลที่สุดในชีวิตของผมเป็นแน่!!!
เครดิต : ได้รับต่อจากเพื่อนทางไลน์ไม่ทราบแหล่งที่มา
ขออนุญาตนำมาโพสต่อเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
ขอบคุณค่ะ