ความจริง 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ "ตลาดหุ้นจีน"



1. เศรษฐกิจจีนมีขนาด 15% ของ GDP โลก ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นจีนมีสัดส่วนเพียง 2.4% ของ MSCI World Index แปลว่ายังมีโอกาสโตได้อีกมาก

2. ด้วยเหตุที่มีรายย่อยเยอะ ทำให้ volume พุ่งกระฉูด จนกลายเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงที่สุดในโลก (สูงกว่า New York Stock Exchange ซึ่งมี market cap ใหญ่กว่า 4 เท่า)

3. เมื่อวันจันทร์ที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนทำสถิติมูลค่าการซื้อขายสุดสุดทะลุ 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) ผลปรากฎว่า software แสดงผลไม่ได้เพราะถูกออกแบบมารองรับยอดซื้อขายไม่เกิน  1 ล้านล้านหยวน พอยอดทะลุจึงมีเลขศูนย์ไม่พอ! ตลาดหุ้นจีนถึงกับต้องพิจารณาหา software ใหม่

4. ตลาดหุ้นจีน มี 2 ตลาดหลัก คือ A Share เป็นหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาด Shanghai และ Shenzhen จำกัดวงให้เฉพาะนักลงทุนชาวจีนและนักลงทุนสถาบันบางรายที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น และซื้อขายกันด้วยเงินหยวน (RMB) ... ส่วน H Share เป็นหุ้นของบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น Hong Kong เปิดให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายได้ และซื้อขายกันในสกุลฮ่องกงดอลล่าร์ (HKD)

5. ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คือ A Share  ซึ่งให้ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง (นับถึง 30 เม.ย. 2558) +126% ถ้าอยากติดตามตลาดหุ้นนี้ ให้ดูดัชนี Shanghai Stock Exchange A Share Index (SHASHR) ซึ่งวัดราคาหุ้น A Share ทุกตัวในตลาดเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Shenzhen CSI 300 Index (SHSZ300) ซึ่งวัดราคาหุ้น A Share 300 ตัวใหญ่สุดในตลาดเซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น


กราฟดัชนีหุ้น A Share (เส้นสีขาว) เทียบกับ H Share (เส้นสีเขียว) ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

6. ตลาดหุ้น Shanghai กับ Shenzhen มี character ที่ต่างกัน … หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น Shanghai ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม ‘Old Economy’ เช่น ธนาคารของรัฐ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ส่วนตลาดหุ้น Shenzhen เต็มไปด้วยกลุ่ม ‘New Economy’ เช่น technology และ health care

7. ส่วนตลาดหุ้น H Share ยังตามอยู่ไกลมาก ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง (นับถึง 30 เม.ย. 2558) +54% ถ้าอยากติดตามตลาดหุ้นนี้ ให้ดูดัชนี  HKSE Hang Seng China Enterprise Index (HSCEI)

8. ตลาดหุ้นจีนมีหุ้นขนาดใหญ่เยอะมาก ถ้านับจำนวนหุ้นที่market cap > US$500 ตลาดหุ้นจีนมีมากถึง 1,874 บริษัท ในขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงมีแค่ 207 บริษัท เกาหลีมี 202 และไทยมี 124 บริษัท

9. ความร้อนแรงของตลาดหุ้น A Share มาจาก “รายย่อย” ล้วนๆ (หลายคนห่วงว่า อีกไม่นานจะมีเม่าตายหมู่) มีรายงานว่า เฉพาะ 3 เดือนแรกของปีนี้ มีนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่มากถึง 10 ล้านบัญชี มากกว่าตัวเลขการเปิดบัญขีใหม่ของปี2012 และ 2013 รวมกัน มีจำนวนมากที่เล่นหุ้นด้วย margin ... ยิ่งไปกว่านั้น 2 ใน 3 ของนักลงทุนหน้าใหม่จบการศึกษาระดับ ม.ต้น และมีถึง 6% ที่ ‘อ่านหนังสือไม่ออก’ … เมื่อเดือนที่แล้ว Bloomberg มีบทความที่ตั้งชื่อได้โดนใจมากว่า=> China’s Big Stock Market Rally Is Being Fueled by High-School Dropouts

10. หากสนใจตลาดหุ้นจีน มีกองทุนรวมที่ลงทุนใน China Equity ให้เลือกเกือบ 20 กองแล้วครับ ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ไปลงทุนใน H Share แนะนำให้ดู list กองทุนจาก http://www.morningstarthailand.com แล้วเลือกประเภท China Equity หรือเปิดดูจากแอพ Start-to-invest ของสำนักงาน ก.ล.ต. นะครับ

ปล. บทความชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความของ Mr. Messenger ชื่อ "เรื่องนี้คุณต้องรู้ ถ้าอยากออกไปสู้ในตลาดหุ้นจีน" (http://www.iammrmessenger.com/?p=1321) ครับ  

อย่าลืมว่าการลงทุนในหุ้นให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ต้องหัดลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ 5-10 ปีขึ้นไป และควรหัดเรียนรู้การลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและแสวงหาดอกผลจากการลงทุนเพิ่มขึ้นครับ

ติดตามมุมมองการลงทุนและเคล็ดลับการออมได้ที่
https://www.facebook.com/SSOSavingsClub
https://wininvestingpro.wordpress.com

วิน พรหมแพทย์, CFA
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่