***จขกท ลงเรื่องราวให้น้องเจ้าของเรื่อง***
อันดับแรกผมต้องขอขอบคุณพี่ท่านหนึ่งที่ได้ให้ความกรุณานำเรื่องของผมมาเผยแพร่นะครับและผมต้องขอบอกทุกๆท่านให้ทราบก่อนว่าเรื่องที่ผมจะได้เล่าต่อจากนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของผมตลอดระยะเวลาประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องที่ชีวิตของผมได้ประสบพบเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องการรักษาตัว รวมไปถึงทัศนคติต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมได้พบเจอ ผมหวังว่าเรื่องที่ผมจะได้เล่าสู่กันฟังต่อจากนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์และอาจจะได้สติ ข้อคิดดีๆในการดำรงชีวิตนะครับ เพื่อเป็นการยุติธรรมสำหรับทุกๆฝ่าย ผมขออนุญาตไม่กล่าวหรืออ้างอิงถึงบุคคลหรือสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผมในครั้งนี้นะครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนเมษายน พศ.2554 ต้องบอกก่อนครับว่าผมเองก็เป็นแค่ผู้ชายวัย 21 ปี ปกติทั่วๆไปที่ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่น ในช่วงนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่3 ในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน และในตอนช่วงปิดภาคเรียนนั้น ผมก็ได้ปฏิบัติการฝึกงานตามระเบียบที่ทางหลักสูตรมหาวิทยาลัยได้กำหนดไว้ ผมเองได้มีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานกับองค์กรของประเทศชื่อดังแห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ชีวิตผมในช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากครับ ได้สนุกกับงาน การเรียน และเรื่องอื่นๆ มันอาจจะมีการเครียดหรือกังวลบ้างตามที่ผมยังเป็นมนุษย์คนนึงที่มีจิตใจครับ ต้องบอกก่อนครับว่าผมเองเป็นคนชอบออกกำลังกายครับ หลังจากการเสร็จภาระกิจถ้ามีเวลาก็จะรีบไปเข้ายิมเพื่อเรียกเหงื่อให้เต็มที่ อ่านดูแล้วก็เหมือนชีวิตผมจะไม่มีอะไรนะครับ แต่อย่าเพิ่งตัดสินใจครับ ผมแค่อยากเกิ่นเรื่องราวเล็กๆของผมให้ได้รู้กันก่อนครับ
ในช่วงที่ผมจะได้มาฝึกงานที่นี้ ผมมีอาการน่าจะเหมือนคนทั่วๆไปครับ คือถ้ามีการใช้สายตามากๆจะมีการปวดตา แสบตาตามอาการล้าของดวงตา แต่ผมก็ไม่ทราบนะว่าตอนนั้นผมจะมีอาการปวดตาเหมือนที่คนอื่นเขาเป็นกันรึเปล่า อาการที่ผมปวดตานี้มันเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว ลองจินตนาการดูครับว่าแค่กอกลูกตาไปมาก็ปวดจี๊ดทรมานไปยังสมอง เวลาจะหันไปมองอะไรทีนี้แทบจะต้องหันไปมองทั้งหัว แม้กระทั่งกระพริบตายังปวดทรมานเหมือนลูกตาจะระเบิด พูดแล้วเหมือนผมจะเว่อร์นะครับ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างงั้นจริงๆครับ
ตอนที่ผมเริ่มมีอาการในตอนนั้นผมไม่เคยนิ่งเฉยเลยครับ ผมรีบบอกคุณแม่ถึงอาการที่ผมเป็น คุณแม่จึงได้รีบพาผมไปที่คลีนิคที่รักษาเกี่ยวกับดวงตาย่านเพชรเกษมครับ ที่เลือกไปที่นี้เพราะว่าเขาว่ากันว่าแพทย์ที่เข้าตรวจที่นี่เป็นระดับอาจารย์เก่งๆกันทั้งนั้นครับ ผมได้รับการเข้าตรวจที่นี่เป็นครั้งแรกครับ ก่อนที่จะได้เข้ารับการตรวจก็มีการวัดค่าสายตาเหมือนการตรวจทั่วๆไปแหละครับ การวัดค่าสายตาของผมเป็นปกติครับ ด้วยความที่ผมมีสายตาเป็นปกติอยู่แล้วเป็นพื้นฐานอยู่แล้วคือสายตาไม่สั้น ไม่ยาว ไม่เอียงครับ ไม่มีการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ครับ มีแค่ใส่แว่นตัดแสงจากจอคอมเท่านั้น หลังจากนี้ผมก็ได้พบแพทย์ครับ แพทย์ก็ทำการตรวจดวงตาของผมครับ แพทย์ก็ได้ตรวจดูกับเครื่องมือครับ ผลสรุปที่แพทย์ท่านนี้ได้กล่าวกับผมก็คือ ผมมีการใช้สายตามากทำให้ดวงตาแห้งมาก เรื่องนี้ผมไม่เถียงเลยครับเพราะผมใช้สายตามากจริงๆ แต่อาการปวดทรมานอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? แพทย์ได้บอกครับว่ามันเป็นอาการเกี่ยวเนื่องมาจากการที่เราใช้สายตาเยอะและถ้าได้ทานยาแก้ปวดกับยาคลายกล้าเนื้อแล้วอาการจะดีขึ้น ตอนนั้นโล่งใจมากครับว่าเราไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำคือทานยาที่แพทย์สั่งจ่าย รวมถึงหยอดน้ำตาเทียมตลอดเวลาหรือทุกครั้งที่มีอาการแสบหรือระเคืองดวงตา
ผมได้ทานยามาตามที่แพทย์สั่งเป็นเวลาเกือบ 5วัน ผลคืออาการที่ผมเป็นอยู่คือยังปวดตาเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันทรมานมากครับ ทรมานจนผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ผมจึงต้องกลับไปปรึกษาแพทย์คนเดิม ณ สถานที่แห่งเดิม แพทย์พูดกับผมง่ายๆครับว่าสงสัยยาตัวนี้คงเอาไม่อยู่ แพทย์จึงได้เปลี่ยนยาตัวใหม่ให้ รวมถึงเปลี่ยนความเข้มข้นของน้ำตาเทียมให้มากขึ้นด้วย ผลคือหลังจากการที่ผมได้ทานยาจนเกือบ 5วัน คืออาการที่ผมปวดลูกตามันหายไปครับมันดีขึ้นจนผมสบายใจขึ้นมากครับ
ตัดภาพกลับมาที่ตอนที่ผมได้ฝึกงานครับ ผมก็ได้ทำงานหน้าคอมตามปกติ แต่มันมีอยู่วันหนึ่งคือ ผมมีความรู้สึกว่ามันหนักๆตาข้างขวาอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ลองหลับตาซ้ายลงแล้วใช้ตาข้างขวามองไปรอบตัวผม โดยเฉพาะผมมองเจาะจงไปที่กระดานตรงหน้าของผมที่มีตัวอักษรและตัวเลขเขียนอยู่ ปราฎว่าการมองจากตาขวาของผมมันมัวลงเหมือนคนสายตาสั้นหรือยาวอะไรประมาณนั้นอะครับ ผมไม่สามารถมองตัวอักษรตรงหน้าผมได้ทั้งๆที่มันอยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งเมตร ในตอนนั้นการมองเห็นของผมมันมัวขึ้นเฉพาะจุดศูนย์กลางของดวงตาครับ คือถ้าผมมองเอียงๆหรือใช้ลานตาในการมองก็ยังพอที่จะเห็นอยู่บ้างครับ ในตอนนั้นคือผมจิตตกมากครับ รับอยากให้รีบงานไวๆเพื่อจะได้รีบไปพบแพทย์
หลังจากที่ผมเลิกงานผมรีบโทรบอกคุณแม่กับสิ่งที่ผมได้เจอ บอกเลยครับว่าตอนนั้นมันทั้งสับสนและกังวลมากครับ แต่ในใจตอนนั้นก็ยังปลอบใจตัวเองครับว่าไม่เป็นไรเพราะแพทย์คงมีคำตอบในเรื่องที่เราสงสัยและสามารถรักษาเราได้ ผมเลือกที่จะกลับไปที่คลีนิคแห่งเดิมย่านเพชรเกษมครับเนื่องจากก่อนหน้านั้นผมเคยได้รับการรักษาที่นี้มาก่อน ผมเดินทางไปถึงที่คลีนิคก็เริ่มมึดแล้วครับ คนในคลีนิคก็นั่งรอหมอเต็มไปหมด จนถึงคิวเรียกวัดค่าสายตาของผม ผมก็เดินไปวัดกับเจ้าหน้าที่เหมือนก่อนหน้านั้นที่ผมเคยทำ แต่ในครั้งนี้มันแปลกไปจากเดิม อันเนื่องมาจากระดับค่าสายตาของผมแตกต่างไปจากเดิมในระยะเวลาที่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน เจ้าหน้าที่ที่วัดค่าสายตาก็ได้แต่ทำท่าว่าที่นี้ฉันใหญ่และพูดจาเสียดสีผมว่าแกล้งรึเปล่า? แย่ขนาดนั้นเลยเหรอผ่านไปไม่ถึงเดือน? คำพูดนี้แหละครับมันเหมือนคนที่ล้มแล้วโดนเหยียบซ้ำ และอีกไม่นานผมก็ได้เข้าไปพบแพทย์จากที่ผมต้องฟันฝ่ากับมรสุมในห้องเมื่อสักครู่นี้ ผมได้เจอแพทย์ซึ่งไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยเจอครับ แต่แพทย์ท่านนี้ก็ใช้เครื่องมือครวจส่องลูกตาผมอยู่สักพัก ก็หันมาพูดกับผู้ช่วยว่า"ขยายม่านตาสิ" ตอนนั้นก็งงๆครับว่ามันคืออะไร ผมก็ได้มาเจอเจ้าหน้าที่คนเดิมนั้นอหละครับ(คนเดียวกับที่วัดสายตาผม) เขาก็บอกให้ผมนั่งและเงยหน้าและเขาก็หยอดยาแสบๆอยู่หลายครั้งเพื่อทำการขยายม่านตา จะบอกเลยครับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมเลย เข้าใจเลยครับว่าครั้งแรกมักเจ็บและแสบเสมอ...
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็ได้เรียกผมเข้าไปพบแพทย์คนเดิมแพทย์ก็ได้ส่องตรวจตาผมอยู่นานจนผมสงสัยอยู่นานจนผมสงสัยอยู่ในใจ และแล้วคำที่ผมไม่คิดว่าจะคิดว่าจะได้ยินจากแพทย์คือ"ผมหาสาเหตุไม่ได้.. ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นไม่ไร... ไว้ค่อยมาตรวจกับหมอคนอื่นใหม่และกัน...." ในตอนนั้นผมเลือดเดือดมากครับ เลยถามหมอกลับไปว่า"แล้วหมอให้ผมเสียเวลา แล้วหาสาเหตุไม่ได้คืออะไรเหรอครับ?" แพทย์ก็ได้พูดกลับมาว่า"ผมรักษาไม่ได้.. หาสาเหตุไม่ได้..." แล้วแพทย์ท่านนี้ก็บอกให้ผมไปนัดตรวจกับแพทย์คนอื่น
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยความโมโหไปยังเคาน์เตอร์จ่ายยาและชำระเงิน สิ่งที่ผมต้องสับสนและไม่พอใจเป็นรอบที่สองคือ แพทย์ท่านนี้ได้สั่งจ่ายยาให้กับผม ซึ่งทั้งๆที่แพทย์ที่ตรวจผมเมือ่สักครู่ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะงงกับการกระทำของแพทย์คนนี้เหมือนผมไหมครับ? ผมเองก็ได้แต่พูดกับเจ้าหน้าที่ไปว่า"ทำไมหาสาเหตุไม่ได้ถึงจ่ายยาให้ผม?" เจ้าหน้าที่ท่านนี้ก็ได้แต่บอกผมว่าเขาทำตามใบสั่งแพทย์ ผมเองก็อยากรีบจ่ายเงินให้มันจบๆไปด้วยความที่ผมกำลังภาวนาขันติอยู่ในใจ เหอะๆ แถมพอผมชำระเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่ยังบอกผมให้ผมรอทำเรื่องการนัดตรวจกับแพทย์ครั้งต่อไป โห้...ยังไม่จบอีก ผมก็เลยรีบตอบกลับไปว่า"ไม่เป็นไร ไม่ต้องนัดครับ ผมไม่มารักษาที่นี้แล้ว!!" แล้วผมก็เดินออกจากคลีนิคด้วยสภาพการมองเห็นที่พร่ามัวทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการขยายม่านตา ประกอบตอนนั้นเป็นเวลาที่มึดมากยิ่งทำให้ผมลำบากเข้าไปใหญ่ แม้กระทั่งจะมองตัวเลขที่ติดอยู่หน้ารถเมล์ยังไม่สามารถมองได้ กับสภาพจิตตกและอารมณ์เสียที่อยู่ในใจมันยิ่งแย่เข้าไปยิ่งกว่าเดิม
ในที่สุดผมก็ได้กลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย พอผมได้เจอคุณแม่เท่านั้นแหละครับ ผมระบายทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ผมได้เจอมาเมื่อตะกี้นี้ ซึ่งจริงๆแล้วพอผมเดินออกจากคลีนิคก็รับโทนบอกคุณแม่อยู่แล้วว่าผมเจออะไรมา ผมกับคุณแม่ได้ปรึกศากันครับว่าจะไม่กลับไปที่นี่อีก โดยคุณแม่บอกผมว่าจะพาไปตรวจอีกที่หนึ่งซึ่งญาติๆผมเคยไปรักศามา แต่ต้องรอจนถึงวันที่หมอเข้าตรวจ ซึ่งก็เป็นการรอคอยที่เกือบอาทิตย์ ในระหว่างที่ผมรอการที่จะไปตรวจที่ใหม่ที่นี้ ผมบอกเลยครับว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่ผมคิดอยู่ในสมอง ทั้งคิดบวกและคิดลบสลับกันไป จนวันที่ผมจะได้ไปตรวจที่สถานที่แห่งใหม่ก็มาถึง
สถานรักษาแห่งนี้ดูเก่าๆครับ แต่ก็มีคนมารักษาอยู่พอสมควร ที่นี้เป็นที่รวมอาจารย์แพทย์เก่งๆในแต่ละด้านครับ(เห็นเขาว่าอย่างงั้นกัน) คลีนิคนี้อยู่ย่านบ่อนไก่ กรุงเทพครับ วันแรกที่ผมได้รับการตรวจกับแพทย์ท่านนี้ก็เหมือนกับการตรวจทุกๆครั้งที่ผ่านมาครับ มีการวัดค่าสายตาตามปกติก่อนที่จะได้ไปตรวจกับแพทย์ แพทย์ท่านนี้ได้ส่องตรวจดวงตาผมโดยใช้เครือ่งมือ แต่ดูเหมือนแพทย์ท่านนี้จะชำนาญมากกว่าแพทย์คนอื่นๆที่ผมเคยเจอม่ครับ สักพักหลังจากที่แพทย์ส่องตรวจดวงตาผมเสร็จก็ได้พูดกลับผมว่า โรคที่ผมเป็นคือโรค"จุดศูนย์กลางประสาทตาบวม" โรคนี้เกิดได้หลายสาเหตุครับ แต่สำหรับผม แพทย์ได้บอกว่าผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำจึงทำให้ต่อมอะไรสักอย่างหลั่งสารออกมาทำให้จุดศูนย์กลางประสาทตาบวม
***มีต่อ***
ประสบการณ์การสูญเสียการมองเห็นของผม ที่อยากแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน
อันดับแรกผมต้องขอขอบคุณพี่ท่านหนึ่งที่ได้ให้ความกรุณานำเรื่องของผมมาเผยแพร่นะครับและผมต้องขอบอกทุกๆท่านให้ทราบก่อนว่าเรื่องที่ผมจะได้เล่าต่อจากนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของผมตลอดระยะเวลาประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องที่ชีวิตของผมได้ประสบพบเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องการรักษาตัว รวมไปถึงทัศนคติต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมได้พบเจอ ผมหวังว่าเรื่องที่ผมจะได้เล่าสู่กันฟังต่อจากนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์และอาจจะได้สติ ข้อคิดดีๆในการดำรงชีวิตนะครับ เพื่อเป็นการยุติธรรมสำหรับทุกๆฝ่าย ผมขออนุญาตไม่กล่าวหรืออ้างอิงถึงบุคคลหรือสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผมในครั้งนี้นะครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนเมษายน พศ.2554 ต้องบอกก่อนครับว่าผมเองก็เป็นแค่ผู้ชายวัย 21 ปี ปกติทั่วๆไปที่ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่น ในช่วงนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่3 ในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน และในตอนช่วงปิดภาคเรียนนั้น ผมก็ได้ปฏิบัติการฝึกงานตามระเบียบที่ทางหลักสูตรมหาวิทยาลัยได้กำหนดไว้ ผมเองได้มีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานกับองค์กรของประเทศชื่อดังแห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ชีวิตผมในช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากครับ ได้สนุกกับงาน การเรียน และเรื่องอื่นๆ มันอาจจะมีการเครียดหรือกังวลบ้างตามที่ผมยังเป็นมนุษย์คนนึงที่มีจิตใจครับ ต้องบอกก่อนครับว่าผมเองเป็นคนชอบออกกำลังกายครับ หลังจากการเสร็จภาระกิจถ้ามีเวลาก็จะรีบไปเข้ายิมเพื่อเรียกเหงื่อให้เต็มที่ อ่านดูแล้วก็เหมือนชีวิตผมจะไม่มีอะไรนะครับ แต่อย่าเพิ่งตัดสินใจครับ ผมแค่อยากเกิ่นเรื่องราวเล็กๆของผมให้ได้รู้กันก่อนครับ
ในช่วงที่ผมจะได้มาฝึกงานที่นี้ ผมมีอาการน่าจะเหมือนคนทั่วๆไปครับ คือถ้ามีการใช้สายตามากๆจะมีการปวดตา แสบตาตามอาการล้าของดวงตา แต่ผมก็ไม่ทราบนะว่าตอนนั้นผมจะมีอาการปวดตาเหมือนที่คนอื่นเขาเป็นกันรึเปล่า อาการที่ผมปวดตานี้มันเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว ลองจินตนาการดูครับว่าแค่กอกลูกตาไปมาก็ปวดจี๊ดทรมานไปยังสมอง เวลาจะหันไปมองอะไรทีนี้แทบจะต้องหันไปมองทั้งหัว แม้กระทั่งกระพริบตายังปวดทรมานเหมือนลูกตาจะระเบิด พูดแล้วเหมือนผมจะเว่อร์นะครับ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างงั้นจริงๆครับ
ตอนที่ผมเริ่มมีอาการในตอนนั้นผมไม่เคยนิ่งเฉยเลยครับ ผมรีบบอกคุณแม่ถึงอาการที่ผมเป็น คุณแม่จึงได้รีบพาผมไปที่คลีนิคที่รักษาเกี่ยวกับดวงตาย่านเพชรเกษมครับ ที่เลือกไปที่นี้เพราะว่าเขาว่ากันว่าแพทย์ที่เข้าตรวจที่นี่เป็นระดับอาจารย์เก่งๆกันทั้งนั้นครับ ผมได้รับการเข้าตรวจที่นี่เป็นครั้งแรกครับ ก่อนที่จะได้เข้ารับการตรวจก็มีการวัดค่าสายตาเหมือนการตรวจทั่วๆไปแหละครับ การวัดค่าสายตาของผมเป็นปกติครับ ด้วยความที่ผมมีสายตาเป็นปกติอยู่แล้วเป็นพื้นฐานอยู่แล้วคือสายตาไม่สั้น ไม่ยาว ไม่เอียงครับ ไม่มีการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ครับ มีแค่ใส่แว่นตัดแสงจากจอคอมเท่านั้น หลังจากนี้ผมก็ได้พบแพทย์ครับ แพทย์ก็ทำการตรวจดวงตาของผมครับ แพทย์ก็ได้ตรวจดูกับเครื่องมือครับ ผลสรุปที่แพทย์ท่านนี้ได้กล่าวกับผมก็คือ ผมมีการใช้สายตามากทำให้ดวงตาแห้งมาก เรื่องนี้ผมไม่เถียงเลยครับเพราะผมใช้สายตามากจริงๆ แต่อาการปวดทรมานอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? แพทย์ได้บอกครับว่ามันเป็นอาการเกี่ยวเนื่องมาจากการที่เราใช้สายตาเยอะและถ้าได้ทานยาแก้ปวดกับยาคลายกล้าเนื้อแล้วอาการจะดีขึ้น ตอนนั้นโล่งใจมากครับว่าเราไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำคือทานยาที่แพทย์สั่งจ่าย รวมถึงหยอดน้ำตาเทียมตลอดเวลาหรือทุกครั้งที่มีอาการแสบหรือระเคืองดวงตา
ผมได้ทานยามาตามที่แพทย์สั่งเป็นเวลาเกือบ 5วัน ผลคืออาการที่ผมเป็นอยู่คือยังปวดตาเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันทรมานมากครับ ทรมานจนผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ผมจึงต้องกลับไปปรึกษาแพทย์คนเดิม ณ สถานที่แห่งเดิม แพทย์พูดกับผมง่ายๆครับว่าสงสัยยาตัวนี้คงเอาไม่อยู่ แพทย์จึงได้เปลี่ยนยาตัวใหม่ให้ รวมถึงเปลี่ยนความเข้มข้นของน้ำตาเทียมให้มากขึ้นด้วย ผลคือหลังจากการที่ผมได้ทานยาจนเกือบ 5วัน คืออาการที่ผมปวดลูกตามันหายไปครับมันดีขึ้นจนผมสบายใจขึ้นมากครับ
ตัดภาพกลับมาที่ตอนที่ผมได้ฝึกงานครับ ผมก็ได้ทำงานหน้าคอมตามปกติ แต่มันมีอยู่วันหนึ่งคือ ผมมีความรู้สึกว่ามันหนักๆตาข้างขวาอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ลองหลับตาซ้ายลงแล้วใช้ตาข้างขวามองไปรอบตัวผม โดยเฉพาะผมมองเจาะจงไปที่กระดานตรงหน้าของผมที่มีตัวอักษรและตัวเลขเขียนอยู่ ปราฎว่าการมองจากตาขวาของผมมันมัวลงเหมือนคนสายตาสั้นหรือยาวอะไรประมาณนั้นอะครับ ผมไม่สามารถมองตัวอักษรตรงหน้าผมได้ทั้งๆที่มันอยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งเมตร ในตอนนั้นการมองเห็นของผมมันมัวขึ้นเฉพาะจุดศูนย์กลางของดวงตาครับ คือถ้าผมมองเอียงๆหรือใช้ลานตาในการมองก็ยังพอที่จะเห็นอยู่บ้างครับ ในตอนนั้นคือผมจิตตกมากครับ รับอยากให้รีบงานไวๆเพื่อจะได้รีบไปพบแพทย์
หลังจากที่ผมเลิกงานผมรีบโทรบอกคุณแม่กับสิ่งที่ผมได้เจอ บอกเลยครับว่าตอนนั้นมันทั้งสับสนและกังวลมากครับ แต่ในใจตอนนั้นก็ยังปลอบใจตัวเองครับว่าไม่เป็นไรเพราะแพทย์คงมีคำตอบในเรื่องที่เราสงสัยและสามารถรักษาเราได้ ผมเลือกที่จะกลับไปที่คลีนิคแห่งเดิมย่านเพชรเกษมครับเนื่องจากก่อนหน้านั้นผมเคยได้รับการรักษาที่นี้มาก่อน ผมเดินทางไปถึงที่คลีนิคก็เริ่มมึดแล้วครับ คนในคลีนิคก็นั่งรอหมอเต็มไปหมด จนถึงคิวเรียกวัดค่าสายตาของผม ผมก็เดินไปวัดกับเจ้าหน้าที่เหมือนก่อนหน้านั้นที่ผมเคยทำ แต่ในครั้งนี้มันแปลกไปจากเดิม อันเนื่องมาจากระดับค่าสายตาของผมแตกต่างไปจากเดิมในระยะเวลาที่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน เจ้าหน้าที่ที่วัดค่าสายตาก็ได้แต่ทำท่าว่าที่นี้ฉันใหญ่และพูดจาเสียดสีผมว่าแกล้งรึเปล่า? แย่ขนาดนั้นเลยเหรอผ่านไปไม่ถึงเดือน? คำพูดนี้แหละครับมันเหมือนคนที่ล้มแล้วโดนเหยียบซ้ำ และอีกไม่นานผมก็ได้เข้าไปพบแพทย์จากที่ผมต้องฟันฝ่ากับมรสุมในห้องเมื่อสักครู่นี้ ผมได้เจอแพทย์ซึ่งไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยเจอครับ แต่แพทย์ท่านนี้ก็ใช้เครื่องมือครวจส่องลูกตาผมอยู่สักพัก ก็หันมาพูดกับผู้ช่วยว่า"ขยายม่านตาสิ" ตอนนั้นก็งงๆครับว่ามันคืออะไร ผมก็ได้มาเจอเจ้าหน้าที่คนเดิมนั้นอหละครับ(คนเดียวกับที่วัดสายตาผม) เขาก็บอกให้ผมนั่งและเงยหน้าและเขาก็หยอดยาแสบๆอยู่หลายครั้งเพื่อทำการขยายม่านตา จะบอกเลยครับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมเลย เข้าใจเลยครับว่าครั้งแรกมักเจ็บและแสบเสมอ...
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็ได้เรียกผมเข้าไปพบแพทย์คนเดิมแพทย์ก็ได้ส่องตรวจตาผมอยู่นานจนผมสงสัยอยู่นานจนผมสงสัยอยู่ในใจ และแล้วคำที่ผมไม่คิดว่าจะคิดว่าจะได้ยินจากแพทย์คือ"ผมหาสาเหตุไม่ได้.. ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นไม่ไร... ไว้ค่อยมาตรวจกับหมอคนอื่นใหม่และกัน...." ในตอนนั้นผมเลือดเดือดมากครับ เลยถามหมอกลับไปว่า"แล้วหมอให้ผมเสียเวลา แล้วหาสาเหตุไม่ได้คืออะไรเหรอครับ?" แพทย์ก็ได้พูดกลับมาว่า"ผมรักษาไม่ได้.. หาสาเหตุไม่ได้..." แล้วแพทย์ท่านนี้ก็บอกให้ผมไปนัดตรวจกับแพทย์คนอื่น
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยความโมโหไปยังเคาน์เตอร์จ่ายยาและชำระเงิน สิ่งที่ผมต้องสับสนและไม่พอใจเป็นรอบที่สองคือ แพทย์ท่านนี้ได้สั่งจ่ายยาให้กับผม ซึ่งทั้งๆที่แพทย์ที่ตรวจผมเมือ่สักครู่ ถ้าคุณเป็นผม คุณจะงงกับการกระทำของแพทย์คนนี้เหมือนผมไหมครับ? ผมเองก็ได้แต่พูดกับเจ้าหน้าที่ไปว่า"ทำไมหาสาเหตุไม่ได้ถึงจ่ายยาให้ผม?" เจ้าหน้าที่ท่านนี้ก็ได้แต่บอกผมว่าเขาทำตามใบสั่งแพทย์ ผมเองก็อยากรีบจ่ายเงินให้มันจบๆไปด้วยความที่ผมกำลังภาวนาขันติอยู่ในใจ เหอะๆ แถมพอผมชำระเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่ยังบอกผมให้ผมรอทำเรื่องการนัดตรวจกับแพทย์ครั้งต่อไป โห้...ยังไม่จบอีก ผมก็เลยรีบตอบกลับไปว่า"ไม่เป็นไร ไม่ต้องนัดครับ ผมไม่มารักษาที่นี้แล้ว!!" แล้วผมก็เดินออกจากคลีนิคด้วยสภาพการมองเห็นที่พร่ามัวทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการขยายม่านตา ประกอบตอนนั้นเป็นเวลาที่มึดมากยิ่งทำให้ผมลำบากเข้าไปใหญ่ แม้กระทั่งจะมองตัวเลขที่ติดอยู่หน้ารถเมล์ยังไม่สามารถมองได้ กับสภาพจิตตกและอารมณ์เสียที่อยู่ในใจมันยิ่งแย่เข้าไปยิ่งกว่าเดิม
ในที่สุดผมก็ได้กลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย พอผมได้เจอคุณแม่เท่านั้นแหละครับ ผมระบายทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ผมได้เจอมาเมื่อตะกี้นี้ ซึ่งจริงๆแล้วพอผมเดินออกจากคลีนิคก็รับโทนบอกคุณแม่อยู่แล้วว่าผมเจออะไรมา ผมกับคุณแม่ได้ปรึกศากันครับว่าจะไม่กลับไปที่นี่อีก โดยคุณแม่บอกผมว่าจะพาไปตรวจอีกที่หนึ่งซึ่งญาติๆผมเคยไปรักศามา แต่ต้องรอจนถึงวันที่หมอเข้าตรวจ ซึ่งก็เป็นการรอคอยที่เกือบอาทิตย์ ในระหว่างที่ผมรอการที่จะไปตรวจที่ใหม่ที่นี้ ผมบอกเลยครับว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่ผมคิดอยู่ในสมอง ทั้งคิดบวกและคิดลบสลับกันไป จนวันที่ผมจะได้ไปตรวจที่สถานที่แห่งใหม่ก็มาถึง
สถานรักษาแห่งนี้ดูเก่าๆครับ แต่ก็มีคนมารักษาอยู่พอสมควร ที่นี้เป็นที่รวมอาจารย์แพทย์เก่งๆในแต่ละด้านครับ(เห็นเขาว่าอย่างงั้นกัน) คลีนิคนี้อยู่ย่านบ่อนไก่ กรุงเทพครับ วันแรกที่ผมได้รับการตรวจกับแพทย์ท่านนี้ก็เหมือนกับการตรวจทุกๆครั้งที่ผ่านมาครับ มีการวัดค่าสายตาตามปกติก่อนที่จะได้ไปตรวจกับแพทย์ แพทย์ท่านนี้ได้ส่องตรวจดวงตาผมโดยใช้เครือ่งมือ แต่ดูเหมือนแพทย์ท่านนี้จะชำนาญมากกว่าแพทย์คนอื่นๆที่ผมเคยเจอม่ครับ สักพักหลังจากที่แพทย์ส่องตรวจดวงตาผมเสร็จก็ได้พูดกลับผมว่า โรคที่ผมเป็นคือโรค"จุดศูนย์กลางประสาทตาบวม" โรคนี้เกิดได้หลายสาเหตุครับ แต่สำหรับผม แพทย์ได้บอกว่าผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำจึงทำให้ต่อมอะไรสักอย่างหลั่งสารออกมาทำให้จุดศูนย์กลางประสาทตาบวม
***มีต่อ***