“ภาพความจำ
เมื่อครั้งวันวานกับรักที่เธอทิ้งไว้
จะถามทำไม ว่าฉันเป็นไง
อยากรู้ไปเพื่ออะไร
ไม่อยากพูดถึง
ให้ยิ่งช้ำ ยิ่งจำ ยิ่งถูกทำร้าย
เจ็บช้ำปางตาย ป่านนี้ก็ยังไม่หาย..”
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะเพลง “ยังไม่พ้นขีดอันตราย” ของพี่บอย พีชเมคเกอร์ เนื่องจากเราโพสต์ว่าอยากไปเที่ยวฮานอยจัง จากนั้นก็มีพรรคพวกเข้ามาเชียร์ให้จัดทริปฮานอย ไอเราก็เป็นพวกยุขึ้น เลยจัดทริปนี้ขึ้นมา แต่ดันไปโผล่ที่โฮจิมินห์แทน และพรรคพวกที่ยุให้จัดทริปก็ดันเหลือแค่ 3 คน แป่ววววววว - -“ แต่เราก็ไม่แคร์ยังคงเดินหน้าจัดทริปต่อไป...
คงเพราะเราจองตั๋วไว้นานเกินไปมั้ง เพราะเมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง ทุกสายการบินต่างพร้อมใจกันเลื่อนไฟลท์ โดยไม่ปรึกษาเราก่อนเลย เริ่มจากสายการบินนกน้อยที่เลื่อนไฟลท์ขากลับจากดอนเมือง-หาดใหญ่เร็วขึ้น ซึ่งแน่นอนเสี่ยงต่อการตกเครื่องแน่นอน เพราะอาจกลับจากโฮจิมินห์ไม่ทัน T^T (เราเป็นเด็กหาดใหญ่ แต่เพื่อนร่วมขบวนอยู่กทม.คนนึง เราเลยต้องไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองก่อน) เราเลยขอเงินคืนแล้วไปจองเจ้าหางแดงแทน
แต่เจ้าหางแดงก็ทำพิษ คราวนี้เล่นเลื่อนไฟลท์เที่ยวกลับโฮจิมินห์-ดอนเมืองให้เล่นขึ้น เป็นเรื่องสิครับคราวนี้ เพราะเรากลับจากดาลัดไม่ทันแน่ๆ เราก็เลยติดต่อ CC ขอเลื่อนไฟลท์ไปอีกวัน คุยกันอยู่นานหลายรอบมากๆ ก็ไม่ได้เรื่อง เราเลยต้องวิ่งไปสนามบิน เพื่อไปคุยกับพนักงานภาคพื้นแทน สรุปคือเค้าให้เราเลื่อนไฟลท์กลับจากโฮจิมินห์เป็นไฟลท์สุดท้าย ส่วนไฟลท์กลับหาดใหญ่ก็ให้กลับอีกวันแทน เฮ้อออออ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะอดเที่ยวดาลัดซะแล้ว
ยังๆไม่หมดแค่นี้ เจ้านกน้อยดันมาเลื่อนไฟลท์ขาไปจากหาดใหญ่-ดอนเมืองอีก แต่ก็ไม่เป็นไร ดึกหน่อย ขี้เกียวเลื่อนไฟลท์แล้ว (แต่ยังแอบดีเลย์เค้าอีกนะ เพลีย)
อ่ะๆ ได้ไปเที่ยวแล้ว อย่าให้มีอุปสรรคอะไรอีกเลยนะ เพี้ยงๆๆๆๆ
ที่เราเลือกไปโฮจิมินห์ เพราะมีพี่ที่รู้จักไปทำงานที่นั่น เลยคิดว่าจะให้เค้าเป็นไกด์ให้ท่าจะดี ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะพี่ๆให้การต้อนรับอย่างดี พาเดินเที่ยว พาไปชิมอาหารอร่อยๆ แถมยังช่วยต่อราคาของอีกด้วย เรียกได้ว่าเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี ทริปนี้เลยฟินกันเป็นแถบๆ
พอลงจากเครื่อง ผ่านด่านตม.เรียบร้อย ก็ขึ้นรถเมล์เข้าเมืองกัน (ไกด์กิตติมาศักดิ์ แนะนำมาว่าให้ขึ้นรถเมล์จากถูกกว่ามากกกกก ค่ารถเมล์เข้าเมืองประมาณ 5,000 ดอง หรือประมาณ 7 บาทกว่าๆ..ถ้าเราจำไม่ผิดนะ อิๆ)
บรรยากาศระหว่างทางเข้าเมือง คนที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ เพราะรถยนต์ราคาจะแพงมาก และทุกคนจะใส่หมวกกันน๊อคทั้งคนขี่และคนซ้อน (พี่ไกด์บอกว่าเค้าห้ามซ้อนเกิน 2 คน ยกเว้นถ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ซ้อนได้กี่คนก็ซ้อนไป ที่เห็นก็ 4-5 คนก็มี)
มาเที่ยวที่เวียดนามแนะนำให้พก ear plug มาด้วย คือเราเพลียกับเสียงแตรของคนที่นี่มาก เอะอ่ะก็บีบแตร บีบแตร รู้สึกหลอนสุดๆ แต่คนที่นี่เหมือนจะชิน หรือหูเริ่มรับเสียงแตรไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ เพราะคนบีบแตรก็บีบไป ชั้นไม่สนใจซะอย่างจะทำไม คนเดิน ก็เดินไม่สนใจรถ คนขับก็ขับไม่สนใจคน ต้องลุ้นเองตลอดว่าจะโดนเหยียบตอนไหน (เราเกือบโดนรถชนด้วย เฮ้ออออออ เสียวสุดๆ) ข้ามถนนต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ซ้ายๆๆๆ ขวาๆๆๆ” เพราะคนที่นี่เค้าขับรถทางซ้าย
พอสุดทางรถเมล์ ไกด์ก็พาเดินเที่ยวรอบเมือง เดินแบบจริงจังมาก เพราะเดินประมาณ 8 กิโลฯ พร้อมเป้บนหลังอีกคนประมาณ 5 กิโลฯ backpacker สุดๆ
ก่อนเที่ยว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “เงิน” เนื่องจากท่านไกด์แนะนำมาว่าสามารถเอาเงินไทยมาแลกเงินดองได้เลย ไม่ต้องเอาเงินดอลล่าร์มาแลกก็ได้ เราและชาวคณะเลยไม่มีใครแลกเงินดอลล่าร์มาเลย (แต่เพื่อนเรามีเงินดอลล่าร์ติดตัวมานิดหน่อย) เราเลยไปแลกเงินกันที่ตลาด Ben Than ซึ่งเป็นตลาดสำหรับซื้อของฝากด้วย 1 บาท = 668 ดอง (ขึ้นอยู่กับค่าเงินในตอนนั้นด้วย)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก่อนเดินเที่ยวรอบเมืองก็ต้องหาของกินก่อน มื้อแรกที่โฮจิมินห์เราทานที่ร้านนี้
หน้าตาอาหารของมื้อแรก (เรียกชื่อไม่ถูก ชี้อย่างเดียว อิๆ) ค่าเสียหายมื้อแรกประมาณ 5 ร้อยกว่าบาท แพงไปนิด แต่ก็อร่อย ให้อภัยได้ ^^
ท้องอิ่ม ก็ได้เวลาเดินย่อย เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ไม่ได้เข้าไปดูอะไรแบบเจาะลึก เพราะเดินฆ่าเวลา รอรถมารับ เราเดินไปที่จัตุรัสกลางโฮจิมินห์ แต่เสียดายที่เค้ากำลังซ่อมรูปปั้นท่านโฮฯ เราเลยไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับท่าน
กล่องฟ้าๆ ด้านหลัง ครอบท่านโฮฯไว้อยู่ เสียดายสุดๆ จากนั้นก็เดินต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงแม่น้ำอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้แล้ว
เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่าน Opera House ไม่ได้เข้าไป เพราะคนเยอะมาก ประกอบกับเวลาไม่อำนวยด้วย
ไม่ได้ถ่ายกับรูปปั้น ก็ขอถ่ายกับรูปภาพล่ะกัน
ต่อด้วยโบสถ์นอร์ธเธอดาม วันแรกที่ไปเค้าปิด เลยไม่ได้เข้า วันที่ 3 เลยไปเก็บตก เพราะตรงกับวันอาทิตย์ เค้าเปิดโบสถ์พอดี
กำแพงโบสถ์จะมีคนไปสลักชื่อกันเต็มเลย นึกว่าจะมีแต่พี่ไทยที่ชอบสลักชื่อบนกำแพง
จากนั้นก็ข้ามถนนไปพักเหนื่อยที่ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ คนที่นี่จะเดินเป็นคู่ๆ (ทำร้ายจิตใจคนโสดสุดๆ ไกด์ที่ดาลัดบอกว่า ผู้หญิงจะแต่งงานตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยผู้หญิงจะเป็นฝ่ายไปขอผู้ชาย ซึ่งถ้าผู้ชายคนไหนหน้าตาดีหน่อย ก็จะเอาวัวไปแลก แต่ถ้าคนไหนหน้าตาไม่เอาไหน ก็จะเอาไก่ไปแลก ไม่รู้ไกด์หลอกหรือเปล่านะ 555)
รถมารับแล้ว เย้ๆ ชาวคณะเลยอพยพขึ้นรถ เดินทางไปอีกเมืองนึง (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว อิๆ) แต่หมูยอกับแหนมเนืองที่นี่อร่อยมากๆ มี 3 แบบ คือแบบธรรมดา แบบทอด และก็แบบหูหมู (อันหลังอร่อยกว่า เพราะมีพริกไทยผสมด้วย)
จากนั้นก็กลับมาโฮจิมินห์ต่อ เพื่อขึ้นรถไปดาลัด รถที่เราไปเป็นรถนอน (หารูปภายในรถไม่เจอแหะ = =” ) เนื่องจากรถที่เรานั่งไปขับเร็ว หรือเราขึ้นเร็วไปก็ไม่รู้ เราจึงไปถึงดาลัดตอนตี 3 ครึ่ง!!!!!! อากาศก็เย็นมาก อุณหภูมิประมาณ 19 องศา โชคดีที่บริษัททัวร์ที่ไปมีรถตู้ไปส่งที่โรงแรม เลยรอดไป
แต่พอไปถึงหน้าโรงแรม ถึงกับเว๋อ เพราะไฟปิด พนักงานนอนหลับบนโซฟาอย่างสบายใจ เรียกก็แล้ว เปิดประตูเดินเข้าออกก็แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว เลยได้แต่ทำใจนั่งรอหน้าโรงแรม รอให้เค้าตื่น ดีนะมีหน้าตาเป็นอาวุธ อิๆ ใกล้เช้ามีพนักงานมา เลยเข้าไปปลุกพนักงานข้างในให้ตื่น เราเลยได้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะโรงแรมที่เราพักเค้าให้เช็คอินได้ตอนบ่าย 2 เราเลยใช้วิธีซักแห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัวกับทิชชูเปียก แล้วฝากกระเป๋าไปตะลุยเมืองดาลัด
บรรยากาศยามเช้าของเมืองดาลัด วุ่นวายมากๆ ที่นี่จะมีดอกไม้สด ผลไม้พวกสตอเบอรี่ มัลเบอรี่ อโวคาโด และผัก ผลไม้สดๆ เยอะมาก คนเวียดนามชอบกินผัก เท่าที่สังเกต คนที่นี่จะหุ่นดีมากๆ
ตะลุยเวียดนาม เที่ยวเมืองโฮจิมินห์ - ดาลัด
เมื่อครั้งวันวานกับรักที่เธอทิ้งไว้
จะถามทำไม ว่าฉันเป็นไง
อยากรู้ไปเพื่ออะไร
ไม่อยากพูดถึง
ให้ยิ่งช้ำ ยิ่งจำ ยิ่งถูกทำร้าย
เจ็บช้ำปางตาย ป่านนี้ก็ยังไม่หาย..”
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะเพลง “ยังไม่พ้นขีดอันตราย” ของพี่บอย พีชเมคเกอร์ เนื่องจากเราโพสต์ว่าอยากไปเที่ยวฮานอยจัง จากนั้นก็มีพรรคพวกเข้ามาเชียร์ให้จัดทริปฮานอย ไอเราก็เป็นพวกยุขึ้น เลยจัดทริปนี้ขึ้นมา แต่ดันไปโผล่ที่โฮจิมินห์แทน และพรรคพวกที่ยุให้จัดทริปก็ดันเหลือแค่ 3 คน แป่ววววววว - -“ แต่เราก็ไม่แคร์ยังคงเดินหน้าจัดทริปต่อไป...
คงเพราะเราจองตั๋วไว้นานเกินไปมั้ง เพราะเมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง ทุกสายการบินต่างพร้อมใจกันเลื่อนไฟลท์ โดยไม่ปรึกษาเราก่อนเลย เริ่มจากสายการบินนกน้อยที่เลื่อนไฟลท์ขากลับจากดอนเมือง-หาดใหญ่เร็วขึ้น ซึ่งแน่นอนเสี่ยงต่อการตกเครื่องแน่นอน เพราะอาจกลับจากโฮจิมินห์ไม่ทัน T^T (เราเป็นเด็กหาดใหญ่ แต่เพื่อนร่วมขบวนอยู่กทม.คนนึง เราเลยต้องไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองก่อน) เราเลยขอเงินคืนแล้วไปจองเจ้าหางแดงแทน
แต่เจ้าหางแดงก็ทำพิษ คราวนี้เล่นเลื่อนไฟลท์เที่ยวกลับโฮจิมินห์-ดอนเมืองให้เล่นขึ้น เป็นเรื่องสิครับคราวนี้ เพราะเรากลับจากดาลัดไม่ทันแน่ๆ เราก็เลยติดต่อ CC ขอเลื่อนไฟลท์ไปอีกวัน คุยกันอยู่นานหลายรอบมากๆ ก็ไม่ได้เรื่อง เราเลยต้องวิ่งไปสนามบิน เพื่อไปคุยกับพนักงานภาคพื้นแทน สรุปคือเค้าให้เราเลื่อนไฟลท์กลับจากโฮจิมินห์เป็นไฟลท์สุดท้าย ส่วนไฟลท์กลับหาดใหญ่ก็ให้กลับอีกวันแทน เฮ้อออออ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะอดเที่ยวดาลัดซะแล้ว
ยังๆไม่หมดแค่นี้ เจ้านกน้อยดันมาเลื่อนไฟลท์ขาไปจากหาดใหญ่-ดอนเมืองอีก แต่ก็ไม่เป็นไร ดึกหน่อย ขี้เกียวเลื่อนไฟลท์แล้ว (แต่ยังแอบดีเลย์เค้าอีกนะ เพลีย)
อ่ะๆ ได้ไปเที่ยวแล้ว อย่าให้มีอุปสรรคอะไรอีกเลยนะ เพี้ยงๆๆๆๆ
ที่เราเลือกไปโฮจิมินห์ เพราะมีพี่ที่รู้จักไปทำงานที่นั่น เลยคิดว่าจะให้เค้าเป็นไกด์ให้ท่าจะดี ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะพี่ๆให้การต้อนรับอย่างดี พาเดินเที่ยว พาไปชิมอาหารอร่อยๆ แถมยังช่วยต่อราคาของอีกด้วย เรียกได้ว่าเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี ทริปนี้เลยฟินกันเป็นแถบๆ
พอลงจากเครื่อง ผ่านด่านตม.เรียบร้อย ก็ขึ้นรถเมล์เข้าเมืองกัน (ไกด์กิตติมาศักดิ์ แนะนำมาว่าให้ขึ้นรถเมล์จากถูกกว่ามากกกกก ค่ารถเมล์เข้าเมืองประมาณ 5,000 ดอง หรือประมาณ 7 บาทกว่าๆ..ถ้าเราจำไม่ผิดนะ อิๆ)
บรรยากาศระหว่างทางเข้าเมือง คนที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ เพราะรถยนต์ราคาจะแพงมาก และทุกคนจะใส่หมวกกันน๊อคทั้งคนขี่และคนซ้อน (พี่ไกด์บอกว่าเค้าห้ามซ้อนเกิน 2 คน ยกเว้นถ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ซ้อนได้กี่คนก็ซ้อนไป ที่เห็นก็ 4-5 คนก็มี)
มาเที่ยวที่เวียดนามแนะนำให้พก ear plug มาด้วย คือเราเพลียกับเสียงแตรของคนที่นี่มาก เอะอ่ะก็บีบแตร บีบแตร รู้สึกหลอนสุดๆ แต่คนที่นี่เหมือนจะชิน หรือหูเริ่มรับเสียงแตรไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ เพราะคนบีบแตรก็บีบไป ชั้นไม่สนใจซะอย่างจะทำไม คนเดิน ก็เดินไม่สนใจรถ คนขับก็ขับไม่สนใจคน ต้องลุ้นเองตลอดว่าจะโดนเหยียบตอนไหน (เราเกือบโดนรถชนด้วย เฮ้ออออออ เสียวสุดๆ) ข้ามถนนต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ซ้ายๆๆๆ ขวาๆๆๆ” เพราะคนที่นี่เค้าขับรถทางซ้าย
พอสุดทางรถเมล์ ไกด์ก็พาเดินเที่ยวรอบเมือง เดินแบบจริงจังมาก เพราะเดินประมาณ 8 กิโลฯ พร้อมเป้บนหลังอีกคนประมาณ 5 กิโลฯ backpacker สุดๆ
ก่อนเที่ยว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “เงิน” เนื่องจากท่านไกด์แนะนำมาว่าสามารถเอาเงินไทยมาแลกเงินดองได้เลย ไม่ต้องเอาเงินดอลล่าร์มาแลกก็ได้ เราและชาวคณะเลยไม่มีใครแลกเงินดอลล่าร์มาเลย (แต่เพื่อนเรามีเงินดอลล่าร์ติดตัวมานิดหน่อย) เราเลยไปแลกเงินกันที่ตลาด Ben Than ซึ่งเป็นตลาดสำหรับซื้อของฝากด้วย 1 บาท = 668 ดอง (ขึ้นอยู่กับค่าเงินในตอนนั้นด้วย)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก่อนเดินเที่ยวรอบเมืองก็ต้องหาของกินก่อน มื้อแรกที่โฮจิมินห์เราทานที่ร้านนี้
หน้าตาอาหารของมื้อแรก (เรียกชื่อไม่ถูก ชี้อย่างเดียว อิๆ) ค่าเสียหายมื้อแรกประมาณ 5 ร้อยกว่าบาท แพงไปนิด แต่ก็อร่อย ให้อภัยได้ ^^
ท้องอิ่ม ก็ได้เวลาเดินย่อย เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ไม่ได้เข้าไปดูอะไรแบบเจาะลึก เพราะเดินฆ่าเวลา รอรถมารับ เราเดินไปที่จัตุรัสกลางโฮจิมินห์ แต่เสียดายที่เค้ากำลังซ่อมรูปปั้นท่านโฮฯ เราเลยไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับท่าน
กล่องฟ้าๆ ด้านหลัง ครอบท่านโฮฯไว้อยู่ เสียดายสุดๆ จากนั้นก็เดินต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงแม่น้ำอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้แล้ว
เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่าน Opera House ไม่ได้เข้าไป เพราะคนเยอะมาก ประกอบกับเวลาไม่อำนวยด้วย
ไม่ได้ถ่ายกับรูปปั้น ก็ขอถ่ายกับรูปภาพล่ะกัน
ต่อด้วยโบสถ์นอร์ธเธอดาม วันแรกที่ไปเค้าปิด เลยไม่ได้เข้า วันที่ 3 เลยไปเก็บตก เพราะตรงกับวันอาทิตย์ เค้าเปิดโบสถ์พอดี
กำแพงโบสถ์จะมีคนไปสลักชื่อกันเต็มเลย นึกว่าจะมีแต่พี่ไทยที่ชอบสลักชื่อบนกำแพง
จากนั้นก็ข้ามถนนไปพักเหนื่อยที่ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ คนที่นี่จะเดินเป็นคู่ๆ (ทำร้ายจิตใจคนโสดสุดๆ ไกด์ที่ดาลัดบอกว่า ผู้หญิงจะแต่งงานตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยผู้หญิงจะเป็นฝ่ายไปขอผู้ชาย ซึ่งถ้าผู้ชายคนไหนหน้าตาดีหน่อย ก็จะเอาวัวไปแลก แต่ถ้าคนไหนหน้าตาไม่เอาไหน ก็จะเอาไก่ไปแลก ไม่รู้ไกด์หลอกหรือเปล่านะ 555)
รถมารับแล้ว เย้ๆ ชาวคณะเลยอพยพขึ้นรถ เดินทางไปอีกเมืองนึง (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว อิๆ) แต่หมูยอกับแหนมเนืองที่นี่อร่อยมากๆ มี 3 แบบ คือแบบธรรมดา แบบทอด และก็แบบหูหมู (อันหลังอร่อยกว่า เพราะมีพริกไทยผสมด้วย)
จากนั้นก็กลับมาโฮจิมินห์ต่อ เพื่อขึ้นรถไปดาลัด รถที่เราไปเป็นรถนอน (หารูปภายในรถไม่เจอแหะ = =” ) เนื่องจากรถที่เรานั่งไปขับเร็ว หรือเราขึ้นเร็วไปก็ไม่รู้ เราจึงไปถึงดาลัดตอนตี 3 ครึ่ง!!!!!! อากาศก็เย็นมาก อุณหภูมิประมาณ 19 องศา โชคดีที่บริษัททัวร์ที่ไปมีรถตู้ไปส่งที่โรงแรม เลยรอดไป
แต่พอไปถึงหน้าโรงแรม ถึงกับเว๋อ เพราะไฟปิด พนักงานนอนหลับบนโซฟาอย่างสบายใจ เรียกก็แล้ว เปิดประตูเดินเข้าออกก็แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว เลยได้แต่ทำใจนั่งรอหน้าโรงแรม รอให้เค้าตื่น ดีนะมีหน้าตาเป็นอาวุธ อิๆ ใกล้เช้ามีพนักงานมา เลยเข้าไปปลุกพนักงานข้างในให้ตื่น เราเลยได้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะโรงแรมที่เราพักเค้าให้เช็คอินได้ตอนบ่าย 2 เราเลยใช้วิธีซักแห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัวกับทิชชูเปียก แล้วฝากกระเป๋าไปตะลุยเมืองดาลัด
บรรยากาศยามเช้าของเมืองดาลัด วุ่นวายมากๆ ที่นี่จะมีดอกไม้สด ผลไม้พวกสตอเบอรี่ มัลเบอรี่ อโวคาโด และผัก ผลไม้สดๆ เยอะมาก คนเวียดนามชอบกินผัก เท่าที่สังเกต คนที่นี่จะหุ่นดีมากๆ