มีใครที่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งคล่องปรื๋อ โดยไม่เคยเรียนพิเศษบ้างงงง เครียดมากๆๆๆ

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ ผมกำลังจะขึ้น ม.6 อยากเข้าคณะมนุษยศาสตร์ ผมเลยเตรียมพร้อมช่วงปิดเทอม โดยการอ่านหนังสือ ทำข้อสอบ ท่องศัพท์ ค้นคว้าความรู้ สรุปทุกๆอย่างเอง โดยไม่เรียนพิเศษ แต่ผมก็ทำข้อสอบไม่ได้ บางอันก็ไม่เข้าใจ ผมเลยหาความรู้ใหม่ๆเสมอ แต่พอลองทำข้อสอบอีกรอบมันก็ไม่ผ่านอีก ผมก็ไปหาความรู้ใหม่ๆมาอีก แล้วก็ไม่ผ่านอีก ....

จนตอนนี้ผมเริ่มท้อละ เฮ้อออ  โดยเฉพาะ เรียงประโยค ผมอ่านเยอะมากๆๆ เช้ามาอ่าน จะหลับก็อ่าน บางวันหลับตี1  


       ผมรู้สึก อิจฉาคนบางคนมากที่เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ หรือมีพรสวรรค์ ผมเลยอยากรู้ว่ามีใครที่สามารถ ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษอย่างยอดเยี่ยมโดยไม่เรียนพิเศษ แต่อ่านหนังสือเอง หาความรู้เอง บ้างมั้ยครับครับ  ถ้ามีช่วยแนะนำ วิธีทำข้อสอบ หรือ การอ่านหนังสือให้หน่อยได้มั้ยครับบบ

พาพันเศร้า

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 149
แรงบันดาลใจคล้ายๆ กันกับ คห.146 เลยค่ะ  ต้องการลบคำสบประมาทและเอาชนะคนที่มันเคยดูถูกเรา ..

ขออนุญาติเล่าความหลังนะคะ !


จำได้ว่าตอน ป.1 ชอบภาษาอังกฤษนะ ท่องศัพท์เป็นว่าเล่นเลยค่ะ แต่เราไม่มีเพื่อน เวลาครูถาม พอเราตอบได้
เพื่อนร่วมห้อง (เกือบ) ก็เบะปากใส่ หาว่าโอเวอร์ หาว่าดัดจริต แล้วตอนนั้นเราเพิ่งย้ายไปโรงเรียนใหม่ด้วย
เลยไม่มีเพื่อน เข้ากับสังคมไม่ได้ ทำให้กลายเป็นเด็กขี้อาย กลัวเพื่อนกลัวครู โดนเพื่อนแกล้ง เพื่อนล้อ สาระพัด
ตอนนั้นทำได้แค่แอบร้องไห้ ขนาดพ่อแม่เราก็ไม่กล้าฟ้อง ว่าโดนอะไรบ้าง จนสุดท้ายพ่อก็สืบจนรู้เรื่อง (เคยโดนไถตังค์ด้วย)


พอขึ้น ป.2 มา เราเกลียดภาษาอังกฤษเข้ากระดูกดำเลยค่ะ เพราะ.. เกลียดหน้า เกลียดนิสัยครูผู้สอน
เราเรียนไม่เคยรู้เรื่องเลย  มีอยู่เหตุการณ์นึง เรายังจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นหล่อนสั่งการบ้าน
จริงๆ เราไม่ได้ลืมทำนะคะ เราทำไม่ได้ เราเลยไม่ทำค่ะ ทำได้แค่ไม่กี่ข้อ (ก็ลอกเพื่อนข้างๆ อ่ะแหละ พอรู้ว่าเราลอกมันก็ปิดสมุด)
เราก็เอาไปส่งทั้งๆ ที่ทำไม่เสร็จ เดี๋ยวหาว่าเราลืมทำการบ้าน ไม่ได้ลืมแต่ทำไม่ได้ค่ะ
.. พอถึงคิวเรา มันก็เปิดสมุดเรามาตรวจ พอมันเรียกชื่อเรา เราก็เดินออกไปเอาสมุดหน้าห้อง หล่อนก็ถามว่า
นี่เธอเอาอะไรมาส่งชั้น? (เราก็เงียบ) จะไปไหนก็ไป ไป๊! นังปัญญาอ่อน ..พร้อมกับปาสมุดเราลงพื้นต่อหน้าเรา
ตอนนั้นทุกคนในห้องขำกันค่ะ เราก้มลงเก็บสมุด หน้านี่อมยิ้มนะคะ แต่น้ำตาจะไหลแล้วค่ะ

ขึ้น ป.3 และ ป.4 ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม โง่ซ้ำโง่ซาก ไม่ยอมทำการบ้าน ไม่สนใจมันเลยค่ะทีนี้
อาจารย์ไล่ตรวจการบ้าน ก็โดนตีมือทุกวันๆ จนเลือดซึม สุดท้าย.. ก็ต้องย้ายโรงเรียนค่ะ!

จุดเริ่มต้นการเรียนภาษาอังกฤษของเรา เริ่มต้นตรงนี้ที่ ป.5
พี่สาวเราได้มีโอกาสไปทำงานเรือสำราญต่างประเทศ เค้าก็ไม่ได้เก่งภาษาแต่อาศัยฝึกฝนเอาด้วยการฟังเพลง
เพลงทุกเพลงเป็นเพลงสากลหมดเลยค่ะ เราเริ่มหัดร้อง My Heart Will Go On เป็นเพลงแรก (อ่านไม่ออกหรอกค่ะ แต่ให้พี่สาวแปลให้)
และเราก็เริ่มหลงใหลในเพลงสากล เริ่มอยากรู้ความหมายของเพลงที่เราร้อง เริ่มจากหัดอ่าน หัดออกเสียง ตามด้วยการแปลค่ะ
เพลงแรกที่เราแปลเองได้และอ่านออกทุกคำคือ I will always love you ค่ะ จำได้ตอนนั้นร้องทุกวันเช้า - เย็น เลยค่ะ

และเราก็เริ่มศึกษาวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ประเทศในฝันเราคืออเมริกาค่ะ เราชอบมาก อาจจะเป็นเพราะเสพสื่อของประเทศนี้บ่อย
ช่วงนั้น Tata Young กำลังมาแรงเลยค่ะ เราก้อเริ่มเลียนแบบนาง ชอบนาง กลายเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง กล้าแสดงออก ไม่สนใจสายตาใคร

เด็กที่เคยโดนด่าว่า นังปัญญาอ่อน จากปากของครูสอนภาษาอังกฤษ ตอนนี้กลายเป็นเด็กที่เก่งวิชานี้ที่สุดในสายชั้น (ย้ำว่าสายชั้นนะคะ)
พอขึ้น ม.ต้น เราไม่สนใจวิชาอื่นเลยค่ะ หมกมุ่นแต่ภาษาอังกฤษ ฟังเฉพาะเพลงสากลเท่านั้น แต่เราไม่ค่อยตั้งใจเรียนในห้องนะคะ
ไม่ค่อยถูกกับครูอีกเช่นเคย แต่สอบออกมาทำคะแนนได้ดี เค้าเลยไม่มายุ่ง  หลังจากนั้นอาจารย์ในโรงเรียนเริ่มเห็นแววและจะปั้นเราค่ะ
เริ่มจากการเป็นพิธีกร เพราะเราพูดเก่ง และกล้าแสดงออกกว่าคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นแสดงละครเวที เต้น ร้องเพลง พิธีกร บอกเราค่ะ เราได้หมด

พอขึ้น ม.ปลาย เราได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันทักษะทางวิชาการ คือ Telling Story (การเล่านิทานเป็นภาษาอังกฤษ)
ม.4 เป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่ง (ได้เหรียญทองอันดับ 1 ระดับจังหวัด)
ม.5 เป็นตัวแทนระดับภาค (ได้เหรียญทองอันดับ 8) ปีนั้นมีคนได้เหรียญทอง 15 คนมั้งคะ แต่เอาแค่ 5 คนแรก เป็นตัวแทนไปแข่งระดับประเทศ
ม.6 วางมือค่ะ รอสอบเข้ามหาลัย

เราเรียนการโรงแรมค่ะ และมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ 7 เดือน
ไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่โน่น เรายอมรับว่าแรกๆ สำเนียงฟังยากและลำบาก เค้าพูดเร็วมาก แต่ก็สื่อสารกันรู้เรื่องค่ะ
ฝรั่งที่ต่างประเทศ อย่าลืมว่าเราไปบ้านเค้านะคะ ไม่ใช่ว่าเค้ามาบ้านเรา ฉะนั้นไม่มีใครมานั่งแปลให้คุณหรอกค่ะ ต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น
ในระยะการฝึกงาน มีเราแค่คนเดียวที่ไม่เคยโดน Complain (ตำหนิในทางที่แย่) ทั้งเรื่องงานและเรื่องภาษา เคยโดน Manager หาเรื่องค่ะ
เพื่อนคนอื่นๆ เอาแต่เงียบ ก้มหน้า แต่เราไม่ค่ะ! วันนั้นทำงานเหนื่อยมาก ฟิวส์ขาดเลย เราไม่เงียบ เราเถียงและเราก็ e-mail ไปบอกเอเจนซี่
ว่าฝากบอกและให้เตือน Manager หน่อยว่า "Hi! Karen. I'm feel so bad to work with her. Why's she always shout out loud on me. Can you please tell her for me. Should be respect and don't look down upon me. She's manager, so remember her manner. Thanks!"  หล่อนชอบแหกปากใส่หน้าฉัน บอกหล่อนให้รักษามารยาทด้วย อย่ามาทำเหมือนดูถูกกันเลย แบบนี้มันไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีของการเป็นนายจ้าง (ประมาณนี้) นี่ยัง save อยู่ใน sent box อยู่เลย ..ผ่านมาจะ 4 ปีละ หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ และคะแนนฝึกงาน นางก็ให้เรา
เต็ม 100 เลยค่ะ ขอบพระคุณคุณยาย Daisy อีกครั้ง!!


และทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาอาจจะยาวหน่อย ถ้าอ่านแล้วเหนื่อยหรือมันน่าเบื่อ ก็ข้ามมาตรงนี้เลยค่ะ
เราไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยไปกวดวิชาหรือเรียนกับติวเตอร์ชื่อดังเลยสักครั้ง เรามีแค่คอมพิวเตอร์ มีหนังสือ Grammar 600 หน้า
และ Dictionary ขนาดพกพาอีก 1 เล่ม พร้อมกับสมุดและดินสอ จนและเขียนมันทุกอย่างที่เราศึกษา

การอ่านแกรมม่าที่ดีและทดสอบว่าเราจะจำได้มั้ย ให้เขียนค่ะ.. จำอะไรก็เขียนมันลงไป ไม่ต้องไปเปิดหนังสือหรือตำรานะคะ
วาดผังมันออกมา อาศัยจินตนาการเล็กน้อย หาคำศัพท์ที่เราชอบมาเขียนไว้ ฝึกระบายความในใจเป็นภาษาอังกฤษ (ทั้งพูด-ทั้งเขียน)
อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ทุกอย่างมันสอนเราได้หมดค่ะ หัดสังเกตและตั้งคำถาม

เช่น I was กับ I were อันไหนถูก? อันไหนผิด? was คืออะไร? และ were คืออะไร?
ถ้าเอามาใช้กับคำนี้ ความหมายจะเปลี่ยนมั้ย? หรือว่ามันผิด มันใช้ไม่ได้กับคำนี้เลย บลา บลา บลา

ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราค่ะ นอกจากความชอบความมุ่งมั่น เราก็ต้องขยันฝึกฝนค่ะ
ทุกวันนี้ศึกษาแค่ในห้องเรียนมันไม่เพียงพอหรอกค่ะ ขนาดครูผู้สอนบางคน เอาจริงๆ ทักษะการใช้ภาษาก็ถือว่าต่ำมาก
สอนไปวันๆ เด็กไม่ได้อะไรเลย แล้วมัวแต่โทษเด็กกัน เราไม่เข้าใจเลยว่าเอาอะไรคิด ถ้าใครเจอคุณครูที่ดีและเก่งก็ถือว่าโชคดีไป
เราถึงไม่ค่อยอยากเรียนพิเศษ ..เพราะเคยลองเข้าไปนั่งเรียนที่กวดวิชาชื่อดัง ที่เห็นใครๆ ก็บอกว่าสอนดี เข้าใจง่าย
แต่เรารู้สึกเฉยๆ อ่ะ บางอันเป็นเรื่องง่ายแท้ๆ กลับทำให้มันยาก ดูเยอะพางงหนักกว่าเดิม ไอ้คนที่บอกว่าเข้าใจๆ เห็นสอบไม่เคยผ่านซะที เฮ้อ!!

เลยเชื่อมั่นในตัวเองดีกว่าค่ะ ว่าสิ่งไหนถ้าเราอยากทำ เราต้องทำได้แน่นอน.


พาพันไฟท์ติ้ง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
นักเรียนครับ

การเรียนภาษาอังกฤษในระบบโรงเรียนไทยมันได้ทำลายพื้นฐานคุณหมดไปเเล้ว

ภาษาต้องใช้ครับ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเอาชนะมันด้วยการอ่านเพียงอย่างเดียว

อ.ต้นพนันได้เลย Tenses คุณเรียนมา 10 ปีเเล้วก็ยังไม่เข้าใจ เข้าใจเเบบไม่ต้องคิดให้มากเวลาพูดภาษาอังกฤษ

วิธีที่จะแก้ไข คือเริ่มฝึกฟัง Clips ฝึกภาษาไปเรื่อยๆ ตั้งเเต่วันนี้+ติดตามกระทู้อ.ต้น

ถ้าคุณทำเเบบนี้ได้ทุกวัน จนจบป.ตรี คุณจะคล่องภาษามากครับ ก็ 5 ปีจากนี้

เเต่ต้องสอบเข้าคณะให้ได้ก่อน

การสอบ ก็ยังต้องจำเป็นเรียนเพื่อสอบครับ

ดังนั้นต้องเเบ่งเวลา เเบ่งความสนใจใสฝึกภาษาเพื่อสื่อสารกับอ.ต้น ผ่าน Clips ผ่านกระทู้ Pantip ไม่รับสอนนะครับ

ขอให้โชคดีครับ
ความคิดเห็นที่ 6
ไม่เคย เพราะจน เดินไป รร 12 ปี เรียนด้วยตนเอง เทพอังกฤษในแผนกวิทย์ รร ดังระดับประเทศ

จบ มศ 5 สอบข้อเขียน  และสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ชิงทุนไปเรียนตรีที่ออสเตรเลีย

สั้นๆ ต้องอ่านแบบมีสติรู้จริง แยกแยะประโยคออก ทำทดสอบระดับเป็นพันๆ ข้อ อ่านหนังสือ graded readers กว่า 200 เล่ม ใช้ Oxford Advanced Learners dictionary ตอนทำ mid-term test ภาค Structure ผมได้เต็ม

สอบไล่ทั่วประเทศ ได้ 92 เต็ม 100

ส่วนการฝึกพูด ยืมเทปมาฟังและพูดตาม ผ่านข้อเขียนแล้ว มีเวลา 1 สัปดาห์ ผมฝึกฟังและพูดวันหนึ่งๆ เกิน 12 ชม เนื่องจากเทพเรื่องการอ่านแล้ว จึงไม่มีปัญหาว่าไม่เข้าใจเนื้อเรื่องพูด แค่ฝึกลิ้นพูดให้คล่อง แค่นั้นก็ผ่านสัมภาษณ์ได้

ทุกอย่างผ่านพ้นด้วยความเพียรระดับเทพ

เอาอย่างงี้ดีกว่า จขกท สำรวจดูว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน ถ้าต่ำกว่า Advanced แปลว่าพื้นฐานทางด้านแกรมมาร์ยังไม่ดีพอ อนุญาตให้ใช้ dictionary ได้

http://www.bangkokpost.com/learning/english-test

ปล ผมทำใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีไม่เปิดดิก ไม่ได้เต็ม แม้ว่าศึกษาอ่านภาษาอังกฤษมากว่า 50 ปีแล้ว 555

ความคิดเห็นที่ 40
เราค่ะ ตอนนี้ได้ทุนกพ.เรียนป.ตรีอยู่อเมริกา เราไม่เคยเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเลยค่ะ (เราไม่เคยเรียนพิเศษซักวิชาเลยค่ะ)
ฟังพูดเราใช้วิธีดูหนังฟังเพลงนี่แหละค่ะ แรกๆอาจน่าอวกหน่อย บ่อยๆก็ชิน แล้วก็ฟังแบบฝึกหัด Listening จากเว็ปนี้
http://www.esl-lab.com/
อ่านเราฝึกอ่านเป็นบทความไป เว็ปนี้ http://www.onestopenglish.com/skills/  อ่านข้าวแล้วฝึกเดาความหมายกับจับ main idea
เรากดติดตามเพจนี้มีคำศัพท์น่าสนใจมาบอกเล่าประจำค่ะ https://www.facebook.com/OH.FAB.English?fref=ts&__mref=message_bubble
แล้วก็มีโหลดแอพทำโจทย์สนุกๆจาก Tab ค่ะ เพิ่มเติมหลังไมค์ได้ค่ะ ยินดีช่วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่